บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1144: รู้จักมักคุ้น
ตอนที่ 1144: รู้จักมักคุ้น
หลิ่วชวนตกใจมาก จนจิตวิญญาณสั่นระริก
นี่เป็นสถานที่ที่ถูกเรียกว่าแหล่งทรุดโทรมอย่างปิติภูมิเวิ้งดาราเช่นนั้นหรือ?
แต่เหตุใดกัน? พวกเขาเป็นแค่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเท่านั้นเอง!
แต่กลับสามารถสังหารตัวตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์ได้ในดาบเดียว?
หากว่าเป็นที่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว เรียกได้ว่าหาพบเห็นได้ยากมาก และไม่เคยมีมาก่อน!
และในเวลานี้ เมื่อเห็นซูอี้หมุนตัวกลับมา หลิ่วชวนก็รีบคุกเข่าลงในทันที กล่าวเสียงสั่น “ข้ายอมแพ้! ข้ายอมแพ้!!”
เสียงปนสะอื้น ทำท่าเหมือนไม่ไหวแล้ว
ท่าทีขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนั้น หนอนตะกละเฒ่าเห็นแล้วรู้สึกดูแคลนนัก
“เจ้ายังเรียกคนอื่น ๆ มาได้อีก”
“ไม่เรียกแล้ว ไม่เรียกอีกแล้ว!”
หลิ่วชวนขอร้องเสียงสั่น “ขอเพียงท่านไม่ฆ่าข้า สามารถจับข้าเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติล้ำค่าของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้ตามสบาย ใช่แล้ว บิดาข้าเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เขาจะต้องทุ่มเททรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีเพื่อทำตามความปรารถนาของท่านเป็นแน่!”
หนอนตะกละเฒ่าร้องเชอะขึ้นมา “ไร้ยางอายสิ้นดี ไม่มีเกียรติศักดิ์ศรีแม้แต่น้อย หากว่าข้าเป็นพ่อของเจ้า คงตีเจ้าตายไปนานแล้ว”
ซูอี้กลับรู้สึกเคยชิน
เมื่อตอนอดีตชาติ เขาเคยเห็นพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้รักในเกียรติศักดิ์ศรีถวายทุกสิ่งของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาเพื่อขออย่างเดียว ให้มีชีวิตรอดเท่านั้น
และเคยเห็นคนที่ต่ำต้อยจับดาบขึ้นสู้โดยไม่หวาดเกรงต่อความตาย!
พูดไปแล้ว ยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ก็ยิ่งกลัวตาย
สำหรับพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นแล้ว พวกเขาไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ สิ่งปรารถนายิ่งใหญ่ภายในใจคือเสาะแสวงหาวิถี ไม่มีใครที่ไม่หวาดกลัวต่อความตาย ไม่ห่วงคนในครอบครัวเมื่อความตายมาถึง
ซูอี้กล่าว “ตอนนี้ นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่?”
ไม่รอให้เขาตอบ ซูอี้ก็เอื้อมมือออกไปหิ้วคอเขาขึ้น ก่อนจะกล่าว “พาข้าไปหาพวกเขา”
หลิ่วชวนราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทว่าเพียงแค่สบสายตาอันราบเรียบของซูอี้เข้า เขาก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกหวาดกลัวไม่มีกำลังจะต่อสู้
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู ไม่จาบจ้วงเกินไปหรือ?”
หนอนตะกละเฒ่าอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ไม่จัดการกับพวกเขาเสียแต่เนิ่น ๆ สักวันพวกเขาก็จะต้องมาหาถึงที่”
ซูอี้หมุนตัวโฉบออกไปไกล “เจ้าช่วยดูจิ่งหังให้ข้าด้วย ไม่เกินครึ่งเค่อ เขาก็น่าจะผ่านพ้นได้สำเร็จ”
เสียงยังคงดังก้อง ทว่าร่างของเขาหายลับไปแล้ว
“หากว่าเจ้าหนอนหนังสือจิ่งหังมีความเก่งกาจเหมือนอาจารย์ของเขาสักหน่อย คงจะพิสูจน์เต๋าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำไปนานแล้ว…”
หนอนตะกละเฒ่ารำพึง
ได้พบกับซูเสวียนจวินผู้กลับชาติในครั้งนี้ มองเห็นพลังน่ากลัวของฝ่ายตรงข้ามแล้ว สร้างความตื่นตาตื่นใจให้หนอนตะกละเฒ่าเป็นอย่างมาก จนเขาไม่อาจสงบใจได้
ในแถบอุกกาบาตที่ลอยอยู่บนกลางอากาศแถวนั้น
“เร่งมือเข้าอีก ไม่เกินครึ่งเค่อ หอบวงสรวงแห่งนี้ก็จะหลอมสร้างสำเร็จแล้ว”
อวิ๋นเซียวเซิงสั่งกำชับ
บริเวณใกล้ ๆ ผู้แข็งแกร่งทั้งสิบหกท่านจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิไม่รอช้า เร่งมือเต็มกำลัง หลอมสร้างหอบวงสรวงแห่งนั้นอย่างเต็มที่
ฉับพลัน เสียง ๆ หนึ่งดังแหวกอากาศมาแต่ไกล
“นี่ยังไม่ทันถึงครึ่งเค่อเลย เหตุใดผู้อาวุโสฮั่วกับผู้อาวุโสหลีจึงกลับมาเร็วนัก?”
อวิ๋นเซียวเซิงตะลึง
ทันใด เขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงเงยหน้าขึ้นมอง
พลันเห็นสายรุ้งสว่างแหวกทะลุอากาศโฉบเข้ามา
เมื่อมองดูให้ละเอียด นั่นคือชายหนุ่มชุดสีเขียว และที่ห้อยโตงเตงในมือของเขาก็คือจิตวิญญาณของหลิ่วชวน!
“นี่…”
จักรพรรดิสิบหกท่านที่กำลังหลอมสร้างหอบวงสรวงวิถีอยู่พากันหยุดและหันไปมองดูซูอี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันใด
ทว่าสีหน้าของซูอี้กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาเริ่มกวาดสายตามองตั้งแต่ตัวของอวิ๋นเซียวเซิง จากนั้นมองดูเกลียวคลื่นกาลเวลาที่ลอยสูงลิ่ว
เขาถึงกับตะลึง
หรือว่า ผู้แข็งแกร่งของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิขุดเจาะอุโมงค์กาลเวลาจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวมายังภูมิดาราฟ้าดิน?
“ผู้อาวุโสอวิ๋น ข้า… ข้าถูกบังคับ…”
หลิ่วชวนพูดอึกอัก หวาดกลัวมาก
อวิ๋นเซียวเซิงกล่าวทั้งที่ขมวดคิ้วแน่น “พวกเขา… ตายกันหมดแล้วหรือ?”
หลิ่วชวนรีบพยักหน้าราวกับลูกไก่จิกเมล็ดข้าวโพด
ทุกคนเงียบกริบจนได้ยินเสียงสูดปากอย่างชัดเจน
“ท่านมาในครั้งนี้ เพราะต้องการจะฆ่าคนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิไม่ให้เหลือใครเลยสักคนเช่นนั้นหรือ?”
สายตาของอวิ๋นเซียวเซิงสว่างวาบ สีหน้าพลันเคร่งเครียดขึ้นมา
ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ก็สามารถจัดการกับฮั่วซานตูและหลีเมี่ยวอวิ๋นได้อย่างสบาย อีกทั้งดูท่าแล้วอีกฝ่ายยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง ๆ
เรื่องนี้ทำให้อวิ๋นเซียวเซิงรู้ได้ในทันใดว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ อาจจะเป็นตัวตนที่มีความน่ากลัวอย่างที่สุดก็เป็นได้!
“ไม่ผิด”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
สีหน้าของอวิ๋นเซียวเซิงเปลี่ยนไป ดูบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม
คนอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยต่างก็แสดงสีหน้าไม่พึงพอใจ
เวลานี้เอง เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น หลิ่วชวนทนไม่ไหวร้องเตือนขึ้นมา “ผู้อาวุโสหลิ่ว อย่าได้พูดจาข่มขู่เป็นอันขาด!!”
อวิ๋นเซียวเซิง “?”
หลิ่วชวนกล่าวด้วยความรีบร้อน “ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะพวกผู้อาวุโสฮั่วกล่าววาจาลบหลู่ดูแคลนออกมา ใต้เท้าท่านนี้จึงสังหารในดาบเดียว ตายคาที่ ข้า… ข้าไม่อาจทนเห็นทุกคนต้องสิ้นชีวิตโดยเปล่าประโยชน์!”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาหอบหายใจกล่าว “ตามความเห็นของข้า หากว่าเป็นไปได้ ข้าหวังว่า… หวังว่าทุกคนจะยอมก้มหัว ยอมแพ้เสียโดยดี… เช่นนี้ บางทีอาจจะรอดชีวิต”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุกคนส่งเสียงดังระงม
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อราวกับไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองออกมา
ซูอี้เองก็ยังตกใจเช่นกัน เจ้าหนุ่มคนนี้… ท่าทีเปลี่ยนรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง?
อวิ๋นเซียวเซิงกลับโมโหเกรี้ยวกราดหนักพร้อมกับแผดเสียงด่า “หลิ่วชวน! อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นคนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ จะดูแคลนตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? หากว่าผู้อาวุโสใหญ่มาเห็นเจ้ารักตัวกลัวตายเช่นนี้ จะต้องโกรธมากจนฆ่าเจ้าทิ้งก็ได้!”
เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก หลิ่วชวนคนนี้ไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเองเสียเลย ตัวเขาเองขายขี้หน้าคนเดียวก็พอแล้ว ยังจะยุให้คนอื่นยอมแพ้อีก บัดซบสิ้นดี!
เมื่อถูกด่าว่าอย่างรุนแรงเช่นนี้ หลิ่วชวนก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และโกรธขึ้นมาเช่นกัน “ข้าไม่คำนึงถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีเช่นนี้ เพราะเหตุใด? เพราะไม่ต้องการให้พวกเจ้าเอาชีวิตมาทิ้งไม่ใช่หรอกหรือ? หากว่าพวกเจ้าไม่เชื่อ สามารถเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกได้ตามสบาย!!”
เมื่อเห็นว่าหลิ่วชวนยังบังอาจโต้เถียง อวิ๋นเซียวเซิงจึงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ตาแทบถลน อยากจะตบคนบัดซบไร้ศักดิ์ศรีคนนี้ให้ตายคามือ
ซูอี้เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่เขาเตือนนั้นถูกต้อง แต่ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะในเมื่อข้ามาแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสพวกเจ้าได้ยอมแพ้”
เพียงประโยคเดียว บรรยากาศเงียบสงบกดดันขึ้นมาในทันที
“เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าขอดูหน่อยเถอะ!”
อวิ๋นเซียวเซิงโกรธจนควันออกหู
ซูอี้ร้องอ้อ จากนั้นจึงชี้นิ้วไปกลางอากาศ
ดวงดาวในแถบนี้พลันส่องสว่าง พลังดาบนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าราวกับสายรุ้งอันเฉิดฉาย พุ่งกระหน่ำเทลงมา
ราวกับฝนดาบอันรุนแรงน่ากลัวซัดเทลงมา!
พลังดาบแต่ละเล่มส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ สำแดงอานุภาพดาบอันลี้ลับยากจะหยั่งรู้ ทะลุผ่านอากาศเป็นรอยแนวยาว ๆ
เอื๊อก! เอื๊อก! เอื๊อก!
ตรงนั้น เลือดพุ่งกระเซ็นเป็นจุด ๆ
เสียงโอดครวญน่าเวทนาดังไม่หยุด นอกจากนี้แล้ว ยังมีเสียงสมบัติล้ำค่าแตกหักดังสนั่น
ฝนดาบสุดลูกหูลูกตาปกคลุมไปทั่ว จักรพรรดิสิบกว่าคนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิตายคาที่อย่างอนาถ
“บัดซบ!”
อวิ๋นเซียวเซิงโกรธเกรี้ยวอย่างแรง เขาสะบัดแส้ปัดขึ้นต้านทานการจู่โจมนี้ ทว่ายังคงได้รับบาดเจ็บจากแรงซัดของพลังดาบที่ร่วงหล่นลงมา อยู่ในสภาพย่ำแย่
“เหตุใดจึงไม่เชื่อ เหตุใดจึงไม่เชื่อกันเลย…”
หลิ่วชวนร่ำร้อง ร่างสั่นงันงก ตื่นตระหนกหวาดกลัว
“เจ้าคิดว่า คนอื่น ๆ จะไร้ศักดิ์ศรีเหมือนเช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
หลิ่วชวนส่ายหน้า ตื่นกลัวขวัญกระเจิง “บิดาข้ามักจะบอกกับข้าเสมอ ผู้ที่รู้กาลเทศะจึงเป็นคนฉลาด ไม่ยึดติดในลาภยศ ก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะลาภยศ ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างล้วนสละทิ้งได้…”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ
กล่าวช้า ๆ ชัด ๆ ทีละคำราวกับเสียงฟ้าผ่า
ป้ายโองการลุกไหม้ สะเก็ดแสงนับไม่ถ้วนปะทุขึ้น
เกลียวคลื่นแห่งกาลเวลาที่ลอยอยู่กลางอากาศบิดเบี้ยวขึ้นมาในทันใด
ร่างเลือนรางสว่างไสวปรากฏขึ้นในฉับพลัน เดินออกมาจากเกลียวคลื่นแห่งกาลเวลา!
ครืน!!
ท้องฟ้าทางนี้ผันผวนอย่างรุนแรง หินอุกกาบาตโดยรอบแตกระเบิด
อานุภาพน่ากลัวแผ่กระจายออกไป
“นี่…”
หลิ่วชวนลืมตาค้าง
ร่างเลือนรางส่องแสงสว่างร่างนั้นเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นทีละน้อย เป็นร่างหญิงสาวงดงามสวมชุดกระโปรง
ที่น่าตรึงตาก็คือกลางหัวคิ้วของนาง มีรอยประทับสีทองลอยเด่น รอยประทับนั้นคล้ายกับสัญลักษณ์ลึกลับของ ‘หนอนไหมสีทองกลืนหางตัวเอง’
“ใต้เท้าองค์วิญญาณ!”
หลิ่วชวนมองตาค้าง ร้องเสียงหลง “ไหนบอกว่า อุโมงค์แห่งกาลเวลานี้มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิเท่านั้นที่ผ่านได้ไม่ใช่หรือ?”
“อุโมงค์แห่งกาลเวลาเส้นนี้ เดิมที่ใต้เท้าองค์วิญญาณเป็นผู้บุกเบิกขึ้น จะขัดขวางไม่ให้ใต้เท้าองค์วิญญาณมาโลกนี้ได้อย่างไร?”
อวิ๋นเซียวเซิงสบถ
ขณะที่พูด เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หมอบตัวแสดงความเคารพ “อวิ๋นเซียวเซิงผู้อาวุโสสายนอก ยินดีต้อนรับการมาเยือนของใต้เท้าองค์วิญญาณ!”
สีหน้าของเขาเคร่งเครียด แววตาเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง และแฝงไว้ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องที่หาผู้หนุนหลังได้
“เจ้า… ต้องการให้ข้าช่วยจัดการกับใคร?”
หญิงสาวผู้งดงามในชุดกระโปรงยืนอยู่บนกลางอากาศ กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เขานั่นเอง!”
อวิ๋นเซียวเซิงหมุนตัวขวับ ชี้นิ้วไปที่ซูอี้ สีหน้าโศกเศร้าแฝงไว้ซึ่งความเคียดแค้น “คนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนเก่งหลายคนของสำนักข้า ช่างน่าเจ็บใจนัก ใต้เท้าองค์วิญญาณโปรดช่วยสังหารคนผู้นี้ด้วยขอรับ”
แต่ละคำนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ข้าเกรงว่าคงช่วยเจ้าไม่ได้”
หญิงสาวในชุดกระโปรงส่ายหน้าน้อย ๆ
อวิ๋นเซียวเซิงตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง กล่าวขึ้นมา “เพราะ… เพราะเหตุใด?”
หลิ่วชวนก็ตะลึงเช่นกัน นั่นสิ เพราะเหตุใดกัน?
ริมฝีปากแดงระเรื่อของหญิงสาวในชุดกระโปรงเผยอยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพราะว่า… ข้ากับเขารู้จักมักคุ้นกันดี”
ขณะที่พูด นางยิ้มพลางกวักมือเรียก “สหายเต๋า ช่างบังเอิญเสียจริง พวกเรามาเจอกันที่นี่จนได้”
ความปีติยินดีเต็มสายตา ไม่มีปิดบังซ่อนเร้น!
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว อวิ๋นเซียวเซิงราวกับถูกสายฟ้าฟาด มือเท้าเย็นวาบ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใต้เท้าองค์วิญญาณ… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!?
ส่วนหลิ่วชวน สายตาเลื่อนลอย สับสนไปนานแล้ว