บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1145: อาไฉ่!
ตอนที่ 1145: อาไฉ่!
สายตาของซูอี้เปลี่ยนไป
เขาจำหญิงสาวในชุดกระโปรงคนนั้นได้เป็นธรรมดา
อาไฉ่!
ตัวไหมลึกลับสีทอง
นางเคยกล่าวไว้ว่า นางกำเนิดท่ามกลางต้นกำเนิดฮุ่นตุ้น เป็นสักขีพยานในการเกิดขึ้นและดับลงของมหาวิถีมากมาย มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของยุคดาราแต่ละสมัย เคยเดินทางเป็นระยะทางหมื่นจั้งในโลก พบเห็นการพลัดพรากจากลาและพบกันใหม่จนเป็นเรื่องปกติ และเคยหลบไปนอกโลก โดยมีแสงไฟเคียงคู่ นานนับหมื่นปี…
ซูอี้ไม่ได้เชื่อเสียทั้งหมด
ทว่าเขามั่นใจว่า ที่มาของหญิงสาวนางนี้มีความลึกลับไม่ธรรมดาเลย นางเคยกลายร่างเป็นตัวไหมสีทอง กัดกินใบของต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
และในช่วงเวลาที่ผ่านมา นางฝึกตนอย่างเงียบ ๆ ใน ‘สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ’ ขุมกำลังอันดับหนึ่งของ ‘ภูมิดาราหมื่นโฉลก’!
และหญิงสาวยังอยู่ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิในฐานะที่ไม่ธรรมดาเสียด้วย ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘องค์วิญญาณอมตะ’!
หญิงสาวมีพรสวรรค์แก่กล้าโดยกำเนิด สามารถข้ามกาลเวลาและข้ามผนังกั้นมิติได้ อีกทั้งยังสามารถต้านทานและขจัดพลังแห่งการกลับชาติของวัฏสงสารได้อีกด้วย!
และทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับตราประทับสีทองที่กลางหน้าผากของนาง
รอยประทับนั้นเปรียบดั่งวงล้อ ล้อมรอบกายไม่มีวันดับ มีความเป็นอมตะไร้ที่สิ้นสุด ลึกลับมหัศจรรย์ยิ่งนัก
และในตอนนั้นเช่นกัน ซูอี้นึกถึงบันทึกที่เคยเห็นในคัมภีร์ฉบับหนึ่งขึ้นมา
“โบราณกาลมีเซียนหนอนไหม กำเนิดในความคลุมเครือ มีความเป็นอมตะ ดื่มน้ำสีทอง กินแก่นแท้แห่งหินเงิน มีความคลุมเครือเป็นฟัน เปลี่ยนแปลงในยามเปลี่ยนฤดู เด็ดกฎเกณฑ์รอบด้าน… ฟักตัวมีปีกกลายเป็นผีเสื้อ กระพือปีกท่องไปในห้วงกาลเวลา ข้ามผ่านผนังมิติ… ในโบราณกาลเรียกว่า ‘เซียนสวรรค์’!”
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า อาไฉ่กำเนิดในความว่างเปล่า ร่างเดิมของนางสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเซียนหนอนไหม พรสวรรค์แก่กล้าที่นางมีน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นอมตะ!
“ข้ายังเข้าใจว่า คนที่มีนามว่าชิงเซียวคนนั้นจะปรากฏตัวเสียอีก ไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นเจ้า”
ซูอี้เอ่ยขึ้น
และคนผู้นั้นก็คือผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ!
“เขาไม่อาจข้ามห้วงกาลเวลาเหมือนข้าเช่นนี้ได้”
อาไฉ่ หญิงสาวในชุดกระโปรงยิ้มพลางกล่าว
มองดูคนทั้งสองพูดคุยสนทนาแล้ว อวิ๋นเซียวเซิงรู้สึกราวกับร่วงหล่นไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อดรนทนไม่ได้ “ใต้เท้าองค์วิญญาณ ก่อนนี้คนผู้นี้ฆ่าผู้แข็งแกร่งของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิไปหลายคน เหตุใดท่าน…”
ยังพูดไม่จบ รอยยิ้มบนใบหน้าอาไฉ่ก็หายไป ก่อนกล่าว “หากว่าข้าช่วยพวกเจ้าจัดการกับสหายของข้า ก็เท่ากับไร้คุณธรรมต่อสหาย หากว่าไม่ช่วย ก็เท่ากับเป็นการทรยศต่อสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ แต่ยังดีที่… ข้าไม่เคยจงรักภักดีต่อสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมาก่อน”
ขณะที่พูด นางก็สะบัดแขนเสื้อ
พรึ่บ!
ประกายแสงสีทองส่องอำไพสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า กลบทับตัวอวิ๋นเซียวเซิงในชั่วพริบตา ร่างของเขาสลายกลายเป็นผงธุลี
อาไฉ่ตบมือ ขณะแย้มรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ “เท่านี้ก็จบเรื่องแล้ว”
เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว หลิ่วชวนก็ร้องเสียงดัง “ใต้เท้าองค์วิญญาณ เช่นนี้เรียกว่าฆ่ากันเอง คนกันเองแท้ ๆ กับไม่ไว้หน้าคนกันเอง แต่ตอนนี้ข้าสำนึกตัวเองแล้ว บุญคุณความแค้นที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนเป็นเพราะข้ามีตาแต่ไร้แวว กระทำความผิดขึ้นก่อน ไม่อาจกล่าวโทษต่อใครได้ สำหรับเรื่องที่เกิดในวันนี้…”
พูดถึงตรงนี้ เขาสูดหายใจลึก ๆ กล่าวเสียงหนักแน่น “ข้าหวังว่าใต้เท้าองค์วิญญาณจะช่วยขจัดความทรงจำของข้า เช่นนี้ จะได้ไม่ต้องกังวลอีกว่าคนอื่น ๆ จะรู้เรื่อง! ส่วนข้า… หวังเพียงแค่มีชีวิตรอดเท่านั้น…”
ซูอี้ถึงกับตะลึง เป็นครั้งแรกที่เขาพบเห็นคนอยากจะมีชีวิตอยู่จนไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดเช่นนี้
“บิดาของเขาก็เป็นคนเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่นับว่าแปลกนัก”
อาไฉ่กล่าวเสียงเฉยเมย “หากว่าทำได้ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สหายเต๋าสามารถมอบเขาให้ข้าจัดการ อย่างน้อยก็ยังสามารถทำข้อตกลงกับบิดาของเขาได้”
เห็นว่าอาไฉ่เริ่มวางแผนจัดการบิดาของตัวเองแล้ว หลิ่วชวนไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ทั้งยังกล่าวด้วยความยินดี “บิดาของข้าจะต้องตื่นตระหนกมากเป็นแน่ และจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อทำข้อตกลงกับใต้เท้าองค์วิญญาณ!”
ซูอี้โยนหลิ่วชวนออกไป ก่อนกล่าว “ถ้าเช่นนั้นยกให้เจ้าจัดการ”
ตอนที่อยู่หน้าต้นวัฏสงสารหมื่นวิถีนั้น อาไฉ่เคยมอบยันต์อมตะให้เขา ตอนนี้มอบหลิ่วชวนให้นางจัดการ ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณมาก”
อาไฉ่ยิ้มเบิกบาน เอื้อมมือไปจับตัวหลิ่วชวน
“ครั้งก่อนตอนที่ลาจากกัน เจ้าเคยกล่าวว่าอาจจะเจอเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้างแค้น แต่ตอนนี้ดูท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น”
ซูอี้ถาม
อาไฉ่เคยเล่าว่า บุตรีของเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเคยได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ไม่ว่าวัสดุล้ำค่าใด ๆ หรือเคล็ดวิชาอันใดก็แล้วแต่ล้วนไม่อาจสมานบาดแผลวิถีเช่นนี้ได้
และหากต้องการให้บุตรสาวของเขามีชีวิตรอด มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือกลับชาติเกิดใหม่!
เจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิหวังว่าอาไฉ่จะช่วยเด็ด ‘การเวียนวัฏ’ ให้ บุตรสาวจะได้กลับชาติเกิดใหม่อย่างแท้จริง
ทว่าตามที่อาไฉ่กล่าวมา เจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิกลับมีจุดประสงค์อื่น เขาตั้งใจว่าหลังจากที่อาไฉ่เด็ด ‘การเวียนวัฎ’ มาได้แล้ว จะช่วยบุตรสาวของเขาให้แย่งชิงร่างของอาไฉ่!
เช่นนี้ ไม่เพียงแต่สามารถขจัดบาดแผลวิถีของบุตรสาวตัวเอง ทั้งยังสามารถสืบทอดพรสวรรค์ของอาไฉ่ได้อีกด้วย วันข้างหน้าบุตรสาวของตัวเองก็มีความหวังที่จะพัฒนาขึ้นมา!
“เขาไม่กล้าทำหรอก”
สายตาของอาไฉ่ผุดประกายเย้ยหยัน “หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาไม่มีพลังที่สามารถบีบคั้นข้าได้ หากว่าแตกหักกับข้า ตลอดชาตินี้ บุตรสาวของเขาก็จบสิ้น ดังนั้น… เขาจึงทำได้แค่เพียงแค่ทน”
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “มาหาความลับแห่งวัฏสงสารที่ภูมิดาราฟ้าดิน?”
อาไฉ่พยักหน้าพลางกล่าว “ไม่ผิด ที่ผู้แข็งแกร่งของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมายังภูมิดาราฟ้าดินในครั้งนี้ ก็เพื่อตามหาความลับแห่งวัฏสงสาร”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “ในช่วงเวลานี้ มีข่าวลับที่สามารถสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วได้ข่าวหนึ่ง ข่าวนี้เริ่มแพร่หลายในขุมกำลังระดับสุดยอดของแต่ละภูมิดารา ถึงแม้ขุมกำลังระดับสุดยอดแต่ละแห่งจะปิดปากเงียบสนิท แต่ข่าวลับนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วแล้ว”
ซูอี้พอจะเดาออกได้บ้างแล้ว จึงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ข่าวลับนี้ ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับภูมิดาราฟ้าดินใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด”
อาไฉ่กล่าว “ตามที่ข่าวลับนี้กล่าวมา ภูมิดาราฟ้าดินที่กลายเป็นปิตุภูมิเวิ้งดาราไปนานแล้วแห่งนี้มีความลับแห่งวัฏสงสารอยู่ นอกจากนี้แล้ว ยังมีปราณมารดาฟ้าดินที่ถูกมองว่าเป็น ‘ต้นกำเนิดบรรพชนหมื่นวิถี’ อยู่ด้วย!”
“ผู้กุมวัฏสงสาร สามารถกลับชาติฝึกตนใหม่ได้”
“ผู้ที่กระจ่างแจ้งในปราณมารดาฟ้าดิน สามารถสร้างผลงานวิถีอันยิ่งใหญ่ ครอบครองหนทางวิถีอันสูงสุด!”
แววตาของอาไฉ่ผุดประกายสดใส ในดวงตาที่งดงามประดุจภาพวาดแฝงไว้ซึ่งความปรารถนา “ข่าวลับเช่นนี้ ขุมกำลังระดับสุดยอดใดบ้างไม่สะทกสะท้าน?”
ซูอี้หรี่ตาลง
ไม่ต้องคิดเขาก็สามารถรู้ได้ว่าข่าวนี้จะต้องมาจากช่างเสื้ออย่างแน่นอน!
ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้คงมีแผนอีกแล้ว!
“ทัศนาจารย์ถูกมองว่าเป็นบุคคลลึกลับที่สุดในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว หนทางแห่งวิถีดาบมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เคยยิ่งใหญ่อยู่ในแต่ละภูมิของหมู่ดารา เขา…”
อาไฉ่พูดถึงตรงนี้ จู่ ๆ ก็พบว่าซูอี้ไม่มีอาการตื่นตระหนกและอยากรู้อันใดแม้แต่น้อย ทั้งยังมีอาการเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ชั่วขณะนี้เอง อาไฉ่พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “สหายเต๋า ขออภัยที่ถามละลาบละล้วง เจ้าคงไม่ใช่…ทัศนาจารย์กลับชาติหรอกกระมัง!”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “ไม่ผิด”
อาไฉ่เบิกตากว้าง จ้องดูซูอี้อยู่นานมาก สุดท้ายหัวเราะพลางส่ายหน้า “เจ้าไม่ใช่ ทัศนาจารย์หายสาบสูญไปนานมากแล้ว หากว่ากลับชาติเกิดใหม่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีระดับการฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ?”
ซูอี้ “…”
ไม่รอให้เขาได้พูด อาไฉ่ก็ชิงพูดขึ้นก่อน “แต่ ข้ารู้ดีที่สุดว่า ในภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้ หากมีใครสามารถกุมความลับแห่งวัฏสงสารได้ คนผู้นั้นก็ต้องเป็นสหายเต๋าอย่างไม่ต้องสงสัย”
สายตาของอาไฉ่มีเลศนัย พลางกล่าว “ดังนั้น สหายเต๋าจะต้องระวังตัวให้ดีเสียแล้ว เมื่อผู้ยิ่งใหญ่จากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวบุกมา ภูมิดาราฟ้าดินแห่งนี้จะต้องเกิดความสั่นสะเทือนอย่างคาดคะเนไม่ได้เป็นแน่ ตามความเห็นของข้า หากว่าสหายเต๋าไม่อยากจะเจอเรื่องยุ่งยาก ทางที่ดีที่สุดให้รีบจากที่นี่ไปเสียก่อน ไปเก็บตัวเงียบ ๆ สักระยะ”
ซูอี้นวดขมับ ก่อนตอบ “ข้าเข้าใจ”
ต่อให้อาไฉ่ไม่เตือน เขาก็สามารถคาดเดาได้ว่า เมื่อพายุใหญ่จากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวมาถึงมหาแดนดิน จะต้องน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึงเป็นแน่!
“ข้าต้องไปแล้ว อุโมงค์แห่งกาลเวลาแห่งนี้ไม่มั่นคงเอาเสียเลย หนทางยาวไกล หากว่าไม่มีข้าคอยดูอยู่ จะต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน”
อาไฉ่กล่าวเบา ๆ จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในเกลียวคลื่นแห่งกาลเวลา
ทันใดนางนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันหน้ามาพูดกับซูอี้ “สหายเต๋า ยันต์อมตะที่ข้ามอบให้เจ้ายังอยู่หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า
อาไฉ่กล่าวยิ้มแย้ม “หากว่าสหายเต๋าเจอภยันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้ ยันต์อมตะชิ้นนั้นอาจจะมีประโยชน์ต่อเจ้า”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าคิดว่า หากข้าคอยดักอยู่ใกล้ ๆ เกลียวคลื่นกาลเวลาแห่งนี้ นั่งรอให้เหยื่อมาติดกับได้หรือไม่?”
อาไฉ่ตะลึง ดวงตาสวยใสประดุจน้ำกะพริบปริบ ๆ ก่อนกล่าว “หากว่าเป็นเช่นนั้น ความลับระหว่างพวกเราทั้งสองก็จะถูกเปิดเผย สหายเต๋าทนเห็นข้าถูกสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมองว่าเป็นผู้ทรยศได้เช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “ระหว่างเจ้ากับข้ามีความลับต่อกันไม่น้อยเลยจริง ๆ”
อาไฉ่หัวเราะคิก ๆ พลางกล่าว “อย่างไรเสียก็ดี สหายเต๋าช่วยข้า ข้าก็ต้องช่วยสหายเต๋าเป็นธรรมดา บางที… อีกไม่นานเท่าไร พวกเราอาจจะได้พบหน้ากันอีกครั้งก็เป็นได้”
“ข้าไปก่อนนะ”
หญิงสาวโบกมือลา ร่างของนางกลายเป็นแสงสว่างสีทอง พุ่งเข้าไปด้านในอุโมงค์แห่งกาลเวลา และเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ดูท่าทางต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเสียแล้ว”
ซูอี้ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
ช่างเสื้อเป็นตัวตนที่อันตรายมาก ซึ่งอำพรางอยู่เบื้องหลัง เดินทางในความมืด แม้กระทั่งทัศนาจารย์ก็ยังเคยเตือนไว้แล้วว่าต้องระวังคนผู้นี้ให้ดี
อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ไม่นานนักเขาเคยปะทะกับอวตารของช่างเสื้อซึ่ง ๆ หน้ามาแล้ว
ทว่าสุดท้ายกลับพบว่า คนที่สิงสู่หลวงจีนเยี่ยนซินไม่ใช่ช่างเสื้อ แต่เป็นศิษย์ของเขา!
และครั้งนี้ เมื่อห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเกิดลมพายุใหญ่นี้ขึ้น ซูอี้จึงมั่นใจมากว่า ช่างเสื้อจะต้องถือโอกาสนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับตัวเองอย่างแน่นอน!
“บนมหาวิถี มีศัตรูเช่นนี้อยู่ ไม่ถึงกับเงียบเหงามากนัก…”
ซูอี้เอามือไพล่หลัง และหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อเขากลับมาถึง จิ่งหังได้ผ่านพ้นภัยพิบัติสำเร็จแล้ว กำลังนั่งสมาธิเพื่อปรับวิถีของขอบเขตสานพันธะลึกลับขั้นต้นให้มั่นคง
บาดแผลของหนอนตะกละเฒ่าก็เริ่มสมานขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน
วันเดียวกัน ซูอี้พาพวกเขาทั้งสองไปจากที่ตรงนั้น ย้อนกลับสู่มหาแดนดิน
………………..