บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1151: ให้เขารับสามดาบ แล้วไว้ชีวิตเขา!
ตอนที่ 1151: ให้เขารับสามดาบ แล้วไว้ชีวิตเขา!
นครหลวงจิ๋วติ่ง
เมืองหลวงแห่งต้าเซี่ยซึ่งครึ่งหนึ่งถูกทำลายย่อยยับ รับเขม่าดินปืนเสื่อมสลาย
ยามนี้ ผ่านไปไม่ถึงปี เมืองแห่งนี้ก็ถูกฟื้นฟูกลับมาครึกครื้นเปี่ยมชีวิตชีวา
และใจกลางนครหลวงจิ๋วติ่ง มีรูปสลักศิลาถูกสร้างขึ้นใหม่
รูปสลักศิลานั้นสูงเก้าสิบเก้าจั้ง เป็นร่างบุคคลยืนตรง สองมือไพล่หลัง ท่าทางลอยชายดุจเทพเซียนเดินดิน ทัศนาทั่วทิศไร้มลทินโลกีย์
“นั่นคือรูปเคารพของท่านเทพเซียนซูซึ่งราชวงศ์เซี่ยสร้างขึ้น กล่าวกันว่าพวกเขาเชิญช่างฝีมือดีมาพันคน และภายใต้การนำของยอดยุทธ์หลายสิบคน ก็ใช้เวลาเกือบเดือนก่อนจะสร้างรูปสลักนี้แล้วเสร็จ ซึ่งกล่าวได้ว่าชัดเจน เผยเสน่ห์มีชีวิตชีวา!”
“ข้ายังได้ยินอีกว่ารูปสลักสูงเก้าสิบเก้าจั้งนี้ถูกหล่อหลอมด้วยชีพจรวิญญาณอันหายากยิ่งที่สุด และจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยในยามนี้ก็ออกโองการให้กลางสารททุกปี เขาจะนำราชนิกุลทุกคนมากราบรูปสลักท่านเทพเซียนซูเพื่อแสดงความขอบคุณ”
“ท่านเทพเซียนซูคือตำนานร่วมสมัยแห่งมหาทวีปคังชิง เหมาะสมกับการปฏิบัติเช่นนี้จริงแท้!”
…ในบริเวณใกล้รูปสลักศิลา ผู้ฝึกตนมากมายในมหาทวีปคังชิงล้วนรวมตัวชื่นชม มองไปยังรูปสลักจากระยะไกลด้วยสีหน้าชื่นชมบูชา
กระทั่งเสียงสนทนายังแผ่วเบาและจริงจัง
“โอ้ ช่างน่าขันนักที่มาตั้งอนุสาวรีย์ผู้ยังมีชีวิต เหมือนตั้งศาลเจ้าให้สัตว์ประหลาดกระนั้น!”
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงเย้ยหยันดังขึ้น
ทั่วทิศฮือฮา ทุกสายตาจ้องมอง
ผู้พูดคือชายชุดขาวผู้มีใบหน้าคมคายดุจมงกุฎหยก เขาสะพายดาบโบราณไว้เบื้องหลัง
“เจ้าเป็นใคร กล้าดีเช่นไรมาลบหลู่ท่านเทพเซียนซู?”
ชายชราชุดเทาผู้หนึ่งกล่าวอย่างฉุนเฉียว
ครืน!
ดวงตาของชายชุดขาววาวโรจน์ ภาวะดาบอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกจากร่างเขา
ทุกคนรอบข้างล้วนตะลึง กระทั่งมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณยังตระหนกเช่นกัน
รอบข้างเงียบสงัด
ชายชุดขาวส่ายหน้า กล่าวอย่างเย้ยหยัน “สิ่งที่ข้าคิด ปุถุชนเช่นเจ้าไม่คู่ควรรับรู้”
ขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้นเอง เสียงลุ่มลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ผู้อาวุโสอาจแข็งแกร่งลึกล้ำ ทว่าหากมีฝีมือจริง กล้าไปต่อกรกับท่านเทพเซียนซูหรือไม่? หากกล้าเพียงพูดพล่อย ๆ ลบหลู่หน้ารูปสลักท่านเทพเซียนซูคงน่าขยะแขยงมิน้อย”
ผู้กล่าวคือชายวัยกลางคนร่างบึกบึนผู้หนึ่ง
เหล่าผู้เห็นเหตุการณ์ทุกคนต่างส่งเสียงเห็นด้วย
ชายชุดขาวชะงักเท้า คิ้วขมวดเล็กน้อย ดวงตากวาดมองทุกคนในบริเวณ จากนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา “งั้นกล้าบอกข้าหรือไม่ ว่าเทพเซียนซูที่ว่านั่นอยู่หนใด?”
ทุกคนล้วนได้ยินถ้วนทั่ว
เหล่าผู้ฟังมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดตอบได้เลย
เห็นเช่นนี้ ชายชุดขาวก็หัวเราะ และกำลังจะพูดบางอย่าง
ชายชุดขาวโบกมือ “รอก่อน”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็เดินไปยังรูปสลัก ยกนิ้วชี้ที่ศิลาพลางกวาดตามองคนทุกผู้ และกล่าวอย่างถือตัว “ฟังให้ดี นามข้าคือลิ่นคง มาจากภูมินภาจรัส หากผู้ใดพบเห็นเทพเซียนซูผู้นี้ บอกเขาเสียว่าหากเขากล้ามาสู้กับข้า ข้าจะให้เขารับสามดาบ แล้วไว้ชีวิตเขา!”
กล่าวจบ ร่างของชายชุดขาวก็วูบไหวดุจรุ้งทิพย์เคลื่อนทะลวงผ่านอากาศจากไป
เหลือเพียงเสียงเย่อหยิ่งของเขาที่ยังดังก้องอยู่เนิ่นนาน
ทุกคนเงียบกริบ
ลิ่นคง?
คนผู้นี้เป็นใคร ไฉนจึงกล้าเหิมเกริมเพียงนี้?
ในฝูงชน ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง มองชายชุดขาวซึ่งทะยานฟ้าลับตาไป ก่อนจะมองไปยังรูปสลักศิลา
“ตั้งอนุสาวรีย์ให้ผู้ยังมีชีวิตเรียกปัญหาโดยแท้ แต่มันก็ทำให้เห็นเจตนาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยได้เช่นกัน”
ขณะกระซิบ ร่างของซูอี้ก็หายไปเงียบ ๆ
ภูเขาเทียนหมาง
ที่พำนักแห่งราชวงศ์เซี่ย
ในโถงใหญ่แห่งหนึ่ง บรรยากาศตึงเครียดยิ่งนัก
“อย่าห่วงไป ข้าสาบานได้ว่าหลังชิงหยวนกลับเผ่าไปกับข้า นางจะไม่ทุกข์ทนระหกระเหินใด ๆ”
ผูซู่หรงกล่าวเบา ๆ
นางสำรวมกิริยา แต่แววตาไม่อาจซุกซ่อนความยินดี
ในที่สุดจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็ยอมโอนอ่อน กล่าวว่าขอเพียงบุตรสาวของเขา เซี่ยชิงหยวนเต็มใจ เขาจะยอมให้นางกลับไปฝึกฝนในเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วง
โอกาสนี้ช่างหาได้ยากสำหรับผูซู่หรง
ไม่ไกลไปนัก จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยนั่งนิ่ง ดูเหนื่อยล้าไร้กำลัง
เขาเมินผูซู่หรง มองไปยังเซี่ยชิงหยวนข้างกายเขา และกล่าวเสียงเบา “ยายหนู ข้า บิดาผู้นี้ผิดต่อเจ้าแล้ว”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยถอนใจเบา ๆ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเซี่ยชิงหยวนและกล่าวเบา ๆ “ท้ายที่สุดแล้ว บิดาเจ้าก็ไร้สามารถ”
ท้ายที่สุด เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย
เห็นเช่นนั้น เซี่ยชิงหยวนก็กระวนกระวายไปชั่วขณะ
ไม่ไกลนัก ผูซู่หรงขมวดคิ้ว และรำพึงทันที “เซี่ยอวิ๋นจิ้ง เจ้าเองก็เคยเห็นเรื่องพลิกผันมามากมาย น่าจะรู้ดีว่าแม้เป็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ความต่างชั้นระหว่างเจ้ากับเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงของข้าก็ไม่ต่างจากอยู่กันคนละโลก”
“คนเรา… ต้องรับความจริงให้ได้ ชิงหยวนโตแล้ว และหากปล่อยนางฝึกฝนในมหาทวีปคังชิงต่อไป ก็รังแต่จะปิดกั้นศักยภาพของนาง เจ้า… เจ้าไม่น่าจะอยากให้ชิงหยวนติดอยู่ในโลกใบน้อยนี้กับเจ้าไปชั่วชีวิตหรอกหรือไม่?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเงียบไป มือของเขาในแขนเสื้อกำแน่นอย่างไร้เสียง
วาจาเหล่านี้ฟังดูจริงใจ ทว่ากลับเหยียดหยามดูหมิ่น!
“บางทีเจ้าอาจคิดว่าวาจาของข้าร้ายกาจ แต่ข้าพูดความจริง ข้า…”
เมื่อเห็นผูซู่หรงยังอยากพูด เซี่ยชิงหยวนก็อดกล่าวมิได้ “พอแล้ว ข้ารับปากจะไปกับเจ้า ไฉนจึงยังยั่วยุรังแกพ่อข้าเช่นนี้อีก?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยถอนใจ มองผูซู่หรงและกล่าวชัดถ้อย “แม้ว่าข้า เซี่ยอวิ๋นจิ้งจะไร้สามารถ แต่ข้าสาบานว่าหากพวกเจ้าเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงกล้าทำเรื่องผิดใดต่อชิงหยวน ไม่ว่าข้าต้องทำสิ่งใด ข้าจะมิละเว้นพวกเจ้า!”
วาจาสนั่นลั่นดุจอสนีบาต กึกก้องทั่วตำหนัก
ผูซู่หรงเงียบไปชั่วครู่ และกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง”
ทว่ายามนั้นเอง เสียงแค่นหัวเราะก็ดังขึ้นนอกโถง มันฟังดูแข็งกร้าวเป็นพิเศษราวดูแคลนวาจาของเซี่ยอวิ๋นจิ้ง
เขาเป็นชายในอาภรณ์ขุนนาง ยืนนิ่งเฉยเมยและดูเอ้อระเหย
สีหน้าของเซี่ยอวิ๋นจิ้งพลันมืดหมอง
เซี่ยชิงหยวนเองก็โกรธเคือง
ผูซู่หรงลอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “อวี้เชวีย สำรวมตนด้วย! นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำโอหังได้!”
วาจานั้นแข็งกร้าว
ผูอวี้เชวีย ชายชุดขุนนางแย้มยิ้มเฉยเมย “อือฮึ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วน่า~~”
เซี่ยชิงหยวนกัดริมฝีปาก มองจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอย่างไม่เต็มใจนัก ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่าน… ดูแลตนเองด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะกลับมาหาท่านในภายหลัง!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเค้นรอยยิ้มไม่เต็มใจเท่าไรออกมา พลางกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าสบายดี ข้าก็สบายใจแล้ว เจ้าจะกลับมาหาข้าในภายหน้าหรือไม่ก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ชิงหยวน ไปกันเถอะ”
ผูซู่หรงไม่อยากยื้อเวลาอีกต่อไป ยิ่งยืดเยื้อยิ่งรังแต่จะทำให้สถานการณ์พลิกผันได้ง่าย
ทว่ายามนี้เอง เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “แม่นางชิงหยวน หากเจ้าถูกบังคับก็ขอให้บอกมา วันนี้เมื่อข้าปรากฏกาย ย่อมไม่มีผู้ใดบังคับเจ้าได้”
เสียงเฉื่อยชาแผ่วเบา ทว่ากลับสะท้อนก้องชัดเจนในโถง
เซี่ยอวิ๋นจิ้งพลันตื่นเต้น เสียงนี้ เขายิ่งกว่าคุ้นเคย!
เซี่ยชิงหยวนเองก็ตะลึง ดูไม่อยากเชื่อหูตนเอง นั่น… เขาหรือ?
ใบหน้างดงามของผูซู่หรงพลันเปลี่ยนแปร หันหน้าไปมองต้นเสียงทันควัน
ทันใดนั้น นางก็พบว่าร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นแต่ยามใดมิอาจทราบ เขาอยู่ในอาภรณ์สีเขียว และมีท่าทางไร้แยแส
เขาคือซูอี้!
ผูซู่หรงเคยพ่ายแพ้สิ้นท่าด้วยมือซูอี้ จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด?
ชายในชุดขุนนางที่อยู่นอกโถงหลักหัวเราะกล่าว “เจ้าหนุ่ม ปากดีเอาการนะ ทว่าหากมีข้าอยู่ เจ้าก็อย่าได้คิดมาทำตัวกร่างโอหัง!”
แววตาของเขาดูหยอกเย้า ทว่าแฝงความเย็นชา
ทว่าซูอี้กลับเมินเขาไปไม่เห็นหัว เดินเข้าไปในโถง
“เจ้ากล้า!”
ดวงตาของชายชุดขุนนางวูบไหว ร่างของเขาพุ่งทะยานหมายขวางทางซูอี้
เปรี้ยง!!
อึดใจต่อมา ร่างของเขาก็ปลิวประเด็น ร่างกระแทกเข้ากับผนังโถง จมูกเขียวหน้าปูดบวม กระดูกแตกหักไม่อาจทราบว่ากี่ซี่ นิ่งไม่ไหวติงกับที่ มิอาจลุกขึ้นได้
ทุกคนต่างตะลึงค้าง
“สหายเต๋าซู!”
เซี่ยอวิ๋นจิ้งทักทายเขาทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมิอาจปิดบัง
“พี่ซู เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย”
เซี่ยชิงหยวนก็ตื่นเต้นนักเช่นกัน ดวงตาคู่งามทอประกาย
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “ข้าได้ยินบทสนทนาก่อนหน้าของเจ้าแล้ว และในเมื่อจังหวะเหมาะเจาะ ข้าก็จะมิอยู่เฉย”
หัวใจของผูซู่หรงร่วงวูบ นางก้าวออกมาคำนับเขาก่อน และกล่าวว่า “สหายเต๋าซู กล่าวตามตรง เราเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงมาที่นี่ ทว่าไร้การขู่เข็ญบังคับใด ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าข้าเป็นมารดาของชิงหยวน ข้าหรือจะทำสิ่งที่ไม่เอื้อประโยชน์แก่นาง”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย นางก็กล่าวแฝงนัยอย่างสำรวม “และยามนี้ ข้ามากับผู้อาวุโสบางท่านจากเผ่า แสดงให้เห็นว่าเผ่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงไร ดังนั้นโปรดอย่าห่วงเรื่องนี้เลย เพราะถึงอย่างไร… วันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
วาจานั้นฟังดูจริงใจ
ทว่าซูอี้มีหรือจะไม่ได้ยินคำขู่เตือนในวาจาของผูซู่หรง?
และจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเองก็ดูจะนึกบางอย่างออก หัวใจของเขาพลันบีบรัด ขณะเอ่ยเสียงเตือน “สหายเต๋าซู หนนี้พวกนางพาผู้บ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิมาสองคนนะ!”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงโกรธเคืองเสียงหนึ่งพลันดังมาจากนอกโถง “อวี้เชวีย ใครทำร้ายเจ้ากัน?”
ขณะกล่าว ชายชุดขาวก็ก้าวยาว ๆ เข้ามา
ใบหน้าของชายผู้นี้ดุจมงกุฎหยก สะพายดาบโบราณไว้เบื้องหลัง ซึ่งก็คือลิ่นคงผู้ปรากฏกายอยู่หน้ารูปสลักของซูอี้ในนครหลวงจิ๋วติ่งเมื่อครู่ก่อน!
เมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏกาย ผูซู่หรงก็ดูโล่งใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และรีบก้าวออกมากล่าว “ท่านบรรพชน กาลก่อนเป็นเพียงเข้าใจผิด อย่าโกรธเลย”
“เข้าใจผิดอันใด เห็นกันชัด ๆ ว่าคนผู้นั้นบุกเข้ามาทำร้ายข้า!”
นอกโถงหลัก ชายชุดขุนนางซึ่งนอนอัมพาตกับพื้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ทันใดนั้น ดวงตาของลิ่นคงก็เย็นชา หันมองซูอี้อย่างเฉียบคมดุจคมดาบ