บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1154: เจตจำนงของเหล่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1154: เจตจำนงของเหล่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว
ตอนที่ 1154: เจตจำนงของเหล่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว
ปรมาจารย์เผิงก้าวออกมาเป็นคนแรก เขาแย้มยิ้มพูดคุยทักทายอย่างให้เกียรติกับเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ
จิ่งหังแย้มยิ้มอยู่ด้านข้าง และแนะนำที่มาของปรมาจารย์เผิง
ตัวตนบรรพกาลระดับบรรพชนของแดนลี้ลับขั้นเก้า!
‘บรรพชนแห่งวิถี’ ผู้เป็นที่เคารพเทิดทูนในหมู่กลุ่มเต๋าทั่วโลกหล้า!
เมื่อทราบว่าชายชราผู้ดูไม่น่าตกใจผู้นี้จะมีตัวตนเช่นว่า พวกเหวินหลิงเสวี่ยจึงสับสนไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบลุกขึ้นคำนับตอบ
“สมบัติเหล่านี้ไม่ได้ล้ำค่ามากมาย สหายน้อยทั้งหลายโปรดรับไปอย่างยินดีเถิด”
ท้ายที่สุด ปรมาจารย์เผิงก็นำสมบัติส่วนหนึ่งออกมาแจกจ่าย สมบัติแต่ละชิ้นต่างเปี่ยมรัศมีเรืองรอง ปราณจิตวิญญาณหนาแน่นเกินธรรมดา หาได้ยากยิ่งในโลกหล้า
ทุกคนต่างกระอักกระอ่วนไม่ต่างกัน และต่างฝ่ายต่างเตรียมปฏิสธอย่างเกรงใจ ทว่าซูอี้ขัดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “รับไว้เถอะ สำหรับเจ้าแก่นั่น สมบัติเหล่านี้ไร้ราคาค่างวดนัก”
ทันใดจากนั้น บรรพชนมารเยว่อิ๋น จักรพรรดิพิษเทียนฮู่และตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ ล้วนก้าวออกมาคนแล้วคนเล่า
จิ่งหังแนะนำตัวแต่ละคนอย่างใจเย็น
และด้วยการกระทำนำร่องของปรมาจารย์เผิง พวกบรรพชนมารเยว่อิ๋นล้วนแล้วแต่ส่งสมบัติของตนออกมา
มีทั้งคัมภีร์ โอสถ วัตถุดิบล้ำค่า สมบัติและสิ่งอื่นต่าง ๆ นานา
ด้วยตัวตนของพวกเขา สมบัติที่พวกเขากำนัลแต่ละอย่างล้วนยากพานพบในโลกหล้า หรือเป็นสมบัติพิเศษเฉพาะในฟ้าดินทั้งสิ้น
ท้ายที่สุด สมองของพวกเหวินหลิงเสวี่ยก็วิงเวียน สารพัดความคิดเด้งขึ้นในใจ
ผู้อาวุโสเหล่านี้ช่างพูดคุยด้วยง่ายนัก!
คนเหล่านี้ช่างแสนอัธยาศัยดี!
พวกเขาหาได้ถือตนยิ่งใหญ่ ห่างไกลจากความเข้าถึงได้ยากเช่นที่เคยคิดไปมากโข!
…
ในกาลต่อมา พวกปรมาจารย์เผิงต่างก็เข้าร่วมในงานเลี้ยง เสียงสนทนาเสสรวลดุจสายลมวสันตฤดู ทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงสุรานี้ดูครึกครื้นกลมเกลียว
ทันใดนั้น หวังเชวี่ยก็รีบร้อนเข้ามารายงาน “อาจารย์ขอรับ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักมารธุลีแดง กู้เวิ่นเทียนมาขอเข้าพบขอรับ”
“กู้เวิ่นเทียน? ไอ้แก่นี่พ่ายแพ้ยับเยินด้วยมือสัตว์ประหลาดเฒ่าซูนี่นา วันนี้ตั้งใจจะมาทำอันใดกัน?”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่ประหลาดใจ
ซูอี้เองก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
หวังเชวี่ยกระซิบ “กู้เวิ่นเทียนแจ้งว่าเขามาในยามนี้ในฐานะทูตส่งสาส์นของเหล่าขุมกำลังใหญ่ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ต้องการแจ้งเจตจำนงของพวกเขาแก่ท่านอาจารย์ขอรับ”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ฟังก็ตะลึงนิ่ง
ดวงตาของพวกปรมาจารย์เผิงวูบไหว คิ้วขมวดหากัน
“ทำตัวเป็นทูตส่งสาส์น แจ้งเจตจำนงของพวกเขาให้ข้า?”
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ “อืม ในเมื่อเขากล้าบากหน้ามาพบข้า จะไล่ไปคงมิได้ ให้เขาเข้ามา”
คนผู้นี้ให้บรรยากาศดุจเทพเซียน หนวดเคราดุจกิ่งหลิว หาใช่ผู้ใดอื่นนอกเสียจากผู้อาวุโสสูงสุดกู้เวิ่นเทียนแห่งตำหนักมารธุลีแดง!
มารเฒ่าในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลาง!
“หือ?”
เมื่อเขาเห็นว่าปรมาจารย์เผิง บรรพชนมารเยว่อิ๋นและตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ม่านตาของกู้เวิ่นเทียนก็หดตัว สีหน้าแข็งค้างเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะมีอำนาจสูงส่งในวิถีมาร ทว่าก็ยังอ่อนด้อยกว่าตัวตนบรรพกาลเหล่านี้นัก
ทว่า ไม่นานนัก กู้เวิ่นเทียนก็คืนกิริยา
ก่อนหน้านี้ เขามิกล้าบุกเดี่ยวเข้าสู่ถ้ำเสวียนจวิน
ทว่าวันนี้ เขากลับพกความมั่นใจมาอย่างเต็มเปี่ยม!
เขายืดตัวตรงมองซูอี้ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่แยแส “ซูเสวียนจวิน ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในจักรวาลพร่างดาวออกประกาศิตให้เจ้ามาคุกเข่าตรงหน้าตำหนักมารธุลีแดงภายในสิบวัน”
“ผูกมือของเจ้า ก้มหัวชดใช้ความผิดเสีย!”
ด้วยวาจาเหล่านี้ บรรยากาศในหอสดับสำเนียงคลื่นพลันตึงเครียดในฉับพลัน
ใบหน้าเหล่าตัวตนบรรพกาลล้วนถมึงทึงด้วยความกรุ่นโกรธ
ซูอี้ร่ำสุราหนึ่งจอก กล่าวขึ้นว่า “ยักษ์ใหญ่จากจักรวาลพร่างดาว? ผู้ใดหรือ?”
กู้เวิ่นเทียนหัวเราะกล่าว “อยากรู้หรือ? ซูเสวียนจวิน ยามเจ้าคุกเข่าลงตรงหน้าตำหนักมารธุลีแดงของข้า เจ้าย่อมได้รู้เอง”
เขาสุขุมมั่นใจ
“กู้เวิ่นเทียน เจ้าพูดเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่กล่าวเสียงเย็นเฉียบ “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะป่นเข่าเจ้า?”
ดวงตาของกู้เวิ่นเทียนหรี่ลงเล็กน้อย “ครานี้ ข้ามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของเหล่าขุมกำลังใหญ่จากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้าในถ้ำเสวียนจวินนี้ ก็เท่ากับตบหน้าขุมกำลังใหญ่จากจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้น หากเจ้า จักรพรรดิพิษเทียนฮู่มิกลัวความตายก็ลงมือเลย!”
ทุกคนขมวดคิ้ว
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่ผุดลุกขึ้นทันที และกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คิดว่าข้ากลัวหรือไร!”
เพียะ!
กู้เวิ่นเทียนถูกตบหน้าจนเซถลา เกือบทรุดลงกองกับพื้น
แก้มของเขาบวมแดง จ้องมองจักรพรรดิมารเทียนฮู่อย่างฉุนโกรธ “เจ้า…”
เพียะ!
ใบหน้าของกู้เวิ่นเทียนถูกตบอีกหนึ่งฉาด ทำให้ทั้งจมูกและปากพ่นโลหิต
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเหวินหลิงเสวี่ยล้วนตะลึงอึ้ง
แข็งแกร่งยิ่งนัก!
อีกฝ่ายเป็นมารเฒ่าในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลาง ทว่ายามนี้กลับถูกตบรัวแรง จนมิอาจขัดขืนได้!
“เป็นแค่สุนัขรับใช้ขุมกำลังทั้งหลายจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว แต่กลับกล้าวิ่งมาเห่าอวดอำนาจต่อหน้าพวกข้า มารเฒ่ากู้ เจ้ายิ่งอยู่ยิ่งวอนตายจริง ๆ!”
วาจาของจักรพรรดิพิษเทียนฮู่ทั้งเย็นชาและเหี้ยมเกรียม
“หากพวกเจ้าอยากร่วมหัวจมท้ายไปกับซูเสวียนจวิน ก็มิต่างกับเป็นตั๊กแตนที่เอาตัวไปขวางเกวียนเลย!”
“หากมิเชื่อ ก็รอดูได้เลย!”
กล่าวจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างขุ่นเคือง หันหลังจะเดินจากไป
“หยุดก่อน”
ปรมาจารย์เผิงกล่าวขึ้น “เข้ามาพูดพล่ามแล้วจากไปตามอำเภอใจ ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าถ้ำเสวียนจวินคือที่ที่ผู้ใดนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปได้หรือ?”
ตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ ต่างก็ดูถมึงทึง
ร่างของกู้เวิ่นเทียนชะงัก จากนั้นก็แย้มยิ้มเยาะ หยิบยันต์ลับชิ้นหนึ่งขึ้นมา “นามของยันต์ลับนี้คือ ‘แผดดาราไร้ร่องรอย’ ใต้เท้าผู้หนึ่งจากลัทธิทางช้างเผือกให้ข้ามา ต่อให้พวกเจ้าร่วมลงมือก็หยุดข้ามิได้หรอก!”
“จริงหรือ?”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ปริปาก “งั้นเจ้าก็ลองดูได้”
เมื่อถูกซูอี้จับจ้อง กู้เวิ่นเทียนก็รู้สึกหนาวเยือกในใจ และขยี้ยันต์ลับในมือโดยไม่ลังเล
ดวงดาราอันตระการตาพร่างพรายพลันปรากฏขึ้น แผ่คลื่นมิติกระเพื่อมเป็นวงรายล้อมร่างของกู้เวิ่นเทียน
ทว่าแทบจะในยามเดียวกัน เสียงแค่นอย่างเย็นชาก็ดังขึ้น
ซูอี้กระดิกปลายนิ้วมือขวาเล็กน้อย
ฉัวะ!
ปราณดาบสายหนึ่งฟาดฟันผ่านนภา ดวงดาราจรัสแสงระเบิดแหลกสลาย
ร่างของกู้เวิ่นเทียนเซถลาออกมาจากสุญญะ
ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วดุจประกายสายฟ้า!
ภาพนี้ทำให้พวกปรมาจารย์เผิงเดาะลิ้น
ด้วยสายตาของพวกเขา ย่อมมองเห็นว่ายันต์ลับที่กู้เวิ่นเทียนใช้นั้นลึกลับซับซ้อนยิ่ง อัดแน่นด้วยพลังกฎสวรรค์ต้องห้ามมากมาย
ทว่าใครเล่าจะคาดว่าซูอี้จะสามารถทำลายพลังของยันต์ลับนี้ได้เพียงโจมตีเบา ๆ!
สีหน้าของกู้เวิ่นเทียนซีดขาว กล่าวขึ้นอย่างลนลานเห็นได้ชัด “ซูเสวียนจวิน สองแดนดินทำศึก หากเจ้าฆ่าข้าไปก็ไร้ประโยชน์ รังแต่จะยั่วโมโหเหล่ายักษ์ใหญ่ในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว และหาเหาใส่หัวตนเองนะ!”
ซูอี้รินสุราลงจอกตนเองเพิ่ม และกล่าวว่า “ตอบคำถามข้า แล้วข้าจะปล่อยเจ้ารอดกลับไป หาไม่ เจ้าจะได้รวดร้าวยามนี้แหละ”
ร่างของกู้เวิ่นเทียนสะท้านสั่น สูดหายใจลึก ๆ บังคับตนให้สะกดความตื่นกลัวหวาดผวาในใจ “ว่ามา”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว เหล่าตัวตนบรรพกาลซึ่งเห็นเหตุการณ์ล้วนแค่นยิ้มเยาะ
ใครเล่าจะไม่เห็นว่ายามนี้กู้เวิ่นเทียนกลัวหัวหด?
“จิ่งหัง เจ้าพาพวกหลิงเสวี่ยไปพักก่อนเถอะ”
ซูอี้ออกคำสั่งลอย ๆ
“ศิษย์น้อมรับ”
จิ่งหังลุกขึ้น พาพวกเหวินหลิงเสวี่ยจากไป
จากนั้น ซูอี้ก็กล่าวว่า “บอกมาว่าพวกยักษ์ใหญ่จากจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นแห่กันมากี่คน”
เสี้ยวชั่วยามต่อมา
กู้เวิ่นเทียนเองก็ให้การร่วมมือ ตอบทุกสิ่งที่เขารู้
ทว่า เมื่อได้รับรู้ความจริงของปัญหาครานี้ บรรยากาศในหอสดับสำเนียงคลื่นก็ตึงเครียดถึงขีดสุด
เพราะจากวาจาของกู้เวิ่นเทียน ครานี้มีกำลังคนนับร้อย ๆ ถูกส่งมาจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
เพียงจำนวนก็หนักหนาจนน่าหดหู่แล้ว
“เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ด้วย!”
ปรมาจารย์เผิงถอนใจเบา ๆ
“กล่าวในแง่ร้ายคือ หากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวจัดทัพมาเช่นนี้จริง การครอบครองทั้งมหาแดนดินนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาจริงแท้”
บรรพชนมารเยว่อิ๋นขมวดคิ้วกังวล “ต่อให้เราเจ้าแก่ทั้งหลายร่วมมือ… ก็เกรงว่าคงหยุดไว้ไม่ได้”
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายามวิกฤตนี้มาถึง มันจะเป็นตัวตัดสินชะตาทุกขุมกำลังผู้ฝึกตนในมหาแดนดิน!”
บางคนดูจิตตก “และทำนายได้เลยว่าผู้ใดขัดขวางยักษ์ใหญ่จากจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นคงจบไม่เหลือซากเป็นแน่…”
นับแต่สิ้นศึกถ้ำเสวียนจวิน พวกเขาก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าเหล่ายักษ์ใหญ่ในห้วงลึกจักรวาลพร่าวดาวจะมิอยู่เฉย และไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะกลับมาอีก
แต่ไม่มีผู้ใดคาดว่ายามพายุโหม การจัดกำลังจะน่าขนลุกเพียงนี้!
“มิน่าเล่า เจ้ามารเฒ่ากู้จึงเต็มใจเป็นสุนัข ด้วยภัยคุกคามระดับนี้ ขุมกำลังผู้ฝึกตนทั่วมหาแดนดิน เกรงว่าน้อยนักจะกล้าต่อต้าน”
บางคนหัวเราะอย่างขมขื่น
กู้เวิ่นเทียนซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเงียบสนิท
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าคิดเช่นไร?”
จักรพรรดิมารเทียนฮู่หันไปถามซูอี้
คนอื่น ๆ ก็มองไปทางเขาเช่นกัน
ซูอี้ร่ำสุราหนึ่งจอก และกล่าวว่า “คนนับร้อยจากในจักรวาลพร่างดาวนั้นดูน่ากลัว แต่ในความเห็นข้า มันก็แค่จำนวน”
ดวงตาของเขาลึกล้ำ ขณะกล่าววาจาห้วนสั้น “กำลังคนนับร้อยเหล่านี้สังกัดสี่มหาอำนาจ โรงวาดฤทัย ลัทธิทางช้างเผือก หอเก้าสวรรค์และสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ”
“แม้จำนวนยอดฝีมือที่พวกนั้นส่งมาจะมากมาย แต่ท้ายที่สุดตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิก็มีไม่กี่คน”
“คนอื่น ๆ นั้นล้วนแต่เป็นตัวตนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ”
“จริงอยู่ว่ากฎสวรรค์ภูมิดาราที่พวกเขาควบคุมแข็งแกร่งยิ่งนัก และมากพอจะอยู่เหนือตัวตนใด ๆ ในขอบเขตเดียวกันที่แดนเทวามหาแดนดินได้ แต่ในสายตาข้า ตัวตนเช่นนั้นถูกข้าหมางเมินไปแสนนานแล้ว”
“ผู้ที่ควรค่าแก่การสนใจจริง ๆ คือตัวตนหยิบมือในขอบเขตราชันแห่งภูมิเหล่านั้นต่างหาก”
ขณะฟัง พวกปรมาจารย์เผิงหาได้ผ่อนคลายลงไม่
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู สิ่งที่ข้ากังวลก็คือการมีอยู่ของพวกราชาแห่งภูมินั่นแหละ”
ปรมาจารย์เผิงรำพึง “หากตัวตนระดับนั้นมาถึง ทั่วมหาแดนดิน ใครเล่าจะเทียบได้?”
ซูอี้ส่ายหน้ายิ้ม ๆ “พวกเขามาไม่ได้หรอก”
ทุกคนต่างตะลึงค้าง
ซูอี้กล่าวเสริม “กฎสวรรค์ของภูมิดาราฟ้าดินเสื่อมสลายไปแสนนาน แต่เพราะเหตุนี้ ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิจึงไม่อาจเข้ามาในภูมินี้ได้อย่างแท้จริง หาไม่ พวกเขาจะถูกกฎสวรรค์แห่งภูมิดาราฟ้าดินเล่นงาน!”
“พวกเจ้าก็เคยได้เห็นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวตนใด ๆ ที่นี่ซึ่งมาจากโรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์หรือลัทธิทางช้างเผือก ก็ไม่มีตัวตนใดอยู่ในขอบเขตราชันแห่งภูมิเลย”
“กระทั่งช่างเสื้อยังใช้ได้เพียงอวตาร จึงสามารถปรากฏสู่มหาแดนดินได้”
กล่าวถึงจุดนี้ ดวงตาของซูอี้ก็วาวโรจน์อย่างเย็นชา “นี่ยังหมายความว่า ต่อให้มีตัวตนระดับราชาแห่งภูมิที่นี่ พวกเขาก็ต้องกดระดับฝึกฝนตนเองให้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิหากต้องการเข้ามายังที่แห่งนี้ หาไม่ พวกเขาก็อยู่ได้เพียงด้านนอกมหาแดนดิน!”
………………..