บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 115 กาลเก่าผูกมัด หนึ่งดาบแตกหัก
อาทิตย์อัสดงหรี่แสง ราตรีกาลคืบคลาน
หวงเฉียนจวินกลับมาจากด้านนอกพร้อมกับกล่องอาหาร
เป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกว่า แม้เฝิงเสี่ยวเฟิงทำอาหารได้ แต่ทักษะการทำอาหารของเขาเหลือทนอย่างยิ่ง ขณะที่เฝิงเสี่ยวหรานยังคงเยาว์วัยและไม่เคยเรียนรู้การทำอาหารมาก่อน
ส่วนซูอี้เกียจคร้านเกินไป
สำหรับหวงเฉียนจวิน ในฐานะนายน้อยเสเพลผู้แต่งกายหรูหราและทานอาหารชั้นดีมาตั้งแต่ยังเยาว์ เขาใช้ชีวิตด้วยหลักการ ‘บุรุษชาตรีย่อมต้องไม่เป็นผู้ทำอาหาร’ ตั้งแต่เล็กจนโต นิ้วทั้งสิบไม่เคยต้องสัมผัสกับเขียงกระทะ
ดังนั้นเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ใน ‘เรือนเงียบสุขสงบ’ อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดจึงต้องพึ่งพาหวงเฉียนจวินไปซื้อจากด้านนอก…
“พี่ซู ตอนที่ข้าซื้ออาหารเมื่อครู่ รู้สึกเหมือนมีคนคอยติดตามตลอด แต่ครั้งหันกลับไปดูกลับไม่พบคนน่าสงสัยเลย”
หวงเฉียนจวินกล่าวอย่างลังเลขณะที่จัดอาหารรสเลิศบนโต๊ะหิน “พี่ซูคิดว่าข้ากังวลเกินไปหรือไม่?”
ซูอี้ชำเลืองมอง ถ้อยคำกล่าวออก “ช่วงนี้ เจ้า ศิษย์น้องเฟิง และเสี่ยวหรานอยู่แต่ในบ้าน รอให้ข้าจัดการเรื่องพิพาทด้านนอกก่อน หลังจากนั้นไม่ว่าเจ้าจะไปลงทะเบียนที่สำนักดาบชิงเหอหรือมีแผนการอื่นใด ก็จะไม่มีอันตรายอีก”
หวงเฉียนจวินตอบกลับอย่างรวดเร็ว กล่าวถ้อยคำเบา “พี่ซู ข้าไม่มีแผนจะไปยังสำนักดาบชิงเหอเพื่อฝึกฝน”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” เฝิงเสี่ยวเฟิงอดที่จะถามออกมาไม่ได้
หวงเฉียนจวินกล่าวยิ้ม “ข้าคิดว่าการฝึกกับพี่ซูนั้น ดีกว่าการไปสำนักดาบชิงเหอสิบหมื่นเท่า!”
เฝิงเสี่ยวหรานพยักหน้าเห็นด้วย ถ้อยคำชัดเจนกล่าวออก “ข้าเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน!”
ในเรื่องนี้ ซูอี้ไม่ติดขัดสิ่งใด
หลังทานอาหารเย็น ซูอี้วางแผนจะไปฝึกฝนต่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงเท้าม้าดังขึ้นจากนอกลานบ้าน
เฉิงอู้หย่งรีบลงจากหลังม้า
“คุณชายซู วันนี้มีคนมาแจ้งข่าวกับข้าว่า จวนผู้ว่ากำลังสืบค้นเรื่องราวของชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีแซ่ซู ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อสอบถาม หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณชาย ตระกูลหยวนของข้าย่อมไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้”
เฉิงอู้หย่งประสานมือหนักแน่น แสดงเจตนาอย่างแท้จริง
“พวกเขาต้องการล้างแค้นจริงสินะ?”
หวงเฉียนจวินตกตะลึง ท่าทีแปรเปลี่ยนไป
เพียงประโยคเดียว เฉิงอู้หย่งก็เข้าใจได้ทันที เขาอดไม่ได้จะหันมองทางซูอี้ และถ้อยคำกล่าวออก “คุณชายซู ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้ เชื่อว่าด้วยอำนาจของตระกูลหยวน มันเพียงพอที่จะไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ผู้ว่ากล้าลงมือทำ…”
ซูอี้โบกมือขัดจังหวะ ถ้อยคำเฉยเมยกล่าวออก “มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องลำบากพวกเจ้า”
แค่เรื่องเล็กน้อย?
เฉิงอู้หย่งนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงหลอมเมื่อคืนนี้ แม้ผู้ว่าจะใช้อำนาจปิดกั้น แต่ก็ไม่อาจปิดซ่อนจากตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหยวนได้
การสังหารทหารองครักษ์หกนายของจวนผู้ว่าและบังคับฉินเฟิงบุตรชายของผู้ว่าคุกเข่าลง ผลกระทบเรื่องราวนี้รุนแรงเกินไป
ตามข่าวคราวที่เฉิงอู้หย่งสอบถาม เมื่อคืนนี้ ด้วยอำนาจของผู้ว่า อีกฝ่ายได้เริ่มเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน!
“คุณชายซูอาจไม่ทราบ ฉินเหวินเยวียนเป็นคนลึกล้ำและโหดเหี้ยมยิ่ง ในช่วงสามสิบปีที่เขาดูแลเขตปกครองอวิ๋นเหอ ไม่อาจทราบได้เลยว่ามีกลุ่มอิทธิพลจำนวนมากเท่าใดที่ได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือเขา”
“แม้แต่ผู้นำตระกูลหยวนก็เคยกล่าวไว้ว่า ฉินเหวินเยวียนเป็นอุปราชกินคนไม่คายกระดูก*[1] เป็นคนที่ไม่ควรยั่วยุอย่างเด็ดขาด”
เฉิงอู้หย่งกล่าวคำเบา “หนำซ้ำ ระดับการบ่มเพาะของฉินเหวินเยวียนก็น่าทึ่งมาก เมื่อสิบห้าปีก่อนเขาเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์วิถียุทธ์ แปดปีก่อน เขาทะลวงระดับก้าวเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิดขั้นที่สองจากห้า!”
“ครั้งตอนที่ยังเยาว์ เขาฝึกฝนใน ‘ตำหนักหลูหยาง’ อยู่หลายปี ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตำหนักศึกษายุทธ์ ว่ากันว่ารองเจ้าสำนักตำหนักหลูหยาง ‘เซวียนโหยวหลง’ เป็นพี่ชายของเขา และทั้งสองก็สนิทสนมกันอย่างมาก”
“นอกจากนี้ ฉินเหวินเยวียนยังมีความสัมพันธ์กับเหล่าคณะผู้แทนที่รับหน้าที่ดูแลแคว้นกุ่น…”
เฉิงอู้หย่งบอกรายละเอียดของฉินเหวินเยวียนเกือบทั้งหมดในคราวเดียว
หวงเฉียนจวินและเฝิงเสี่ยวเฟิงได้ฟังต่างก็ตกตะลึง
พวกเขาไม่คาดคิดว่าพลังอำนาจของฉินเหวินเยวียนจะน่าเกรงขามถึงเพียงนี้!
ดินแดนต้าโจวแบ่งออกเป็นหกแคว้น
แคว้นกุ่นเป็นหนึ่งในนั้น คณะผู้แทนองค์จักรพรรดิ์ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลหกเขตปกครองในแคว้นกุ่น
และเขตปกครองอวิ๋นเหอเป็นหนึ่งในหกเขตปกครองของแคว้นกุ่น
ในฐานะผู้ว่า ฉินเหวินเยวียนจึงถือเป็นตัวตนที่มีอำนาจมากที่สุดในเขตปกครองอวิ๋นเหอ ซึ่งเป็นดั่งตัวแทนพลังอำนาจของต้าโจว
และตัวเขาเองก็เป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่า มีทั้งอำนาจและความแข็งแกร่ง
ควบคู่ไปกับนิสัยที่ล้ำลึกและโหดเหี้ยม หากเขาต้องการแก้แค้นจริง ผลที่ตามมาจะรุนแรงมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทว่าหลังจากรับฟังเรื่องราวนี้ ซูอี้เพียงยิ้ม ถ้อยคำกล่าวออก “สิ่งที่เจ้ากล่าวมานั้น ในความคิดของข้า ไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าคมดาบของข้า”
สิ้นเสียง เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย วางมือไพล่หลัง ถ้อยคำเฉยเมยกล่าวออก “เส้นทางวิถีแห่งการบ่มเพาะ เข่นฆ่าอย่างไร้ปรานี หลีกเลี่ยงภาระของชื่อเสียงและอำนาจจอมปลอม ไม่ว่าความสัมพันธ์ของฉินเหวินเยวียนจะกว้างขวางหรือเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ในสายตาข้า เขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมกำเนิดที่มีอยู่ทั่วไป”
เฉิงอู้หย่งไม่อาจพูดสิ่งใดได้อีก
นี่คุณชายซูเสียสติไปแล้วหรือ?
ไม่ใช่แน่ เพราะคนที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เป็นคนเดียวกับผู้ที่สังหารปรมาจารย์ด้วยดาบเดียว!
ซูอี้กล่าวออกทันใด “เฉิงอู้หย่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดการฝึกฝนของเจ้ายังคงติดอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบและไม่อาจทะลวงได้?”
เฉิงอู้หย่งตกตะลึง ประสานมือแน่นด้วยความตื่นเต้น “โปรดชี้แนะแก่ข้าทีเถิดคุณชายซู!”
“มีคำกล่าวในสำนักพุทธว่า การเดินเป็นการทำสมาธิ การนั่งก็เป็นการทำสมาธิ การพูด การเงียบ การเคลื่อนไหว ล้วนคือสัจธรรมของธรรมชาติ”
ซูอี้เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ถ้อยคำกล่าวออก “วิธีการบ่มเพาะก็เช่นกัน ทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดและการกระทำ ต้องใช้ความกล้าหาญและขยันหมั่นเพียร แต่จิตวิญญาณของเจ้านั้นไร้ซึ่งระเบียบแผน”
พูดถึงประโยคนี้ ซูอี้มองย้อนกลับไปยังเฉิงอู้หย่ง “เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะ ทว่ากลับปล่อยให้จิตใจผูกมัดกับอำนาจของทางโลก ครั้งเวลาลงมือทำสิ่งใดก็คิดเพียงใช้อำนาจอิทธิพลเปลือกนอกสะสางหรือแก้ไขเรื่องราว เมื่อถึงคราฝึกฝน จิตใจจะกล้าหาญได้อย่างไร?”
คำพูดเหล่านั้นเปรียบเสมือนดาบที่คมกริบ เชือดเฉือนก้นบึ้งของหัวใจเฉิงอู้หย่ง ส่งผลให้เขาเหงื่อไหลโซมกาย ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง และไม่อาจปิดบังมันอีกต่อไป
ผ่านไปนาน เขาถอนหายใจยาวและโค้งคำนับ “ถ้อยคำของคุณชาย ทำให้ดวงตาของข้าที่มืดบอดกระจ่างชัด ผู้น้อยแซ่เฉิงขอคารวะท่านอีกครั้งต่อการชี้แนะครั้งนี้!”
ถ้อยคำจากก้นบึ้งของหัวใจ เป็นความซาบซึ้งและชื่นชมอย่างล้นพ้น
รับชมการโค้งเคารพนี้ ซูอี้จึงพยักหน้าอย่างใจเย็น
ในทางปฏิบัติสิ่งนี้เรียกว่า ‘ชี้แนะ’ สำนักพุทธเรียกว่า ‘ทำลายอุปสรรค’ วิถีเต๋าเรียกว่า ‘จุดเปลี่ยน’
สำหรับผู้บ่มเพาะที่ประสบปัญหาคอขวด คำแนะนำดังกล่าว เปรียบดั่งพระคุณ นับได้ว่าเป็นการให้กำเนิดใหม่!
“นี่คือแปดอักขระที่ข้าเขียนด้วยตัวเอง หากเจ้าเข้าใจถึงความหมายของพวกมันแม้เพียงบางประการ การบรรลุขอบเขตปรมาจารย์วิถียุทธ์ก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อม”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบกระดาษจากจี้หยกข้างเอว แล้วยื่นให้เฉิงอู้หย่ง
ครั้งที่อยู่ในเรือนเล็กเหมยอำพันแห่งเมืองกว่างหลิง เวลาที่รู้แจ้งบางสิ่งบางอย่างจากการฝึกฝน เขามักจดลงกระดาษและเก็บไว้ในจี้หยกรวมกับสิ่งของอื่น
เฉิงอู้หย่งเปิดดู แลเห็นตัวอักษรหนึ่งบรรทัดเขียนอยู่
‘กาลเก่าผูกมัด หนึ่งดาบแตกหัก’
อักษรเพียงไม่กี่ตัว แต่กลับแผ่กลิ่นอายสูงส่ง ลวดลักษณ์พลิ้วไหวและดุดัน
ผู้ใดได้พบเห็น ล้วนต้องตื่นตาตื่นใจกับการเขียนด้วยลายมือเช่นนี้ และไม่แคล้วจะต้องยกย่องผู้เขียนให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประดิษฐ์อักษร
ในสายตาของผู้บ่มเพาะเช่นเฉิงอู้หย่ง อักษรทั้งแปดล้วนเหมือนคมดาบ พวกมันเต็มเปี่ยมด้วยแรงผลักดันในการเจาะทะลุฟ้าและเชือดเฉือนทุกสรรพสิ่ง!
เพียงได้มอง ก็รู้สึกบาดลึกเข้าไปในดวงตาและจิตใจ
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เฉิงอู่หย่งเก็บอักษรอันวิจิตรอย่างระมัดระวัง ก่อนโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบคุณคุณชายซูสำหรับอักษรเหล่านี้!”
หัวใจเต้นแรง เปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้น
เขามีลางสังหรณ์อันหนักแน่นว่า หากเพียรพยายามศึกษาตัวอักษรทั้งแปดนี้ เขาจะสามารถฝ่าอุปสรรคการฝึกฝนที่รบกวนจิตใจมาเนิ่นนาน และทลายประตูขอบเขตปรมาจารย์ในคราเดียว!
“ไปเถิด” ซูอี้โบกมือ
เฉิงอู้หย่งติดอยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณมาหลายปี ซึ่งเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเขาจะทะลวงไปสู่ขอบเขตถัดไป …ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว การชี้แนะครั้งนี้มีประโยชน์อย่างเหลือล้น
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซูอี้ยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ฝึกฝน ชะล้างร่างกาย และทานอาหาร ซึ่งมองจากสายตาคนนอกดูน่าเบื่ออย่างมาก
แต่นี่คือหนึ่งในการทำสมาธิ
หากยังหลงระเริงไปกับทางโลก ท่องเที่ยวเสเพล และเสียเวลาในแต่ละวัน การฝึกฝนก็จะล่าช้าอย่างไร้แก่นสาร
ดูเหมือนว่าทุกคนจะได้รับอิทธิพลจากซูอี้ ทุกวันนี้เฝิงเสี่ยวเฟิง หวงเฉียนจวิน และเฝิงเสี่ยวหรานต่างมีวินัยในตนเองและไม่เคยหยุดฝึกฝน
กระทั่งถึงตอนเย็น
“พี่ซู รถม้าพร้อมแล้ว”
หวงเฉียนจวินรีบเข้ามาจากด้านนอกลาน “นายหญิงชุ่ยอวิ๋นจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ตอบรับคำขอด้วยความยินดี และสละโถงธารคีรีบนชั้นเก้าให้”
พูดถึงเรื่องนี้ หวงเฉียนจวินเผยท่าทีพึงพอใจ
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาไปถึงภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์เพื่อจองห้องล่วงหน้า นายหญิงชุ่ยอวิ๋นก็ได้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งยังปฏิบัติต่อเขาในฐานะแขกผู้มีเกียรติและไม่กล้าละเลยเขาแม้แต่น้อย
ครั้งทราบว่าซูอี้เลือกจัดงานเลี้ยงที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์คืนนี้ นางก็ตะลึงงัน ใบหน้างามแปรเปลี่ยนกะทันหัน
เห็นได้ชัดว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ทำให้นางหวาดกลัวจนสั่นสะท้าน
แต่ท้ายที่สุด นางก็ตอบตกลงด้วยความยินดีและเตรียมโถงธารคีรีบนชั้นเก้าไว้ให้
“ดี”
ซูอี้พยักหน้า หันมองเฝิงเสี่ยวเฟิงที่อยู่ไม่ไกลพลางกล่าวถ้อย “ศิษย์น้องเฟิง อย่าลืมอุ่นสุราหนึ่งไห เราจะดื่มด้วยกันเมื่อข้ากลับมา”
“ศิษย์พี่ซู ระวังตัวด้วย!” เฝิงเสี่ยวเฟิงกล่าวเตือน
“ระวังตัว?” เฝิงเสี่ยวหรานครุ่นคิดจริงจัง ถ้อยคำเฉียบขาดกล่าวออก “พี่ชาย ข้าคิดว่าศัตรูเหล่านั้นต่างหากที่ควรระวัง!”
เฝิงเสี่ยวเฟิงพูดไม่ออก
ซูอี้อดหัวเราะออกมาไม่ได้
เขาโบกมือ ก่อนวางมือไพล่หลังและเดินจากไป
ตั้งแต่มีจี้หยกมิติข้างเอว ซูอี้ก็เกียจคร้านเกินกว่าจะถือฝักดาบไม้ไผ่ไว้ในมือมากขึ้นเรื่อย ๆ
และเมื่อนั่งรถม้าได้ ย่อมเกียจคร้านการเดิน…
ในไม่ช้า หวงเฉียนจวินก็ขับรถม้าพาซูอี้ออกจากตรอกน้ำเต้า
แม้จะเป็นเวลาพลบค่ำ แต่โคมไฟถูกแขวนรายทางภายในตรอกแล้ว แว่วเสียงครึกครื้นและมีชีวิตชีวาตามท้องถนน เสมือนภาพวาดที่เต็มไปด้วยฝุ่นสีแดงและผู้คน
ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
เมื่อเห็นซูอี้และหวงเฉียนจวินใกล้เข้ามา ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมในชุดผ้าทอกำลังรออยู่ที่นั่นเป็นเวลานานด้วยความตื่นเต้น เขาจึงรีบกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มทันที “คุณชายซูและนายน้อยหวงมาถึงแล้ว เชิญเข้าไปด้านในขอรับ!”
บุคคลนี้เป็นหนึ่งในแปดผู้ดูแลของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ครั้งสุดท้ายที่ซูอี้จัดงานเลี้ยง เขาเป็นคนที่คอยอยู่นอกห้องโถงเพื่อรอรับคำสั่ง
ทันทีที่เข้าไปยังโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของภัตตาคาร นายหญิงชุ่ยอวิ๋นก็ออกมาต้อนรับ นางสวมชุดสีดำขลับตัดเย็บมาอย่างดี ซึ่งเสริมผิวพรรณอันเปล่งปลั่งและขาวดั่งหิมะให้เป็นประกายมากยิ่งขึ้น
ครั้งเห็นซูอี้ ใบหน้างามสง่าเผยรอยยิ้มท่วมท้นเสน่หา
“หากทั้งเจ็ดคนในรายชื่อนี้มาถึง ให้พวกเขาขึ้นไปยังโถงธารคีรีเพื่อพบข้า”
ซูอี้หยิบกระดาษออกมาและยื่นให้
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นรับมาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “นายน้อยซูโปรดวางใจ งานเลี้ยงค่ำคืนนี้รับรองว่าจะถูกใจท่านและแขกอย่างแน่นอน”
ซูอี้กล่าวเตือน “คนตายพึงพอใจได้หรือไม่ ข้าไม่อาจรู้”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นตกตะลึงครู่หนึ่ง ยามเข้าใจความหมายในถ้อยคำ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันเหือดหาย
[1] กินคนไม่คายกระดูก อุปมาถึงคนใจอำมหิตและโลภมาก