บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1146: ดอกบัวผุดทุกฝีก้าว
ตอนที่ 1146: ดอกบัวผุดทุกฝีก้าว
ณ ถ้ำเสวียนจวิน
เมื่อซูอี้พาจิ่งหังกับหนอนตะกละเฒ่าย้อนกลับมาถึง นอกจากความปีติยินดีที่มีแล้ว จิ่นขุยกับหวังเชวี่ยและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกโล่งอก
วันเดียวกันนี้ ซูอี้ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับคนทั้งสอง
ในงานเลี้ยง ซูอี้หยิบสมบัติลับฟ้าดินสองชิ้นออกมามอบให้หนอนตะกละเฒ่า และบอกอีกฝ่ายถึงความลับที่เกี่ยวข้องกับหนทางสู่สวรรค์โดยไม่มีปิดบัง
เหมือนกับคนอื่น ๆ หนอนตะกละเฒ่ารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนักเช่นกัน
จิ่งหังรู้สึกตื่นตระหนกมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาติดตามอยู่ข้างกายหนอนตะกละเฒ่ามาโดยตลอด ท่องเที่ยวไปในหมู่ดารา ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
เมื่อรู้รายละเอียดการสู้รบที่ภูเขาศักดิ์เทวยุทธ์กับการสู้รบ ณ ถ้ำเสวียนจวินแล้ว จะไม่ให้จิ่งหังตื่นตระหนกได้อย่างไร?
“ผีหมัวสมควรตาย ไม่อาจให้อภัยได้ ศิษย์น้องเล็กมีเหตุผล สามารถให้อภัยได้”
ซูอี้ไม่ได้รั้งไว้ เพียงแต่เตือนสติหนอนตะกละเฒ่าว่าในช่วงเวลาต่อไปให้ระวังตัวให้มากขึ้น พายุใหญ่จากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอาจจะมาถึงเมื่อไรก็ได้
…
ในช่วงเวลาลำดับถัดมา ซูอี้ใช้ชีวิตอย่างสงบราบเรียบ
นอกจากฝึกตนแล้ว ก็ชี้แนะศิษย์ทั้งหลายให้ฝึกตน
หลังจากเจ็ดวันผ่านไป
ตัวตนบรรพกาลโดยมีปรมาจารย์เผิงกับบรรพชนมารเยว่อวิ๋นเป็นแกนนำมาเยี่ยมคารวะถึงที่
ตัวตนบรรพกาลเหล่านี้ต่างก็นำสมบัติโบราณมาด้วย เพื่อให้ซูอี้ช่วยตรวจดู
สุดท้าย หลังจากที่ซูอี้ได้ตรวจดูและหาสมบัติลับฟ้าดินได้ส่วนหนึ่งแล้ว เขายังแก้ผนึกลับที่ปิดอยู่บนสมบัติลับเหล่านั้นและมอบคืนให้กับตัวตนบรรพกาลเหล่านั้นไป
เพื่อแสดงความขอบคุณ ตัวตนบรรพกาลเหล่านี้จึงต่างก็มอบสมบัติลับฟ้าดินออกมาให้ชายหนุ่มคนละชิ้น ซูอี้จึงมีสมบัติลับฟ้าดินเพิ่มขึ้นมาทีเดียวสิบสามชิ้น
เมื่อตัวตนบรรพกาลเหล่านี้จากไป ซูอี้พูดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา บอกกับพวกเขาว่า ‘เขตต้องห้ามเซียนอับโชค’ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสถานต้องห้ามอันดับหนึ่งของมหาแดนดิน ในตอนแรกสุดถูกมองเป็น ‘ปิตุภูมิหมื่นวิถี แหล่งกำเนิดแห่งฟ้าดิน’
กล่าวได้อีกอย่างว่า ในเขตต้องห้ามแห่งนี้น่าจะมีต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราฟ้าดินซ่อนเร้นอยู่!
เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นขึ้นมา ตัวตนบรรพกาลเหล่านั้นพากันตื่นตระหนกตกใจ
ทว่าซูอี้กลับกำชับให้ตัวตนบรรพกาลเหล่านี้กระจายความลับนี้ออกไป
“เหตุใดสหายเต๋าจึงทำเช่นนี้?”
ปรมาจารย์เผิงไม่เข้าใจ
ซูอี้เอ่ยตอบ “ขุมกำลังระดับสุดยอดของห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้น คอยจับจ้องเล่นงานภูมิดาราฟ้าดินอยู่ พวกมันสามารถย้อนกลับมาเมื่อไรก็ได้ หากให้พวกเขารู้ว่าเขตต้องห้ามเซียนอับโชคมีต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราฟ้าดินซ่อนเร้นอยู่ จะไม่ลงมือคงไม่ได้หรอกกระมัง?”
ตัวตนบรรพกาลทั้งหลายเข้าใจความหมายของซูอี้แล้ว พลันเสียวสันหลังวาบ
อย่างไม่ต้องสงสัย ซูเสวียนจวินกำลังจะตกปลาตัวใหญ่ ล่อศัตรูเข้ามายังเขตต้องห้ามเซียนอับโชค!
“หากว่าพวกเขาหาต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราฟ้าดินเจอจริง ๆ เจ้าจะทำเช่นใด?”
“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาไม่อาจทำได้สำเร็จ”
ซูอี้กล่าวมั่นใจ
เขารู้ความลับเกี่ยวกับเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจากแผนที่หนังสัตว์ผืนนั้นแล้ว
ถึงตอนนี้ก็ยังคงจำคำพูดประโยคหนึ่งได้อย่างชัดเจน
‘ไม่ใช่ราชันแห่งภูมิ ไม่อาจเข้าไปได้ สถานที่แห่งนี้อันตรายยิ่งนัก จนสามารถทำให้ราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดกลายเป็นผงธุลีได้!’
สู่สวรรค์สามขอบเขต ขอบเขตไร้ขีดจำกัดเป็นขอบเขตสูงสุดแล้ว
แม้กระทั่งตัวตนเช่นนี้ เมื่อเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนอับโชคแล้วก็ยังอันตรายจนถึงขั้น ‘กลายเป็นผงธุลี’ ได้ นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ?
ด้วยเหตุนี้ ซูอี้จึงไม่เป็นกังวลสักนิดว่าผู้แข็งแกร่งจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นจะสามารถมีชีวิตรอดและหาต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราฟ้าดินเจอ
หลังจากที่ตัวตนบรรพกาลจากไปแล้ว พวกเขาก็สั่งกำชับขุมกำลังของตัวเองให้กระจายข่าวนี้ออกไป
เพียงครู่เดียว มหาแดนดินก็เกิดข่าวใหญ่ มีคนนับไม่ถ้วนวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้น
…
ครึ่งเดือนผ่านไป
ระดับการฝึกตนของซูอี้ก็ก้าวสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นสมบูรณ์!
วันนี้ ซูอี้เรียกศิษย์ทั้งหลายให้มาชุมนุมพร้อมหน้ากัน
“จิ่นขุย เจ้ากับเย่ลั่ว เสวียนหนิง ไป๋อี้ เดินทางไปยังภูมิมืดมิด ไปหาชุยหลงเซี่ยงยมราชพิพากษาแห่งตระกูลชุยกับเย่อวี๋แห่งเผ่าปีศาจงู มอบหยกสองชิ้นนี้ให้แก่พวกเขาคนละชิ้น”
ซูอี้พูดจบก็ยื่นหยกสองชิ้นนี้ให้แก่จิ่นขุย “พวกเขาเห็นหยกแล้ว จะเข้าใจเองว่าต้องทำเช่นใด”
ภายในแผ่นหยกคือจดหมายที่เขาเขียนให้ชุยหลงเซี่ยงกับเย่อวี๋
“ศิษย์รับบัญชา”
จิ่นขุยกับคนอื่น ๆ รับคำพร้อมกัน
ซูอี้กล่าวสำทับ “จงจำไว้ เมื่อไรก็ตามที่ได้รับคำสั่งจากข้า พวกเจ้าจึงกลับมาได้”
“ศิษย์น้อมรับบัญชา!”
จิ่งหังกับหวังเชวี่ยรับคำสั่งแข็งขัน
“ข้าตั้งใจว่าจะไปมหาทวีปคังชิงด้วยตนเองสักครั้ง หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด จะกลับมาภายในหนึ่งเดือน ในช่วงระหว่างนี้ หากว่าเกิดอันตรายอันใดไม่อาจแก้ไขได้ พวกเจ้าจงรีบไปยังสำนักแดนอสูรปรีดีเพื่อไปหาจักรพรรดิมารสวรรค์”
คิดสักครู่ ซูอี้ก็หยิบยันต์อมตะที่อาไฉ่มอบให้ออกมา และยื่นให้จิ่งหัง “ของสิ่งนี้สามารถปกป้องชีวิตได้ จงนำมาใช้ในยามที่จำเป็นเท่านั้น”
จิ่งหังรีบยื่นสองมือไปรับ
“อาจารย์ ท่านรู้สึกได้ว่าจะมีเภทภัยอันใดเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ?”
จิ่นขุยทนไม่ไหวจึงถามขึ้นมา
นางรู้สึกว่า อาจารย์วางแผนเช่นนี้เหมือนกับเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า
“เพียงแค่จัดการกับปัญหาที่จะตามมาเท่านั้น เมื่อพายุแห่งห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวมาถึง จะได้ไม่ติดขัด”
ซูอี้ตอบ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้เตรียมตัวก่อนล่วงหน้า ต้องหาสถานที่ปลอดภัยให้คนทั้งหลายที่เขาเป็นห่วง
เช่นนี้ เขาก็จะไม่มีห่วงอีก
พวกเขาศิษย์อาจารย์ก็ออกเดินทางกันในวันนั้น
…
หนึ่งวันให้หลัง
ซูอี้ออกจากมหาแดนดิน มุ่งหน้ามายังโลกเทียนเสวียน
สองวันให้หลัง ซูอี้ท่องไปนอกหมู่ดาราผ่านเส้นทางพันวังวนดารา
ด้วยระดับวิถีของเขาในตอนนี้ เวลาที่ท่องเที่ยวไปในหมู่ดาราได้จะรวดเร็ว ไม่เหมือนกับแต่ก่อน
ประกอบกับไม่มีภาระห่วงอันใดอีก เพียงแค่สามวันซูอี้ก็มองเห็นมหาทวีปคังชิงที่ลอยอยู่กลางหมู่ดาราได้รำไรแล้ว
‘เมื่อคำนวณแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าย้อนกลับสู่มหาแดนดินจนถึงตอนนี้ ไม่ถึงหนึ่งปี ทว่าพลังกฎเกณฑ์ปกคลุมฟ้าของมหาทวีปคังชิงแห่งนี้สับสนคลุมเครือขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด…’
มหาทวีปคังชิงกำลังต้อนรับการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง แต่วันข้างหน้าไม่ช้าก็เร็วจะต้องเสื่อมถอยลง
ทว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซูอี้ต้องกังวลอีกแล้ว
เมื่อซูอี้ลดระดับวิถีของตัวเองให้อยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ เขาก็สามารถผ่านกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมฟ้าของมหาทวีปคังชิงไปได้อย่างราบรื่น ลงมาสู่โลกแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว
…
ลึกเข้าไปในเหวอุกกาบาต
ตำหนักใหญ่ตั้งตระหง่าน ราวกับโลกลึกลับขนาดเล็ก
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ไร้ดาวไร้เดือน
ในห้องโถงที่จุดไฟสว่างไสว
อาคัง หนิงซือฮวา เหวินซินจ้าว เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น กับคนอื่น ๆ ยืนล้อมอยู่ข้างกายชิงหว่าน สีหน้าแฝงด้วยอาการเป็นห่วง
ชิงหว่านนอนอยู่บนเตียง สีหน้าขาวซีด ในแววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด
“ที่แท้แล้วหว่านเอ๋อร์เป็นอะไรกันแน่”
หนิงซือฮวาถอนใจด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
เมื่อสองเดือนก่อน ชิงหว่านเกิดเป็นโรคประหลาด นับแต่นั้นมาเป็นต้นมาก็หลับใหลไม่ได้สติ
บางครั้งนางก็จะกรีดร้องด้วยความตื่นกลัว ทุรนทุรายอย่างบ้าคลั่ง ราวกับคนเสียสติ
ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกช์ทรมานเช่นนี้ พลังชีวิตของชิงหว่านก็ยิ่งอ่อนแอลง ยิ่งหมดกำลังลง เห็นแล้วรู้สึกสงสารยิ่งนัก
พวกหนิงซือฮวาพยายามทำทุกวิถีทาง ทั้งใช้เคล็ดวิชาและโอสถรักษา แต่ก็ไม่ได้ผล ทั้งยังไม่อาจระงับอาการป่วยของชิงหว่านลงได้แม้แต่น้อย
แม้แต่อาคังผู้กำเนิดในแหล่งกำเนิดคังชิงก็ยังจนปัญญา
“จะต้องเกี่ยวข้องกับเงาจันทราโลหิตประหลาดนั่นเป็นแน่”
เหวินซินจ้าววิเคราะห์อย่างมีสติ “เมื่อสองเดือนก่อน เงาจันทราโลหิตได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าห่างไกลนอกเหวอุกกาบาต ถึงแม้จะปรากฏขึ้นเพียงแค่ครู่เดียวแล้วก็หายไป แต่ว่านับจากนั้นเป็นต้นมา ชิงหว่านก็ตกอยู่ในอาการป่วยประหลาดเช่นนี้”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวต่อ “และในช่วงสองเดือนมานี้ เงาจันทราโลหิตนั่นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกสามครั้ง และในช่วงสามครั้งนี้ ชิงหว่านก็จะกรีดร้องตกใจ เหมือนกับพบกับเรื่องราวอันใดที่น่าหวาดกลัว ตามความเห็นของข้า หากสามารถรู้ที่มาของเงาจันทราโลหิตประหลาดนั่นได้ บางทีอาจจะสามารถช่วยชิงหว่านได้”
พวกนางเคยเห็นเงาจันทราโลหิตประหลาดนั้น ลอยอยู่ท่ามกลางหมอกบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ล่องลอยเลือนราง ส่องประกายสีแดงราวกับสีโลหิต
พอมองออกไปคล้ายกับดวงตาอสูรร้ายที่ลืมตาขึ้น ดูน่ากลัวยิ่งนัก
“ข้าเคยได้ยินนายท่านพูดถึงสภาพตอนที่แม่นางชิงหว่านผ่านภัยพิบัติ ตอนนั้น ภัยพิบัติใหญ่ครั้งนั้นแปลกประหลาดมาก ราวกับต้องการดับชีวิตแม่นางชิงหว่าน ในช่วงเวลาที่ใกล้จะไม่ไหวอยู่แล้ว จู่ ๆ ก็ดวงตาประหลาดขึ้นมาดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนร่างของแม่นางชิงหว่าน กวาดพิบัติเมฆเต็มท้องฟ้าเหล่านั้นหายไปจนสิ้นในพริบตา! ตอนนี้มานึก ๆ ดู หรือว่าดวงตาประหลาดที่ปรากฏบนตัวแม่นางชิงหว่านนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับเงาจันทราโลหิตประหลาด?”
สีหน้าของหยวนเหิงเคร่งเครียด ก่อนกล่าว “แต่เสียดาย ตอนนี้นายท่านไม่อยู่ มิเช่นนั้น…”
ยังพูดไม่จบ ทว่าคนทั้งหลายต่างก็เข้าใจว่าหยวนเหิงต้องการจะพูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบไป
ครั้งก่อน มีซูอี้อยู่ จึงสามารถขจัดภัยให้ชิงหว่านได้เป็นธรรมดา
ทว่าตอนนี้ ซูอี้จากไปเกือบจะหนึ่งปีแล้ว จึงไม่เหลือความหวังอันใดอีก
“อ๊ากกก….!”
ทุกคนล้วนตื่นตระหนก รีบเข้าไปกดตัวชิงหว่าน ไม่ให้นางทุรนทุราย
ขณะเดียวกันนี้เอง หยวนเหิงวิ่งออกไปนอกห้องโถง มองดูท้องฟ้ายามราตรีที่อยู่นอกเหวอุกกาบาต สีหน้าพลันดุดันขึ้นมา
บนท้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป เงาจันทราโลหิตนั้นปรากฏขึ้นราง ๆ เหมือนกับดวงตาเรียวยาว แลดูประหลาดยิ่งนัก
“เงาจันทราโลหิตบ้านั่นโผล่ออกมาอีกแล้ว!”
หยวนเหิงร้องด่า
ปัง!!
สถานการณ์ในห้องโถงเปลี่ยนไป ร่างของหนิงซือฮวากับคนอื่น ๆ กระเด็นออกไปอย่างแรง ลงไปกองระเนระนาดอยู่กับพื้น
ส่วนชิงหว่านที่นอนอยู่บนเตียง เวลานี้พลันลุกขึ้น
ผมยาวของนางปล่อยสยาย ใบหน้างดงามขาวซีด ในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมานางหลับตามาโดยตลอด ไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกัน
เพียงแต่แววตานั้นกลับว่างเปล่า แข็งกระด้าง ผุดประกายประหลาดขึ้นมาบาง ๆ
นางไม่สนใจใคร ชุดกระโปรงที่ใส่โบกสะบัด ก้าวเดินเท้าเปล่า ตรงไปยังนอกห้องโถง
“ไม่ได้การ ชิงหว่านเกิดเรื่องขึ้นแล้ว รีบรั้งตัวนางไว้!”
อาคังส่งเสียงร้อนใจออกมา รีบคว้าชิงหว่านในทันใด
ปัง!
ทว่า ร่างของอาคังที่อยู่ห่างจากชิงหว่านเพียงสามฉื่อ กลับถูกพลังประหลาดไร้รูปร่างซัดจนเซถลาออกไป
หนิงซือฮวา เหวินซินจ้าว หยวนเหิง กับคนอื่น ๆ ต่างก็ลงมือรั้งตัวชิงหว่าน ทว่าทุกคนล้วนอยู่ในสภาพเดียวกับอาคังกันหมด!
ชิงหว่านในเวลานี้ เปรียบดั่งหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ แต่กลับก้าวเดินออกจากห้องโถงด้วยความงามสง่า เดินตรงขึ้นไปยังเหวอุกกาบาต
แต่ละก้าวที่เท้าอันเปลือยเปล่าเหยียบย่ำลง จะมีดอกบัวสีเลือดปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า
ดอกบัวผุดทุกฝีก้าว!