บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1140: จดหมายขอความช่วยเหลือจากศิษย์คนรอง
ตอนที่ 1140: จดหมายขอความช่วยเหลือจากศิษย์คนรอง
ซุอี้พุ่งออกไปรับหน้าโดยไม่รอช้า
ปัง!!!
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ประหัตประหาร เดิมทีป่าเขาลำเนาไพรบริเวณนี้ได้ถล่มทลายลงไปแล้ว เวลานี้พลันเข้าสู่สถานการณ์โกลาหลในทันใด
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เดือนตะวันอับแสง
หลังจากได้รับประสบการณ์จากการต่อสู้ในครั้งแรกแล้ว พอทั้งสองลงมือก็ใช้วิชาแข็งแกร่งที่สุดราวกับรู้กัน ซัดพลังใส่กันอย่างเต็มที่
การต่อสู้ครั้งนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นก็แสดงความดุเดือดอย่างที่สุดออกมา
สตรีถือหอกสะกดกลั้นแรงโกรธ แสดงความดุร้ายและบ้าระห่ำออกมา ทุกครั้งที่ซัดพลังออกไป สามารถบดขยี้ฆ่าล้างรอบทิศ
ฝ่ามือของซูอี้ประดุจคมดาบ ชี้สวรรค์ท้านรก ไม่มีอ่อนข้อ แต่ละกระบวนรุนแรงน่ากลัว
เมื่อมองดูจากไกล ๆ คล้ายกับเทพสององค์กำลังประหัตประหาร ไม่สนใจความเป็นความตาย อันตรายยิ่งนัก
บนตัวของคนทั้งสองเริ่มมีบาดแผล เลือดสาดกระเซ็น
ไม่ว่าซูอี้หรือสตรีถือหอกล้วนไม่ใส่ใจกับบาดแผล ความมุ่งมั่น สภาวะจิต จนกระทั่งพลังลมปราณของคนทั้งสองล้วนแน่วแน่ไม่สั่นคลอน จดจ่ออยู่กับการต่อสู้ฆ่าฟัน จนลืมอัตตา ไม่กลัวแม้ความตาย
วิชาหอกของสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา เฉียบขาดและรุนแรงยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงดุดันอย่างไร้ขีดจำกัด กลิ่นอายทำลายล้างเป็นที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง
กฎเกณฑ์มหาวิถีที่นางควบคุมก็เป็นเช่นนี้ สำแดงอานุภาพทำลายล้างอย่างสุดขีดออกมา ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า พลังกฎเกณฑ์อย่างวอนสวรรค์ วิเวกดารา และแปรวิญญาณก็ไม่อาจเทียบเคียงได้
ซูอี้ต้องใช้กฎแห่งจุดจบจึงจะสามารถต้านทานกำลังด้วยได้ ส่วนกฎเวียนวัฏสงสาร สังขาร และสุดวิถีเหล่านี้ยังด้อยไปบ้าง
ฟ้าดินในแถบนี้สั่นสะเทือน ภูเขาลำเนาไพรถล่มทลาย สรรพสิ่งมอดม้วย
จนถึงท้ายที่สุด ไม่รู้ว่าทั้งสองซัดกระบวนยุทธ์ต่อสู้กันไปเท่าไร ต่างฝ่ายต่างมีบาดแผลทั่วร่างจนหาเนื้อดีไม่ได้ รุนแรงยิ่งนัก
ปัง!!
สุดท้าย ร่างของซูอี้กับสตรีถือหอกร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ กระแทกกับพื้นอย่างแรงพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทั้งสองฝ่ายต่างหมดแรงกำลัง อาศัยแรงมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าคอยค้ำพยุง หลังจากที่ร่วงหล่นซัดกระแทกกับพื้นแล้ว ซูอี้ก็หน้ามืดไปหมด
ซูอี้ลุกขึ้นไม่ทัน จึงพลิกตัวหลบ
“นอนลงเดี๋ยวนี้!”
สตรีถือหอกร้องตะคอก ร่างกระแทกโดนตัวซูอี้อย่างแรงราวกับหินอุกกาบาตหล่นทับ
ชั่วขณะนั้น กระดูกทั่วร่างของซูอี้แทบหักไม่เป็นชิ้น เจ็บจนต้องสูดปาก พลิกมือจับศีรษะของสตรีถือหอก
สตรีถือหอกหัวเราะเย็นชา สองมือกดหัวไหล่ของซูอี้แน่นราวกับหมุดเหล็ก สองมือของซูอี้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้
ทว่า นางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากเช่นกัน ราวกับตะเกียงที่น้ำมันใกล้จะหมด หลังจากที่กดตัวซูอี้ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ นางถึงกับหอบฮัก ๆ อย่างแรง
ในดวงตาสีม่วงของนางผุดประกายภาคภูมิใจ ก้มหน้ามองดูซูอี้ที่ถูกตัวเองทับ ริมฝีปากขาวซีดไร้สีเลือดเผยอขึ้นน้อย ๆ กล่าว “รีบยอมแพ้เสีย!”
เพิ่งพูดออกมา ร่างอรชรของนางก็สั่นสะท้าน
ที่แท้ซูอี้ออกแรงขยับเอว ดันเอวขึ้นอย่างแรง พลังดันรุนแรงเหลือคณา แทบจะดันนางกระเด็นออกไป
ดวงตาสวยของนางลุกเป็นไฟด้วยความอับอาย
ชั่วขณะนี้ ขาเรียวยาวละเมียดละไมของนางหนีบเอวซูอี้อย่างแรงโดยสัญชาตญาณ จากนั้นจึงใช้บั้นท้ายนั่งทับตัวชายหนุ่ม กดร่างของเขาไว้ตรงนั้นจนขยับเขยื้อนไม่ได้
“ยอมแพ้หรือไม่?”
สตรีถือหอกกัดฟัน และมองซูอี้ด้วยสายตาดุร้าย
ซูอี้ไหนเลยจะยอมแพ้ หัวเราะเสียงเย็นชาขึ้นมา ขณะออกแรงขยับเอวอีกครั้ง จากนั้นบิดตัวอย่างแรงเพื่อพลิกตัว พยายามสะบัดสตรีถือหอกออกจากตัว
ร่างอรชรของสตรีถือหอกสั่นคลอนราวกับนั่งบนหลังม้าที่กำลังพยศอย่างแรง จึงจำเป็นต้องออกแรงสุดกำลัง ใช้สองมือ สองขากับบั้นท้ายกดตัวซูอี้แน่น
ทว่า นางก็พบว่าสิ่งผิดปกติอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้จะกดซูอี้ไว้ได้แน่น ทว่าระหว่างนางกับซูอี้กลับห่างกันเพียงแค่เสื้อผ้าเปรอะเลือดที่ขาดรุ่งริ่งเท่านั้น เมื่อออกแรงวัดกำลังกันเช่นนี้ ร่างของคนทั้งสองถูไถเสียดสีอยู่ไม่ขาด…
“นี่…”
สตรีถือหอกอับอายยิ่งนัก นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจุดที่นางนั่งแข็งดั่งเหล็ก ร้อนระอุราวกับถ่านที่ถูกเผาจนแดง อีกทั้งเมื่อขยับตัว ความรู้สึกแบบนั้น…
สตรีถือหอกรีบลุกขึ้นราวกับถูกเข็มทิ่ม เหยียบย่ำซูอี้อย่างแรง
ชายหนุ่มจึงพลิกตัวหนี
ครืน!
พื้นตรงนั้นถูกย่ำเหยียบจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ เศษหินดินทรายปลิวว่อน
ซูอี้ลุกขึ้นในทันใด มองดูสตรีถือหอกที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง กดหัวหอกลงอย่างช้า ๆ จากนั้นกล่าวน้ำเสียงประหลาด ๆ ขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มต่อสู้เช่นนี้ก่อน ข้า…”
“หุบปาก!”
สตรีถือหอกเดือดพล่าน
ใบหน้าของนางถูกปกปิดด้วยหน้ากากสำริด จึงไม่อาจมองเห็นสีหน้าได้ชัดเจน ทว่าความเคียดแค้นในสายตานั้นกลับแสดงออกมาอย่างแน่ชัด
ซูอี้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังโกรธอย่างที่สุด เขาจึงไม่ควรจะหาเรื่องด้วย
“ช่างเถอะ ศึกในครั้งนี้ ข้ายอมแพ้ก็ได้”
สตรีถือหอกโกรธจนหัวเราะขึ้นมา “เจ้าคิดว่า ข้าเป็นคนที่ไร้เหตุผลเช่นนั้นหรือ? ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ ต่อให้เจ้าเป็นฝ่ายยอมแพ้…ก็ไม่ได้!”
ซูอี้ “…”
สักพักใหญ่ ๆ ดูเหมือนว่าสตรีถือหอกจะสงบใจลงได้บ้างแล้ว จากนั้นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “ครั้งนี้จบเพียงเท่านี้ เมื่อข้ากลับมาจากภูมิมืดมิด ค่อยมาประลองกับเจ้าอีกครั้ง”
พูดจบ ประกายแสงเจิดจ้าผุดขึ้นรอบตัวนาง ร่างอรชรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เดิมฟื้นฟูกลับมาดังเดิมในชั่วพริบตา จนดูเปล่งปลั่งสดใสไปทั้งตัว
จากนั้น นางก้าวเดินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อจากไป
“เจ้าจะไปสืบความลับแห่งวัฏสงสารจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ถาม
“มีปัญหาใดหรือ?” สตรีถือหอกถาม
ซูอี้ตกใจมาก เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเขากุมความลับแห่งวัฏสงสาร ด้วยระดับวิถีของสตรีถือหอกคนนี้ สามารถใช้กำลัง เพื่อให้ได้มาซึ่งความลับแห่งวัฏสงสารจากตัวเขาได้
ทว่าสตรีถือหอกกลับไม่ทำเช่นนี้
สตรีถือหอกนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอยากจะถามเรื่อง ๆ หนึ่งจากข้า ตอนนี้ เจ้าสามารถถามได้แล้ว”
ตอบแทนน้ำใจ?
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแค่ต้องการจะถามถึงสหายเก่าของข้าเท่านั้น”
พูดจบ เขาพูดถึงเรื่องของจักรพรรดิพิษเทียนฮู่กับจักรพรรดิมหายุทธ์ขึ้นมา
สตรีถือหอกนึกขึ้นมาได้ในทันใด แล้วจึงบอกคำตอบแก่ซูอี้ ตอนนั้นตัวเองไม่ได้คิดจะทำให้พวกเขาต้องลำบากใจ คนเหล่านั้นเดินทางไปยังส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวตั้งนานมากแล้ว
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว ซูอี้จึงผ่อนคลายลงมาก และกล่าวว่า “ขอบคุณมาก”
สตรีถือหอกดูทะนงตนมาก ใบหน้าของนางเย็นชา ราวกับไม่สนใจไยดี ก่อนจะหายตัวไปไม่เห็นอีก
ซูอี้นั่งขัดสมาธิสงบใจรักษาบาดแผลบนตัว
จนกระทั่งผ่านไปหลายเพลา เขาจึงลุกขึ้นยืน ออกจากป่าเขาที่ทรุดโทรมแห่งนี้ และกลับไปสู่ถ้ำเสวียนจวิน
…
ทุกหนแห่งเล่าขานถึงการสู้รบในครั้งนี้ ทั้งผลักดันชื่อเสียงอันเกรียงไกรของซูอี้ให้สูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน
“เทพเซียนในยุคปัจจุบันก็คงจะเป็นเช่นนี้!”
คนมากมายพากันรำพึงรำพัน
เรื่องราวพิสดารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง
ในขณะเดียวกันนี้เอง…
เมื่อศึกใหญ่ครั้งนี้ปิดฉากลง เรื่องราวทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวก็เริ่มกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทั่วทุกหัวระแหงของมหาแดนดิน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับคนทั้งหลายแล้ว ห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวลึกลับเกินจะคาดเดา เปรียบดั่งสิ่งต้องห้ามที่เต็มไปด้วยอันตรายหลากหลายรูปแบบ
ทว่าบัดนี้ หลังจากที่ขุมกำลังอย่างโรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์ และลัทธิทางช้างเผือกที่เข้าสู่มหาแดนดินโดนซูอี้ทำลายไปจนไม่เหลือ คนทั้งหลายจึงพบว่าที่แท้แล้วผู้แข็งแกร่งจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
และไม่ได้สูงส่งจนไม่อาจเอื้อมเหมือนดังที่เล่าขานด้วย!
“ระหว่างพวกเรากับผู้ฝึกตนแห่งส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว ต่างกันเพียงแค่หนทางวิถีที่สูงส่งยิ่งกว่าหนทางแห่งวิถีลึกล้ำเท่านั้น! ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวพวกเขาเลยสักนิด!”
มีผู้อาวุโสบางคนกล่าวด้วยความตื่นเต้น
เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป พวกเขาจึงเข้าใจถึงความลับมากมาย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าสูงกว่าหนทางแห่งวิถีลึกล้ำยังมีหนทางสู่สวรรค์อีกหนทางหนึ่ง!
“ว่ากันว่า ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินถ่ายทอดความของหนทางสู่สวรรค์ให้แก่ผู้อาวุโสขอบเขตมหาจักรพรรดิเหล่านั้นแล้ว เห็นได้ว่า วันข้างหน้ามหาแดนดินของพวกเราจะต้องมีตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิอุบัติขึ้นอย่างแน่นอน!”
มีคนกล่าวขึ้นด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ไม่เสียแรงที่เป็นใต้เท้าซู เช่นนี้สิจึงจะเรียกได้ว่าจิตใจกว้างขวางอย่างแท้จริง! นับแต่โบราณกาลจนถึงตอนนี้ ทั่วทั้งแผ่นดิน ไม่มีใครทัดเทียม! เรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนอันดับหนึ่งในตำนาน!”
…ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดเหล่านี้ มีบางคนได้กลิ่นอันตราย
“อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก ขุมกำลังของส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นพลาดท่าครั้งใหญ่เช่นนี้ จะยอมเลิกราไปง่าย ๆ ได้อย่างไร?”
“สักวันไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอน!”
ขณะที่ภายนอกถกประเด็นกันอย่างเผ็ดร้อน ถ้ำเสวียนจวินจึงกลับอยู่ในสภาวะนิ่งสงบ
ซูอี้ปิดตน จิ่นขุยกับหวังเชวี่ยและคนอื่น ๆ ต่างคนต่างฝึกตน
ความเป็นจริงแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ในชั่วชีวิตที่ยาวนานของพวกเขา การปิดตัวฝึกตนจึงเป็นสิ่งที่ทำกันเป็นปกติ ไม่ขาดหาย
ซูอี้นำสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้ในคลังสมบัติถ้ำเสวียนจวินออกมาแจกจ่ายให้กับศิษย์ทั้งหลายในสำนัก
ขณะเดียวกัน ยังแบ่งสมบัติลับฟ้าดินให้แก่พวกจิ่นขุยคนละชิ้น เพื่อใช้สำหรับฝึกตน
ในด้านนี้ ซูอี้ไม่เคยคิดเห็นแก่ตัวแต่อย่างใดมาก่อน
วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วประดุจน้ำไหล
ไม่นานนักก็ผ่านไปแล้วสองเดือน
มหาแดนดินเริ่มกลับสู่ความสงบและสันติอีกครั้ง
มีแต่เพียงขุมกำลังระดับสุดยอดในตอนนี้เท่านั้นที่เข้าใจดีว่า พายุใหญ่จากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวจะต้องย้อนกลับมาสู่มหาแดนดินอีกครั้งไม่ช้าก็เร็ว!
ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า พายุใหญ่ในครั้งนี้จะน่ากลัวสักแค่ไหน
ทว่าขุมกำลังสายวิถีระดับสุดยอดแต่ละสายเริ่มเตรียมตัวรับมือกับผลร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดขึ้น
ส่วนซูอี้ หลังจากผ่านการฝึกตนในช่วงเวลาสองเดือน และหลอมสมบัติลับฟ้าดินไปสี่ชิ้น จึงสามารถยกระดับการฝึกของตัวเองขึ้นไปสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายได้แล้ว!
อีกทั้งยังห่างจากขั้นสมบูรณ์ไม่มากแล้ว!
“เหลือสมบัติลับฟ้าดินอีกเพียงแค่สี่ชิ้นเท่านั้น…”
ในถ้ำ ซูอี้ตื่นขึ้นจากสมาธิ พลางขมวดหัวคิ้วน้อย ๆ
หลังจากระดับการฝึกตนได้รับการพัฒนาให้สูงขึ้น เขาต้องหลอมพลังมารดาฟ้าดินมากขึ้นจึงจะสามารถคงสถานะระดับการฝึกตนพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในขั้นสูงสุดได้ตลอด
‘เวลาที่บรรลุสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ ไม่มีปราณมารดาฟ้าดิน เกรงว่าคงต้องไปเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเสียแล้ว…’
ซูอี้คิด
ในชั่วขณะที่เขากำลังครุ่นคิด จู่ ๆ เสียงรีบร้อนของจิ่นขุยก็ดังขึ้นจากนอกถ้ำ
“อาจารย์ ไม่ได้การแล้ว ศิษย์เพิ่งได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่รอง สงสัยว่าศิษย์พี่รองอาจจะเจออันตรายถึงแก่ชีวิตเจ้าค่ะ!”
………………..