บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1149: เทียนฉีน้อย
ตอนที่ 1149: เทียนฉีน้อย
ภูมิดาราวอนสวรรค์
โลกกว้างอันเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่ง
บนยอดเขาอันปกคลุมด้วยหมอกเซียน
“เทียนฉีน้อย เจ้าทำให้อาเจ้าย่ำแย่!”
มีเสียงแผดร้องออกมาจากในกาน้ำสำริดใบหนึ่ง
ณ ด้านข้าง มีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดประโปรงสีเขียวอ่อน สวมมงกุฎหยกบนศีรษะ คิ้วได้รูปกระตุกตกใจ กล่าวขึ้นเสียงเบา “ข้าไม่คาดเลยว่าอาจิ่วเย่าผู้เกรียงไกรจะขี้กลัวได้เพียงนี้…”
สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น นางคือเทียนฉี ศิษย์สายตรงของเจ้าหอแห่งหอเก้าสวรรค์
ทว่านางในยามนี้ไม่ได้มีบรรยากาศยิ่งใหญ่เฉยเมยเช่นกาลก่อน แต่ดูราวเด็กน้อยผู้กระทำผิด ดูเหนียมอายเล็กน้อย
“หือ? ตลอดมาเมื่อข้าเผชิญคลื่นลม ทั่วจักรวาลพร่างดาวจะมีใครเล่ากล้าพูดว่าข้าจิ่วเย่าขี้กลัว?”
สตรีชุดสีเขียวอ่อนกล่าวอย่างครุ่นคิด “ท่านอาจิ่วเย่า งั้นบอกข้าได้หรือไม่ ว่าไยอาจึงได้หวาดกลัวเมื่อครู่นี้?”
จิ่วเย่าในกาน้ำสำริดเงียบไป
ไม่นานนัก เขาก็ถอนใจกล่าว “มิใช่เพียงกลัวหรอก ข้ากลัวแทบตายต่างหาก เนื่องด้วยสัตย์สาบานแต่เก่าก่อน ข้าจึงบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเจ้าไม่ได้ แต่ว่า…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าของจิ่วเย่าพลันเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าแนะนำเจ้าว่า อย่าได้เป็นศัตรูกับนักดาบคนนั้นในภายหน้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คำสั่งใคร เจ้าต้องไม่รับปากนะ!”
ม่านตาของสตรีชุดเขียวอ่อนหดตัว “กระทั่งอาจารย์ข้า… ก็มิได้หรือ?”
“หากอาจารย์เจ้าสั่งให้ทำ…”
จิ่วเย่ากล่าวถึงตรงนี้ก็เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะตอบว่า “เจ้าเลือกเองแล้วกัน”
สตรีชุดเขียวอดตะลึงไปมิได้
นางไม่คาดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้กลับมา
หลังครุ่นคิดสักพัก นางก็กล่าวว่า “แม้คนผู้นั้นจะทรงพลัง แต่เพราะมี ‘เงื่อนภพภูมิอนันต์’ อยู่ ข้าจึงใช้ได้เพียงพลังมหาวิถีไม่ถึงสองส่วน หากต้องสู้กันจริง ๆ…”
โดยมิรอให้นางพูดจบ จิ่วเย่าก็ขัดขึ้นก่อน “เทียนฉีน้อย ต่อให้เจ้าบอกว่าเจ้าเอาชนะอาจารย์เจ้าได้ ข้าก็เชื่อ แต่หากเจ้าเผชิญหน้ากับนักดาบผู้นั้น อย่าได้คิดว่าจะชนะแม้แต่น้อย!”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ จิ่วเย่าก็เอ่ยเสริม “จำไว้ว่า เขาคือคนที่เจ้าไม่อาจล่วงเกินได้!”
สตรีชุดเขียวอดแปลกใจมิได้ ใบหน้างามดุจหยกยากหยั่งถึง และเพียงชั่วครู่ถัดมา นางก็กล่าวขึ้น “ข้าตั้งใจจะไปภูมิดาราสีเขียวอ่อนดินด้วยตนเอง”
“เพื่อการใด?”
“นำอีกครึ่งหนึ่งของข้ากลับมา!”
ดวงตาพราวระยับของสตรีชุดเขียวเจิดจรัสดุจมายา “ข้าอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงมาสามหมื่นปี แม้จะมิได้รีบร้อนอยากเลื่อนขอบเขต ทว่าหากไม่นำอีกครึ่งหนึ่งของข้ากลับมา ยามบรรลุสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ วิถีเต๋าของข้าจะด่างพร้อย หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะติดอยู่ใน ‘ไตรภพสู่สวรรค์’ ไปตลอดกาล”
จิ่วเย่าอ้าปากค้าง “แต่เจ้าก็เห็นนี่ว่านักดาบผู้นั้นอยู่ข้าง ๆ ร่างอีกครึ่งหนึ่งของเจ้าเลย!”
สตรีชุดสีเขียวอ่อนกล่าวขึ้น “ข้าจะพยายามไม่เป็นศัตรูกับเขาให้มากที่สุด และแก้ปัญหาโดยสันติให้จงได้”
กล่าวถึงจุดนี้ หนึ่งมือของนางก็ยกกาน้ำสำริดขึ้น “อาจิ่วเย่า ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าได้”
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ทว่าสตรีชุดสีเขียวอ่อนดูจะรอคอยอย่างใจเย็น
“ไฉนเจ้าจึงไม่ไปขออาจารย์เจ้าเล่า?”
จิ่วเย่าถาม
สตรีชุดสีเขียวอ่อนถอนใจเล็กน้อย “อาจิ่วเย่า ข้าไม่อยากทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์อีกต่อไปแล้ว นับแต่เด็กจนโต ทุกก้าวย่างการกระทำของข้าล้วนอยู่ใต้ควบคุมจัดการของท่านอาจารย์ทั้งสิ้น”
“ในอดีต ข้าไม่เคยคิดสนใจ ทว่ายามนี้… ข้าไม่ชอบความรู้สึกราวมีผู้มาลิขิตชะตาให้ข้าเช่นนี้เลย”
“ครานี้ ข้าต้องการกระทำการตามหัวใจ!”
ท้ายที่สุด สีหน้าของหญิงสาวชุดสีเขียวอ่อนก็เยือกเย็นหนักแน่นอย่างยิ่ง
จิ่วเย่าว่า “ก็ย่อมได้ ขอเพียงเจ้ามิให้ข้าไปสู้กับนักดาบผู้นั้น ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของหญิงสาวชุดสีเขียวอ่อน กล่าวขึ้นว่า “งั้นเราไปกันตอนนี้เลย”
ครู่ต่อมา…
สองร่างก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
หนึ่งคือชายวัยกลางคนในอาภรณ์หยก รูปร่างผอม จอนผมหงอกขาว ดวงตาลึกล้ำ
หนึ่งคือชายชราผมขาว สวมอาภรณ์นักพรตเต๋าซอมซ่อ ใบหน้าเหี่ยวย่น
“เทียนฉีน้อยเติบโต มีความคิดเป็นของนางเองแล้ว ช่างน่าปลาบปลื้ม ทว่าสิ่งที่นางกำลังจะทำในยามนี้อันตรายนิดหน่อย…”
ชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋ากล่าวเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ
“อันตราย?”
ชายวัยกลางคนร่างผอมกล่าวเรียบ ๆ “นับแต่ยามที่ข้าพานางเข้าสำนัก ข้าก็คาดไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้ และหากการเดินทางของนางราบรื่น นางก็จะฟื้นวิญญาณคืนร่าง เข้าใจที่มาของนางได้อย่างแท้จริง”
ชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋าถามอย่างระมัดระวัง “แล้วหากมันไปได้ไม่สวยเล่า?”
ชายวัยกลางคนร่างผอมไม่ได้ตอบ ทว่ากล่าวบางอย่างที่มิอาจเข้าใจ “นี่คือสิ่งที่ทัศนาจารย์ติดค้างต่อนาง และ… ต่อข้าด้วย”
ทว่าเขาก็ไม่ได้ถามไถ่อันใดอีก “จิ่วเย่าก็อยู่กับเทียนฉีน้อยด้วย เขา…”
ชายวัยกลางคนร่างผอมส่ายหน้าเอ่ยขัด “นี่คือทางเลือกของจิ่วเย่าเอง ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด เขาต้องแบกรับผลที่ตามมาด้วยตนเอง”
กล่าวจบ เขาก็มองชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋าและกล่าวว่า “ช่างเสื้อเฒ่าได้เริ่มวางแผนแล้ว เจ้าก็พาคนไปลงมือเถอะ”
ชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋าตกตะลึงในใจ จากนั้นก็ก้มหัวกุมกำปั้นรับคำสั่ง
เพียงหนึ่งก้าวเดิน ร่างผอมของชายวัยกลางคนก็หายวับไป
ชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋าถอนใจยาวและพึมพำ “อำนาจเจ้าหอร้ายกาจขึ้นทุกที เพียงอวตารซึ่งบรรจุเสี้ยวพลังกลับทำให้ข้ากดดันยิ่งกว่ายามใด ไม่ทราบจริง ๆ ว่าเจ้าหอที่เก็บตัวอยู่ได้ก้าวสู่วิถีเซียนโดยแท้จริงแล้วหรือไม่…”
ทันใดนั้น ชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋าก็ส่ายหัว หันหลังจากไป
“เห็นหรือไม่ ทั้งเจ้าและข้า ไม่ว่าอยู่หนใด ก็ไม่อาจซุกซ่อนจากอาจารย์เจ้าได้เลย”
ในจักรวาลพร่างดาว กาน้ำสำริดเรืองรองถักทอเป็นภาพฉาย
สิ่งที่สะท้อนในภาพคือภาพของชายวัยกลางคนร่างผอมและชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋าซึ่งจากไปทีละคน
สตรีชุดสีเขียวอ่อนกล่าวเบา ๆ
ชายวัยกลางคนร่างผอมผู้นั้นคืออาจารย์ของนาง และยังเป็นเจ้าหอเก้าสวรรค์อีกด้วย!
ส่วนชายชราผมขาวในอาภรณ์นักพรตเต๋านั้นคือหนึ่งในสามผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์ มีสมญาเต๋าว่า ‘หมิงยง’!
“งั้นเจ้าจะแน่ใจได้เช่นไร ว่าการกระทำของเจ้าครานี้จะมิได้อยู่ในควบคุมคาดการณ์ของอาจารย์เจ้า?”
เสียงของจิ่วเย่าดังออกมาจากในกาน้ำสำริด
สตรีชุดสีเขียวอ่อนนิ่งไปชั่วครู่ และกล่าวว่า “หากท่านอาจารย์คาดการณ์ทั้งหมดนี้ไว้ งั้นข้าก็คิดว่าท่าน อาจิ่วเย่าคือตัวแปร ขอเพียงอาอยู่ข้างข้า ข้าก็เชื่อว่าท่านอาจารย์คงมิอาจคาดเดาการกระทำของเราได้”
“เหอะ…”
เสียงหัวเราะราวเย้ยหยันตัวเองของจิ่วเย่าดังออกมาจากในกาน้ำสำริด
เขากล่าวประชดประชัน “อย่าได้ดูแคลนอาจารย์เจ้า ทุกคนล้วนกล่าวกันว่าแผนของช่างเสื้อเฒ่านั้นไร้ผู้ใดเทียบเคียง แต่หากในจักรวาลพร่างดาวนี้จะมีผู้ใดเร้นกายล้ำลึกที่สุด ก็อาจารย์เจ้านี่แหละ”
“คนเช่นเขา คงยากจะประเมินให้สูงเกินไป”
“แต่เจ้าไม่อยากฟัง คิดเสมอว่าข้าเสี้ยมทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าศิษย์อาจารย์ สิ่งที่ข้าพูดไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถึงอย่างไร ในการพร่ำสอน อาจารย์เจ้าหาได้หมกเม็ดไม่ และการกาลก่อน เขาก็ไม่เคยปฏิบัติแย่ ๆ ต่อเจ้าจริง ๆ”
เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ คิ้วของสตรีชุดสีเขียวอ่อนก็ค่อย ๆ ย่นเข้าหากัน เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจเล็กน้อย
และจิ่วเย่าเองก็ดูจะสังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของสตรีชุดสีเขียวอ่อนได้ จึงกล่าวว่า “ครานี้ไม่ว่าเจ้าจะโกรธหรือไม่ ขอข้าพูดให้จบก่อนไม่ได้หรือ?”
สตรีชุดผ้าสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ข้าจะถือเป็นลมพัดผ่านแล้วกัน”
จิ่วเย่ายิ้มขมขื่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ตลอดกาลนานมา อาจารย์เจ้าไม่เคยเผยเจตนารมณ์ แต่นั่นเป็นเพราะยังไม่ถึงกาล ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป หากข้าเดาถูก นักดาบผู้นั้น… น่าจะเป็น… ร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์!”
ดวงตาของสตรีชุดสีเขียวอ่อนเบิกกว้างเงียบงัน ดูตะลึงอย่างหาได้ยาก
ทัศนาจารย์!
นางมีหรือจะไม่เคยรับรู้ถึงตัวตนเลิศล้ำในตำนานผู้นี้?
“การที่อีกครึ่งหนึ่งของเจ้ามาปรากฏข้างกายทัศนาจารย์ เจ้าว่า… นี่เป็นเรื่องบังเอิญได้หรือไม่?”
จากนั้น กาน้ำสำริดก็เงียบเสียงไป
สตรีชุดสีเขียวอ่อนเงียบงันไปยาวนาน ก่อนที่นางจะพึมพำ “แบบนี้ก็ดีมิใช่หรือ ข้า… ข้าก็อยากได้คำตอบมาตลอดเช่นกัน!”
…
ณ ถ้ำอุกกาบาต
ในตำหนักอันสว่างไสว
ฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ยและคนอื่น ๆ รวมตัวกันกับซูอี้
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ยืนอยู่ข้างชิงหว่านซึ่งนอนอยู่บนเตียง
“เรื่องราวเป็นประมาณนี้แหละ”
หนิงซือฮวาเล่าอาการที่เกิดกับชิงหว่านในช่วงสองเดือนให้ซูอี้ฟัง
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
และอาการของชิงหว่านต้องเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาที่ ‘เทียนฉีน้อย’ ใช้อย่างแน่แท้!
“พวกเจ้าไปรอข้างนอกนะ”
ซูอี้สั่ง
ไม่นานนัก ฉาจิ่น หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ล้วนออกจากห้องไป เหลือเพียงซูอี้กับชิงหว่าน
“หากบอกว่าเจ้ามาเพื่อทำร้ายข้า ก็ดูไม่เป็นเช่นนั้น และเจ้ากับเทียนฉีน้อยแห่งหอเก้าสวรรค์ก็น่าจะเป็นคนคนเดียวกัน…”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง “สาเหตุเบื้องลึกของเรื่องนี้ น่าจะมีเพียงเจ้าหอเก้าสวรรค์ที่ล่วงรู้”
ชิงหว่านบนเตียงหลับตานิ่ง ใบหน้างดงามซีดขาว สีหน้าของนางดูซูบซีด
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าและข้าก็ร่วมเตียงร่วมวิถีต่อกัน ในใจข้า เจ้าคือหว่านเอ๋อร์… มิใช่ตัวเบี้ยซึ่งชะตาถูกกำหนดโดยผู้ใด”
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายสงสาร “แม้ผลกรรมนี้จะเป็นของเจ้า แต่เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวพันกับข้า และข้าก็ควรแก้มัน”
เขากล่าวจบก็ถอดรองเท้า ขึ้นเตียงนอน
………………..