บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1143: เจ้าหาตัวรอดเอาเองเถอะ
ตอนที่ 1143: เจ้าหาตัวรอดเอาเองเถอะ
ขณะที่พูด ซูอี้ก็ปล่อยบุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียน
บุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนหอบหายใจอย่างแรง ทั้งตื่นตระหนกและเจ็บใจ
ก่อนหน้านี้ เขานึกว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้ว!
“เจ้า… มั่นใจหรือว่าจะให้ข้าเรียกคนมาช่วย?”
บุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“อย่าพูดมา รีบไปเรียกมา!”
หนอนตะกละเฒ่าที่อยู่ห่างออกไปตะคอก เขารู้สึกสาแก่ใจนัก อยากจะล้างบางคนทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังบุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนคนนี้
ส่วนเรื่องกังวลใจ…
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าซูอยู่ มีอะไรต้องให้กังวล?
เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่กลัวหรืออาจจะมีแผนอย่างอื่น ทว่าหากตัวเองอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ตอนนี้คือโอกาสเดียวเท่านั้น!
วิ้ว!
อย่างรวดเร็ว ระหว่างมือทั้งสองข้างของบุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนเกิดตราประทัยลึกลับ พลังมหาวิถีอันพิสดารเคลื่อนตัว
จากนั้น ตราประทับลึกลับพลันกลายเป็นสายรุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากกระทำไปทั้งหมดนี้แล้ว บุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนก็สงบใจลง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถือโอกาสนี้ ข้ามีความจำเป็นต้องเตือนพวกเจ้าสักหน่อย ผู้ที่มาภูมิดาราฟ้าดินพร้อมกับข้าในครั้งนี้…”
เพียะ!
บุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถูกตบหน้าฉาดหนึ่ง จนจิตวิญญาณของเขาแทบจะหลุดกระเด็นออกมา
“ไปคุกเข่าอยู่ตรงนั้น”
ซูอี้เบนสายตามองไป
“คุกเข่า!?”
เมื่อเห็นซูอี้ง้างมือขึ้น เขาจึงจำต้องอดกลั้นความอับอายที่โดนดูถูก และคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“ไร้ซึ่งเกียรติ ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ผู้แข็งแกร่งจากสำนักใหญ่แห่งห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวก็อย่างนั้น”
หนอนตะกละเฒ่าทำหน้าดูแคลน
“อย่างไรเสียในโลกนี้คนที่ไม่กลัวตายมีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น”
ซูอี้โพล่งขึ้นมา
เขายืนมือไพล่หลัง เบนสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า จิ่งหังกำลังพยายามผ่านภัยพิบัติ แสงภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่สะท้อนลงบนผืนแผ่นดินเกิดเป็นสีสันอันงดงามตระการตา
ขณะเดียวกันนี้เอง…
ในหมู่ดาราอันกว้างใหญ่และเงียบสงบ อุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเคว้งคว้าง
ในกลุ่มอุกกาบาตนั้นคือเกลียวคลื่นมิติขนาดมหึมา สะเก็ดแสงแห่งกาลเวลาสาดกระเซ็น สั่นคลอนอย่างรุนแรง
นี่คืออุโมงค์กาลเวลาที่ถูกขุดเจาะกลางอากาศ!
“ขอเพียงสร้างหอบวงสรวงวิถีแห่งนี้สำเร็จ อุโมงค์มิติที่ตรงไปยังภูมิดาราฟ้าดินเส้นทางนี้ก็จะมั่นคงถาวร”
ผู้เฒ่าในชุดขนนกกล่าวเบาสบาย “ถึงเวลานั้น ไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็สามารถเดินทางจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของพวกเรามายังภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้ได้!”
เขาถือแส้ปัดในมือ บุคลิกงามสง่าประดุจเซียน ขณะยืนอยู่ห่างออกไปไกล
อวิ๋นเซียวเซิง
หนึ่งในผู้อาวุโสสามสิบหกคนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ มีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์
เป็นเพราะไม่เคยบรรลุสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ เขาจึงได้แต่รับหน้าที่เป็นผู้นำของเหล่าผู้อาวุโสสายนอก
“นี่เป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะได้สร้างความดีความชอบ เพราะอย่างไรเสียก็ดี อุโมงค์กาลเวลาที่ข้ามจักรวาลพร่างดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ มากสุดให้แค่ผู้แข็งแกร่งที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิผ่านเข้าไปเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ผู้อาวุโสในสำนักที่บรรลุสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิเหล่านั้นก็คงจะมาทำด้วยตนเองแล้ว”
ผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเงินหัวเราะพลางกล่าว
ฮั่วซานตู
“กล่าวไม่ผิด ภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้กลายเป็นปิตุภูมิเวิ้งดาราไปนานแล้ว สภาพจึงไม่ค่อยน่าดูนัก แม้กระทั่งหนทางสู่สวรรค์ก็ยังหายสาบสูญ ด้วยระดับวิถีของคนรุ่นข้า เปรียบได้กับผู้กำหนดชะตาของคนทุกคนในภูมิดาราแห่งนี้!”
สตรีในชุดกระโปรงเขียวมีท่าทางเรียบร้อย ทว่าวาจานั้นโอหัง วางตัวสูงส่งเกินใคร
นางมีนามว่าหลีเมี่ยวอวิ๋น มีฐานะเฉกเช่นเดียวกับอวิ๋นเซียวเซิงกับฮั่วซานตู
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเดินทางมายังภูมิดาราฟ้าดินในครั้งนี้ โดยมีพวกเขาทั้งสามเป็นผู้นำขบวน
“ประมาทไม่ได้ คนท้องถิ่นของภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้อาจจะไม่เก่งกาจ แต่ก่อนที่พวกเราจะมา ประมุขผู้สูงส่งเคยกล่าวไว้ว่า สามขุมกำลังใหญ่ คือ โรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์ กับลัทธิทางช้างเผือก ได้ส่งคนมายังภูมิดาราฟ้าดินตั้งแต่เมื่อนานมากแล้ว”
อวิ๋นเซียวเซิงมีสีหน้าเคร่งเครียด “อาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ในการค้นหาความลับแห่งวัฏสงสารและเก็บรวบรวมปราณมารดาฟ้าดิน ระหว่างพวกเรากับสามขุมกำลังใหญ่นั้นจะต้องมีการแก่งแย่งและปะทะกันอย่างแน่นอน”
ฮั่วซานตูกับหลีเมี่ยวอวิ๋นต่างก็พยักหน้า
พวกเขาล้วนมาจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว จึงเข้าใจเป็นธรรมดาว่าขุมกำลังอย่างโรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์ และลัทธิทางช้างเผือกไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของพวกเขาเลย
ขณะที่กำลังพูดคุยสนทนา พวกเขาแต่ละคนต่างก็หลอมสร้างหอบวงสรวงวิถีแห่งนั้นพร้อมกับผู้แข็งแกร่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิคนอื่น ๆ
สวบ!
สายรุ้งหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ กลายเป็นตราประทับเลือนรางลอยล่องอยู่ตรงนั้น
อวิ๋นเซียวเซิงเอื้อมมือไปคว้า ออกแรงบีบตราประทับจนแตก ทันใดเสียงนึกคิดที่เต็มด้วยความหวาดกลัวถ่ายทอดออกมา
“ผู้อาวุโสรีบมาช่วยข้าด้วย…!”
หนังตาของอวิ๋นเซียวเซิงกระตุก “หลิ่วชวนที่อยู่ทางนั้นเกิดเหตุไม่ดีขึ้นแล้ว!”
ฮั่วซานตูกับหลีเมี่ยวอวิ๋นตื่นตะลึงเพราะคาดไม่ถึง
“จะเป็นไปได้เช่นใดกัน ข้างกายหลิ่วชวนมีอวิ๋นโย่ว ทั้งยังมีผู้ดูแลห้าท่านอยู่รับใช้ ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดในภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้ จะเกิดอันตรายขึ้นได้เช่นใดกัน?”
ฮั่วซานตูขมวดคิ้ว
หลิ่วชวน เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน เขามีฐานะสูงส่งมาก จนไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ
นอกจากนี้แล้ว อวิ๋นโย่วที่อยู่ข้างกายหลิ่วชวนยังเป็นหนึ่งในองครักษ์ข้างกายของผู้อาวุโสใหญ่ มีกำลังการต่อสู้อันแข็งแกร่ง สังหารตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
อวิ๋นเซียวเซิงกล่าวเสียงเครียด “จะรอช้าไม่ได้ พวกเจ้าสองคนไปดูสถานการณ์ด้วยกัน ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องพาหลิ่วชวนกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ หากว่าเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น พวกเขาคงไม่มีหน้ากลับไปรายงานต่อผู้อาวุโสใหญ่”
ฮั่วซานตูกับหลีเมี่ยวอวิ๋นรับคำอย่างพร้อมเพรียงกันและปฏิบัติตามคำสั่งในทันที
อวิ๋นฮั่วเซิงเห็นพวกเขาทั้งสองจากไปแล้ว แววตาผุดประกายดุดันขึ้นมา ในภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้ มีคนกล้าดีทำร้ายคนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ คงอยากตายมากจริง ๆ!!
…
ภัยพิบัติเมฆาดาลเดือด สายฟ้าแลบเปรี้ยงปร้าง
จิ่งหังพยายามผ่านพ้นภัยพิบัติอย่างสุดกำลัง
หนอนตะกละเฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล
ส่วนซูอี้นอนเอนกายสบายใจอยู่บนเก้าอี้หวายนานแล้ว ยกกาสุราขึ้นดื่มอย่างรื่นรมณ์ ทอดสายตามองดูสถานการณ์ของจิ่งหังบ้างเป็นพัก ๆ
จิตวิญญาณของหลิ่วชวน บุรุษผู้สวมชุดลายนกกระเรียนนั่งคุกเข่าอย่างนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น โดยไม่ปริปาก
เมื่อฮั่วซานตูกับลีเมี่ยวอวิ๋นมาถึง พวกเขามองเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้วถึงกับอึ้งตะลึง ความรู้สึกโกรธแค้นไม่พอใจก็พุ่งพรวดขึ้นมา
“ผู้อาวุโสทั้งสอง!”
หลิ่วชวนร้องตื่นเต้นดีใจ
เมื่อกวาดสายตามองไปที่ซูอี้ที่นั่งอยู่ข้างกาย หลิ่วชวนถึงกับสะท้านขึ้นมาในใจ รีบกล่าวเตือน “ผู้อาวุโสทั้งสองจะต้องระวังตัวให้ดี!”
ฮั่วซานตูกับหลีเมี่ยวอวิ๋นต่างก็พยักหน้า
พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก เพียงแค่มองก็รู้ว่ามีความไม่ชอบมาพากล
“สหายท่านนี้ เจ้าคิดจะจับตัวศิษย์ของพวกข้ามาข่มขู่เช่นนั้นหรือ?”
หลีเมี่ยวอวิ๋นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาจับจ้องไปที่ซูอี้
นางมองออกว่าหนุ่มน้อยผู้สวมชุดสีเขียวคนนี้มีบางอย่างผิดปกติ!
อีกทั้งหลิ่วชวนยังถูกจับตัวเช่นนี้ ทำให้นางกับฮั่วซานตูไม่กล้าลงมือ
“ข่มขู่?”
สีหน้าของหลิ่วชวนขุ่นหมอง ในใจเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ทว่าเขากลับไม่กล้าตอบโต้ และได้แต่กล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งสอง ที่ข้าถูกจับตัว ก็เพราะว่าเขา… เขาบอกว่าจะให้โอกาสข้าได้ตายตาหลับ ให้ข้าเรียกคนมาช่วย มาเท่าไร… ฆ่าเท่านั้น!”
พูดจบ เขาก็คอตก เหี่ยวเฉาราวกับมะเขือเผา รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา สีหน้าของฮั่วซานตูกับหลีเมี่ยวอวิ๋นถมึงทึงขึ้นมา
“คนหนุ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร?”
ฮั่วซานตูกล่าวเสียงเข้ม สีหน้าไม่เป็นมิตร
“รู้”
ซูอี้เผยอริมฝีปากน้อย ๆ เอ่ยขึ้นเบา ๆ “เพียงแค่…. คนตายสองคนเท่านั้น!!”
เสียงยังคงดังวนเวียน ทว่าร่างของเขาหายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว ครู่ถัดมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวห่างจากฮั่วซานตูเพียงจั้งกว่า ๆ
ฮั่วซานตูหรี่ตามอง ระเบิดประกายแสงเทวะออกจากตัว พลังปราณปะทุ แล้วปล่อยหมัดออกไป
ตราประทับอัสนีทวิภูมิ!
“ตั๊กแตนขวางรถ”
ซูอี้หัวเราะเยาะ พลางปล่อยหมัดออกไปเช่นกัน
ปัง!!
ผืนแผ่นดินแห่งนี้ระเบิดขึ้นในทันใด พลังทำลายล้างแผ่สานซ่านกระเซ็น
ขณะที่สะเก็ดแสงแตกกระจาย ร่างของฮั่วซานตูถูกซัดกระเด็นอย่างแรง
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ร้องเสียงหลงออกมา “เป็นไปได้อย่างไร!?”
หลีเมี่ยวอวิ๋นก็ตกใจเช่นกัน ดวงตางดงามเบิกโพลง
จู่ ๆ ซูอี้ก็ลงมืออย่างรุนแรง ทำให้นางตื่นตะลึงคาดไม่ถึงจนแทบไม่อยากจะเชื่อ
ยิ่งกว่านั้น เพียงแค่หมัดเดียว ผู้อาวุโสฮั่วซานตูถึงกับต้องถอยร่น!!
หลิ่วชวน “?!”
ทว่าชั่วขณะนี้ เหมือนดังมีคนใช้กระบองฟาดหัวอย่างแรง มึนงงไปหมด
จักรพรรดิขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์…. ก็ยังสู้ไม่ได้?
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซูรุนแรงจนสวนทางสวรรค์แล้ว!”
หนอนตะกละเฒ่าตาค้าง
เขามองออกว่า สองคนที่มาในครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่ากลุ่มคนเมื่อสักครู่
ทว่าใครกันจะคาดคิด เวลาอยู่ต่อหน้าซูอี้ กลับดูแทบไม่ได้!
“สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของพวกเจ้ามีแค่นี้เองหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ประโยคเดียว หน้าของฮั่วซานตูกับหลีเมี่ยวอวิ๋นก็เขียวปั้ดขึ้นมา ทั้งต่างมองตากัน จากนั้นหยิบสมบัติล้ำค่าออกมาต่อสู้ด้วยอย่างเต็มกำลัง!
ชิ้ง!
หลีเมี่ยวอวิ๋นสำแดงตราประทับวิถีสีม่วง มีสายฟ้าล้อมรอบ บนนั้นสลักอักษรว่า ‘รอยอัสนี’ เพียงแค่โจมตี ฟ้าดินราวกับยุบตัวกลายเป็นหลุม อานุภาพรุนแรงเหลือคณา
พลังที่คนทั้งสองสำแดงออกมาในเวลานี้ ไม่ด้อยไปกว่าซ่างเทียนฉีจากตำหนักสุริยันของลัทธิทางช้างเผือกกับโม่อวี๋ ผู้เป็นจ้าวเรือนจำที่หกแห่งหอเก้าสวรรค์
แต่เสียดาย ในสายตาของซูอี้ตอนนี้ พวกเขาเป็นเพียงตัวตนเล็กกะจ้อยร่อยเสียเหลือเกิน
เพราะอย่างไรเสีย ตอนที่อยู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้น เขาก็สามารถสังหารจ้าวเรือนจำที่หกได้แล้ว! และเขาในตอนนี้ได้บรรลุสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นปลายแล้ว ห่างจากขั้นสมบูรณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้กระทั่งต่อสู้กับสตรีถือหอกผู้มีที่มาลึกลับคนนั้น ก็ยังไม่เคยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
“ตาย!”
ซูอี้ก้าวเท้าเดินบนผืนแผ่นดิน ฝ่ามือราวกับดาบ ฟันดาบรบในมือฮั่วซานตูแตกกระจุย ทว่าพลังดาบยังคงไม่ลดแรงกำลัง ฟันหัวของฮั่วซานตูกระเด็น
รุนแรงไม่หยุดยั้ง ราวกับเชือดคอไก่!
ครืน!
หลีเมี่ยวอวิ๋นกรีดร้อง นางตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี หมุนตัวได้ก็เผ่นหนี แม้กระทั่งหลิ่วชวนก็ไม่สนใจอีก นางไม่กล้ารีรอชักช้าแม้ชั่วครู่
นางตื่นตระหนกตกใจอย่างสุดขีด มีชีวิตอยู่มานานไม่รู้เท่าใด เป็นครั้งแรกที่เห็นตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำที่น่ากลัวถึงเพียงนี้
หากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก นางหนีไปไกลแล้ว!
ทว่าร่างของนางยังไปได้ไม่ถึงไหน พลังดาบก็ซัดเข้าใส่ในทันใด
เอื๊อก!
ร่างของหลีเมี่ยวอวิ๋นถูกฟันเอวขาด!!
………………..