บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1150: ตราประทับอู่วิญญาณ
ตอนที่ 1150: ตราประทับอู่วิญญาณ
ซูอี้ยกร่างของชิงหว่านขึ้น จัดท่าทางเป็นท่านั่ง ขณะที่เขานั่งซ้อนเบื้องหลัง สองมือประทับตรา ประทับลงบนหลังของชิงหว่านอย่างนุ่มนวล
ทันใดนั้น ตราลับหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือของซูอี้ และซึมเข้าสู่ร่างของนางพร้อมกับจิตสัมผัส
นี่คือเคล็ดวิชาจิตวิญญาณ มีนามว่า ‘ตราประทับพินิจวิญญาณ’
ความหมายของมันคือ ‘สำรวจทุกเศษเสี้ยวแห่งวิญญาณ’
ด้วยเคล็ดวิชานี้ ผู้ใช้จะสามารถหยั่งเห็นทุกความผิดปกติของผู้ฝึกตนทั้งกายและวิญญาณ
กาลเวลาผันผ่าน
จิตสัมผัสของซูอี้เป็นดั่งเส้นหนวดล่องหน สืบเสาะทุกซอกมุมของชิงหว่านทั้งกายและวิญญาณ
ริมฝีปากของชิงหว่านส่งเสียงงึมงำเป็นครั้งคราว ร่างบอบบางอรชรของนางสั่นระริกเล็กน้อย ทว่าส่วนใหญ่แล้วนางจะนิ่งสนิท
หลังผ่านไปชั่วหนึ่งดื่มชา
ร่างของผู้ฝึกตนนั้นเป็นดั่งถ้ำสมบัติแห่งสวรรค์ บรรจุความลับมากมายเกินคณานับ
เช่นผู้ฝึกฝนกายเนื้อในวิถีพุทธ พวกเขาจะถือกายเนื้อเป็นจักรวาลภายใน และจุดชีพจรเป็นดุจโลกภูมิ อำนาจลี้ลับที่หลอมกลั่นขึ้นมหาศาลเกินคาดคิด
ดังเช่นคำกล่าวว่าหนึ่งเม็ดทรายสามารถซ่อนโลกหล้าไว้ภายใน
แม้จะเป็นจักรพรรดิ แต่การหยั่งความลับทั้งภายนอกและภายในร่างผู้ฝึกตนก็ยังคงเป็นเรื่องใหญ่โตยุ่งยาก
“ไฉนจึงหาสิ่งผิดปกติมิได้กัน?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
สองเดือนมานี้ นางหมดสติไปอย่างประหลาด
ทว่าช่างน่าแปลกใจ ที่เมื่อซูอี้หยั่งประมาณ กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
“หรืออำนาจที่ข้าใช้จะด้อยกว่าเคล็ดวิชาซึ่งซ่อนอยู่ในร่างของเจ้ามาก จึงไม่อาจตรวจพบมันกันแน่?”
ซูอี้ใคร่ครวญ
พลังอำนาจก็มีสูงต่ำ
เหมือนเช่น หากตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิต้องการซ่อนตัว ผู้บ่มเพาะที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิก็จะไม่อาจสัมผัสได้
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้อดสงสัยไม่ได้ว่า ต่อให้เขาในยามนี้จะฝึกฝนอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ หากจะมีเคล็ดวิชาใด ๆ ที่แข็งแกร่งเหนือขอบเขตของเขาอยู่ เช่นนั้นการใช้วิชาทั่วไปคงรังแต่คว้าน้ำเหลว
“งั้นก็ต้องลองใช้อำนาจของดาบเก้าคุมขัง!”
หลังลังเลใจ ในที่สุดซูอี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่
ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้ใช้ปราณดาบเก้าคุมขัง นั่นเพราะชิงหว่านไม่ใช่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ และกังวลว่าหากเลินเล่อแม้เพียงน้อย เขาอาจทำให้นางบาดเจ็บได้
แต่ยามนี้ เขาไม่อาจเก็บงำมันไว้อีก
“ควบรวม!”
ซูอี้สูดหายใจลึก ๆ และแยกจิตสัมผัสสายหนึ่งผสานเข้ากับปราณสายเล็กจ้อยของดาบเก้าคุมขัง จากนั้นก็ค่อย ๆ หยั่งสู่ร่างของชิงหว่าน
เพียงพริบตานั้น ร่างบอบบางของนางก็สั่นสะท้านรุนแรง ส่วนลึกของวิญญาณนางปรากฏตราผนึกลึกลับ
“ว่าแล้วเชียว!”
ซูอี้กล่าว และเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป จากนั้นจึงชักนำปราณดาบเก้าคุมขังไปสะกดตราที่ปรากฏอยู่ในวิญญาณนั้น
ตราผนึกขัดขืนดิ้นรนราวกับมีชีวิต
ทันใดนั้น เสียงครวญอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากปากของชิงหว่าน ร่างของนางสั่นเทา เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผาก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน
ทว่าซูอี้ไม่มีคิดที่จะหยุดมือ
หากไม่ปราบตราผนึกนี้ นางก็จะถูกอิทธิพลของเทียนฉีน้อยครอบงำได้ทุกเมื่อ!
“สยบ!”
ซูอี้ทุ่มกำลังเดินจิตสัมผัส ใช้ปราณดาบเก้าคุมขังกำราบตราผนึกลึกลับ
ขณะเดียวกัน…
ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว
“แย่นัก มีผู้พยายามข่ม ‘ตราประทับอู่วิญญาณ’ ในร่างอีกครึ่งหนึ่งของข้า!”
สตรีชุดเขียวอ่อนกัดฟันกรอด ดวงตาวาวโรจน์ โคจรพลังเต็มที่เพื่อหยุดความผิดปกตินี้
ทว่าท้ายที่สุดก็ไร้ผล
เพียงพริบตา ร่างของนางก็ชุ่มเหงื่อ ร่างไม่อาจหยุดสะท้านสั่น โซเซล้มลงในเรือ
“อย่าฝืนดิ้นรนอีกเลย! หากตราประทับอู่วิญญาณเสียหาย เจ้าจะเจ็บตัวด้วยนะ!”
เสียงกังวลของจิ่วเย่าดังออกมาจากในกาน้ำสำริดที่กราบเรือ “และข้ากล้าสรุปว่าทัศนาจารย์น่าจะเป็นผู้ลงมือ ด้วยกังวลว่าเจ้าจะทำการใดกับอีกครึ่งร่างของเจ้า จึงใช้วิชาผนึกตราประทับอู่วิญญาณไว้!”
ร่างอรชรของหญิงสาวชุดเขียวอ่อนสั่นสะท้านรุนแรง แล้วก็หอบหายใจหนักหน่วง
จนครู่ต่อมา นางจึงเริ่มฟื้นตัวทีละน้อย และกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าดิ้นรนไปก็ไร้ค่า อำนาจของอีกฝ่ายร้ายกาจเกินไป มันปราบตราประทับอู่วิญญาณในอีกครึ่งหนึ่งของข้าได้ทันทีเลย…”
จิ่วเย่ารีบปลอบประโลม “ยายหนูเอ๋ย ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอีกฝ่ายมิควรล่วงเกิน เจ้า… แพ้อย่างมีเกียรติแล้ว!”
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าทัศนาจารย์หาได้ทำลายตราประทับอู่วิญญาณไม่ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายมีสัมพันธ์อันดีกับอีกครึ่งหนึ่งของเจ้า ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน”
จิ่วเย่ากล่าว “อย่างน้อยที่สุด หากภายหน้าเกิดข้อพิพาท อีกฝ่ายก็จะไม่ไร้เมตตากับเจ้าด้วยเห็นแก่ตัวเจ้าอีกครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่า จะดีที่สุดหากมิเกิดข้อพิพาทใด ๆ ขึ้น!”
สตรีชุดเขียวอ่อนอดใช้มือปิดหน้าผากมิได้ กล่าวด้วยสีหน้าดูละอายนัก “อาจิ่วเย่า ท่านเปลี่ยนไปนะ”
จิ่วเย่าว่า “เปลี่ยนไปหรือ?”
สตรีชุดเขียวอ่อนกัดฟันตอบ “ใช่! ไม่สังเกตหรือ ว่าขอเพียงเจ้าพูดถึงทัศนาจารย์ ท่านก็แตกตื่นกลัวหัวหดทุกคราไป!”
จิ่วเย่า “…”
เขากระแอมแห้ง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจน่ะสิว่าตัวตนเช่นทัศนาจารย์ร้ายกาจเพียงใด เขา…”
โดยไม่รีรอให้พูดจบ สตรีชุดเขียวอ่อนอดกล่าวขัดมิได้ “ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ยามนี้เขาก็เป็นเพียงร่างเวียนวัฏ และยังอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเท่านั้นเอง! อาจิ่วเย่า ไฉนจึงกลัวเขานักเล่า?”
จิ่วเย่าเงียบไป
จิ่วเย่าดูใจกว้างอย่างมาก “ทว่าการไม่ขัดแย้งนั้นไม่พอ เราต้องให้เกียรติ เคารพจากใจ อย่าได้ดูแคลนแม้แต่เสี้ยว…”
มุมปากของสตรีชุดเขียวอ่อนกระตุก จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา อาจิ่วเย่าผู้นี้มิเคยมีท่าทีจริงจังใด ๆ ต่ออาจารย์ของนาง ทว่าไฉนจึงกล่าวถึงทัศนาจารย์ด้วยท่าทีราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้เล่า?
เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับทัศนาจารย์หรือไร?
…
ณ ตำหนักเสวียนจวินในถ้ำอุกกาบาต
ซูอี้วางชิงหว่านลงนอนหนุนหมอน ห่มผ้าให้นาง แล้วเดินลงจากเตียงพลางผ่อนหายใจยาว
“ปรากฏว่าเป็นตราประทับอู่วิญญาณ ดูเหมือนที่มาของชิงหว่านจะไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ซูอี้กล่าวอย่างเคร่งเครียด
เขาได้อ่านตำรา เรียนรู้ความลับที่แทบกล่าวได้ว่าเป็นตำนานมาบ้าง ลือกันว่ามีเพียงเผ่าพันธุ์อันเก่าแก่โบราณที่สุดบางส่วนเท่านั้นซึ่งมี ‘ปานอู่วิญญาณ’ ติดตัวโดยกำเนิด และเผ่าพันธุ์เช่นนั้นก็ถูกเรียกว่า ‘เผ่าภูตปฐมสวรรค์’!
ยิ่งกว่านั้น เขายังไม่เคยได้ยินว่าจะมีเผ่าโบราณใด ๆ อย่าง ‘เผ่าภูตปฐมสวรรค์’ ในประวัติศาสตร์แห่งภูมิดาราฟ้าดินมาก่อน
ทว่ายามนี้ ในวิญญาณของชิงหว่านกลับมีตราประทับอู่วิญญาณแปลกประหลาดชิ้นนี้ จึงทำให้ซูอี้แปลกใจและตระหนักชัดเจนถึงที่มาของชิงหว่านซึ่งต้องพิเศษอย่างมาก!
“โชคดีที่ปราณของดาบเก้าคุมขังสยบตราประทับเช่นนี้ได้ หาไม่ ไม่ว่าจะซ่อนเจ้าที่ใด ก็เกรงว่าคงถูกเจอโดยเทียนฉีน้อยทุกคราไป…”
ซูอี้นำไหสุราออกมาดื่ม ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“พี่ซูอี้ เป็นเช่นไรบ้าง?”
เหวินหลิงเสวี่ยและฉาจิ่นเข้ามาหาเขาทันที
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่มีปัญหาแล้วล่ะ ไปงานเลี้ยงกันเถอะ”
เมื่อสหายเก่าพบพาน ก็ควรเสสรวลดื่มกินให้อิ่มหนำ
ไม่นานนัก ภายใต้การจัดเตรียมของหนิงซือฮวา งานเลี้ยงฉลองใหญ่ก็ถูกจัดขึ้น
ทุกคนสรวลเสเฮฮา บรรยากาศอบอุ่นกลมเกลียว
ผ่านไปเพียงเกือบปี ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก
ทว่าซูอี้ก็ยังทอดถอนใจมากมาย
แตกต่างกับเขาที่มีการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เกินเทียบกับผู้ใดได้
อย่างไรก็ตาม ยิ่งซูอี้พูดคุยเฮฮากับเหวินหลิงเสวี่ย หัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย
มันมิได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับลาภยศชื่อเสียง บุญคุณความแค้น หรืออื่นใดในโลกหล้า
หลังสุราอาหารหมดลง
ซูอี้ก็กล่าวถึงวัตถุประสงค์การหวนสู่มหาทวีปคังชิงในครานี้ เขาตั้งใจจะมาพาทุกคนสู่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง พากลับไปยังเก้ามหาแดนดินด้วยกัน!
แม้ภายหน้าจะมีพายุโหมมาจากจักรวาลพร่างดาว เขาก็จะหาที่ปลอดภัยไว้ล่วงหน้า
หากปล่อยพวกเขาอยู่ในมหาทวีปคังชิงต่อไป ก็เป็นไปได้สูงมากว่าจะเกิดสารพัดอุบัติเหตุ
แน่นอนว่าซูอี้ไม่ได้กล่าวเหตุผลเหล่านี้ เพื่อมิให้พวกเขาต้องเป็นกังวล
ทุกคนเตรียมใจไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจมากนัก เพราะคราก่อนยามซูอี้ลาจาก เขาก็เคยกล่าวไว้ว่ายามหวนคืน เขาจะมาพาพวกตนไปฝึกฝนที่แดนเทวามหาแดนดิน
เรื่องราวสรุปจบได้โดยพลัน
“พี่ซูอี้ เมื่อไม่กี่วันก่อน จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเคยมายังถ้ำอุกกาบาต ถามไถ่ถึงพี่ด้วยนะเจ้าคะ”
ทันใดนั้น เหวินหลิงเสวี่ยก็กล่าวเสียงใส
ซูอี้ตะลึงไป และถามว่า “ไฉนเขาจึงมาที่นี่?”
หนิงซือฮวากล่าวขึ้น “พอรู้ว่าเจ้าไม่อยู่ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็จากไปโดยไม่พูดจา แต่ข้าเห็นว่าเขาน่าจะตกที่นั่งลำบากรับมือยากอยู่ คำพูดจาและการกระทำดูกังวลเอาการ และวิญญาณมิได้สงบนิ่ง”
ฉาจิ่นเองก็กล่าวเสริมเสียงเบา “ยามนั้น ชิงหว่านป่วยด้วยโรคประหลาด เราจึงไม่ได้ถามมากนัก ด้วยคิดว่าอำนาจเกียรติภูมิของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย เว้นแต่จะพบบางอย่างที่มิอาจแก้ได้จริง ๆ เกรงว่าคงไม่มากวนเราถึงที่ด้วยตนเอง”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “จะว่าไป ข้าเองก็คบหากับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยฉันมิตร ก่อนจากครานี้ เราก็ควรไปพบเขาหน่อย แล้วดูว่าเขาตกที่นั่งลำบากอยู่หรือไม่ จากนั้นค่อยช่วยเขา”
เช้าตรู่รุ่งขึ้น หลังตื่นขึ้นบนเตียงข้างกายฉาจิ่น ซูอี้ก็เริ่มลงมือส่งทุกคนเข้าสู่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง และออกจากถ้ำอุกกาบาต
เพียงครึ่งชั่วยามต่อมา ร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นนอกนครหลวงจิ๋วติ่ง เมืองหลวงแห่งต้าเซี่ย