บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1156: มาเยือนด้วยเรือ
ตอนที่ 1156: มาเยือนด้วยเรือ
โลกหล้าปั่นป่วน
ทุกคนล้วนสังหรณ์ว่าความอลหม่านตะลึงทุกหัวใจจะเปิดฉากขึ้นในมหาแดนดินนี้
ขุมกำลังใหญ่จากจักรวาลพร่างดาวหนนี้เตรียมตัวมาดี ไม่ได้ซุกซ่อนจิตสังหารที่มีต่อปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแม้แต่น้อย!
“ใต้เท้าซูคือผู้ยิ่งยงเป็นหนึ่งในวิถีดาบ เป็นที่เคารพนับถือจากทั่วโลกหล้า ทว่ายามนี้กลับถูกคนนอกเหล่านั้นข่มขู่บังคับให้คุกเข่าชดใช้ความผิด น่ารังเกียจโดยแท้!!”
บางคนมิสบอารมณ์
“ใต้รังนกไหนเลยจะมีไข่ หากครานี้ใต้เท้าซูปราชัย เกียรติภูมิยิ่งยงของมหาแดนดินนี้… คงได้พังทลายแน่แท้!”
บางคนกังวล
“คาดการณ์ได้ว่านี่คือศึกอันเกี่ยวพันกับชะตาของมหาแดนดิน และเหตุที่ขุมกำลังใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวร่วมมือกันต้องไม่ใช่เพียงจัดการกับใต้เท้าซูอย่างเดียวแน่ แต่ยังรวมถึงยึดครองมหาแดนดินของเรา!”
และยังมีขุมกำลังมากมายที่ลำพองกับเรื่องนี้เช่นกัน
“เขาซูเสวียนจวินก็มีวันนี้เช่นกันหรือ?”
“ข้าบอกแล้ว ด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของซูเสวียนจวิน ทำให้เขาต้องเจอตอเข้าในไม่ช้าก็เร็ว เห็นหรือไม่ ในที่สุดเวรกรรมก็ปรากฏ!”
“ซูเสวียนจวินตายแน่ ไม่ก้มหัวจำนนก็หนีเอาชีวิตรอด ไร้ทางอื่นใด! แต่หากก้มหัวลง นามปรมาจารย์ดาบเสวียจวินและเกียรติภูมิสูงส่งในมหาแดนดินยามเก่าก่อนจะถูกทำลายสิ้น และ… ต่อให้มีชีวิตอยู่ต่อก็มิอาจเงยหน้าสู้ผู้ใดได้!”
“ช่างน่าเสียดายสำหรับซูเสวียนจวิน หลังจากเวียนวัฏฝึกฝนใหม่กลับมาครานี้ หากอยู่เฉย ๆ สักพักคงไม่ดึงหายนะเช่นนี้มาได้ แต่เขาก็ทำอหังการไล่สังหารยอดฝีมือของขุมกำลังจากจักรวาลพร่างดาว เช่นโรงวาดฤทัย ลัทธิทางช้างเผือก หอเก้าสวรรค์ จนท้ายที่สุดก็ก่อเกิดหายนะเช่นนี้!”
ขณะที่โลกหล้าปั่นป่วน ข่าวอีกข่าวก็ปรากฏ
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินประกาศว่าภายในสิบวัน เขาจะไปละเลงเลือดที่ตำหนักมารธุลีแดง ให้เหล่าศัตรูจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวล้างคอรอ!
หนึ่งศิลาก่อเกิดคลื่นนับพัน
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินบ้าไปแล้วหรือ!?
“หนึ่งคนคิดประชันกับกองกำลังนับร้อยจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอย่างนั้นหรือ? มันต่างอันใดกับแพ้ภัยตนเอง?”
“ครานี้เหล่ายักษ์ใหญ่จากจักรวาลพร่างดาวเตรียมตัวมาดี การออกยั่วยุเช่นนั้นไม่ใช่ทางที่ดีเลย!”
“ใต้เท้าซูคิดอันใดอยู่ ไฉนจึงบ้าระห่ำเพียงนี้?!”
“ดูเหมือนใต้เท้าซูจะจนตรอกแล้ว หาไม่ เขาคงไม่ออกศึกทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตายแน่หรอก”
…
“โลกหล้าช่างไม่รู้ความ พวกเจ้าหรือจะรู้ถึงสัญชาตญาณและความเย่อหยิ่งของสหายเต๋าซู? ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตาย เขาก็หาได้สนใจความเป็นความตายไม่ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ข้าเยี่ยนซินก็จะไปกับเขาด้วย”
ณ แดนบูรพาน้อย หลวงจีนเยี่ยนซินออกมาจากที่เก็บตัว
“เฮ้อ ข้าว่าแล้วเชียวว่าพี่ซูจะเลือกเช่นนั้น คนเช่นเขา ต่อให้ตายก็ไม่มีวันก้มหัว…”
ในแดนอสูรปรีดี จักรพรรดิมารสวรรค์พึมพำเบา ๆ
และปรมาจารย์เผิง บรรพชนมารเยว่อิ๋นและตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ ต่างรับรู้ถึงการตัดสินใจของซูอี้อยู่นานแล้ว พวกเขาทั้งหลายต่างเตรียมการรองรับผลกระทบและตัดสินใจติดตามซูอี้ไป!
จริงอยู่ที่พวกเขารับปากซูอี้ว่าจะมิเข้าร่วมศึกนี้
ทว่า…
ใครเล่าจะอยู่นิ่งเฉยได้จริง ๆ?
…
โลกหล้าปั่นป่วนฮือฮา ทุกสายตาจับจ้องไปที่ตำหนักมารธุลีแดง
รอให้มหาพายุอุบัติ!
ต่างกับความคิดทุกคน การปรากฏตัวของซูอี้มิได้สั่นเทาหรือเตรียมการใด ๆ อย่างขะมักเขม้น แต่ซูอี้นั้นกลับลอยชายสบายตัวสุด ๆ
นอกจากฝึกฝนทุกวันแล้ว เขาก็อยู่กับเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ
ไม่ก็สังสรรค์เฮฮา ดื่มด่ำความงดงามแห่งธรรมชาติ ชงชาละเลียดจิบ สนทนาใต้แสงจันทร์ แสนสุขีสบายใจ
แค่ว่า อาจเป็นเพราะวิถีเต๋าของซูอี้แข็งแกร่งขึ้นมากเกินไป ฉาจิ่นจึงมิอาจต้านทานได้อย่างเห็นได้ชัด หลังจากการฝึกคู่แต่ละหน นางจึงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงราวก้อนโคลน
โชคดีที่ชิงหว่านฟื้นคืนกลับมา ศึกทวิภาคีแต่เดิมจึงแปรเปลี่ยเป็นไตรภาคี ให้ความรู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษ
“พี่ซูอี้ พี่ไม่กังวลเลยจริง ๆ หรือ?”
วันนี้ ซูอี้และเหวินหลิงเสวี่ยล่องเรือบนสายน้ำสีคราม ขณะดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ธรรมชาติ
ซูอี้เอนกายเอกเขนกบนเรือ ศีรษะพิงแขน ท่าทางดูผ่อนคลายสุด ๆ
“กังวลไปมีประโยชน์หรือ?”
ซูอี้ถามอย่างใจลอย
“เอ่อ…”
เหวินหลิงเสวี่ยพูดมิออก
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ว่าคราใดที่เกิดเรื่องใหญ่โต ผู้ฝึกตนไม่รู้มากมายเพียงไรก็รอดูข้าเสียท่าอยู่ คิดว่าข้าบ้าหาเรื่องตาย แค่หากข้าเหลาะแหละเช่นเขาว่าจริง ไฉนเล่าจึงปกครองเป็นหนึ่งในมหาแดนดินได้แสนนาน?”
“แต่ครานี้ต่างออกไปนะเจ้าคะ”
เหวินหลิงเสวี่ยแก้คำอย่างจริงจัง “ศัตรูเหล่านี้ล้วนมาจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ต่างคนต่างเตรียมตัวมาแล้ว พี่ซูอี้ พี่ต้องไม่ประมาทนะเจ้าคะ”
ซูอี้สัมผัสความเป็นห่วงจากใจของหญิงสาวได้ เขาจึงอดกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ มิได้ “ข้าเข้าใจแล้ว”
ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นจากเรือและเดินทางกลับนั้นเอง เหวินหลิงเสวี่ยพลันรวบรวมความกล้า ก้มหน้าก้มตากล่าวเสียงเบาราวยุงบิน “พี่ซูอี้ ข้า… ข้าก็อยากเป็นแบบพี่หญิงฉาจิ่น… เอ่อ…”
กล่าวเช่นตรงนี้ ใบหน้าขาวกระจ่างจิ้มลิ้มของหญิงสาวก็แดงก่ำ มือราวกับหยกคู่นั้นกระมิดกระเมี้ยนบิดเข้าหากัน ขณะพูดจาไม่เป็นศัพท์
ศีรษะของนางก้มงุดแทบจมลงไปในอก
ภายใต้แสงสว่างแห่งนภา ชุดกระโปรงของหญิงสาวพลิ้วไสว เงาร่างโดดเด่น ใบหน้างดงามจิ้มลิ้มแดงเรื่อเขินอาย ชวนให้หัวใจเต้นมิเป็นส่ำ
ความงามของนางละเอียดอ่อน เปี่ยมพลังชีวิตสดชื่น
ซูอี้ผงะไป ก่อนจะยกมือขึ้นเคาะหน้าผากของเหวินหลิงเสวี่ย กล่าวขึ้นยิ้ม ๆ “สมองน้อย ๆ ของเจ้าคิดอันใดอยู่ทุกวันนี่”
หญิงสาวพองแก้มอย่างเคือง ๆ
ซูอี้หาใช่สุภาพบุรุษหรือโง่เง่า จะมิเห็นความรักอันเอ่อล้นของหญิงสาวได้เช่นไร?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเหวินหลิงเสวี่ยเองก็งดงามสะกดใจยิ่งนัก ยิ่งกาลผันผ่าน วิถีเต๋าพัฒนา นางก็ยิ่งงามสง่าขึ้นทุกเมื่อ
กระทั่งเรือนร่างก็สมส่วนงามสง่า
หากมิลงมือก็หาใช่บุรุษเพศไม่!
ทว่า ความรู้สึกของซูอี้ที่มีต่อเหวินหลิงเสวี่ยนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน
เพราะถึงอย่างไร ในอดีต เขาก็ปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างเอาใจทะนุถนอมเช่นน้องสาวมาโดยตลอด แม้ในใจจะมีตัณหาอยู่บ้าง แต่ก็ห่างไกลจะเป็นกระต่ายกินหญ้าใกล้โพรงมากนัก
“เจ้าต่างจากฉาจิ่น และไม่เหมือนชิงหว่านด้วยเช่นกัน”
ซูอี้แย้มยิ้มพลางหยิกแก้มซึ่งพองออกอย่างกรุ่นเคืองของหญิงสาว “หากภายหน้ามีโอกาส ข้าจะลองเปลี่ยนดู”
“หือ?!”
การวางตัวของหญิงสาวผิดธรรมดาไปเล็กน้อยแล้ว ให้สัมผัสดุจสตรีขี้อาย
“เดาเองสิ”
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ เขาไพล่มือไว้เบื้องหลังและก้าวยาว ๆ จากไป
คำถามของหญิงสาวไล่หลังมา “งั้นบอกข้าที ยามใดข้าจะมีโอกาสล่ะเจ้าคะ?”
ซูอี้หันไปมอง และเห็นร่างงามสง่าของหญิงสาวข้างลำธาร งดงามดุจภาพวาด เจิดจรัสท่ามกลางประกายสะท้อนแห่งนที
“ของอร่อยย่อมมิอาจกลืนกินได้หมด รอไปก่อน”
ซูอี้แย้มยิ้มโบกมือ
เหวินหลิงเสวี่ยสูดหายใจเฮือก ใบหน้าของนางแดงก่ำ ดวงตากระดากอาย ทว่าหัวใจกลับยินดีนัก
ครู่ต่อมา หญิงสาวก็ถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นตบแก้มร้อนระอุของนางเบาๆ พลางพึมพำ “เมื่อครู่… ข้า… ช่างอายนัก…”
…
รุ่งสาง
วันที่สิบเยื้องย่าง ศึกตัดสินมาถึง!
สิบวันนี้ช่างแสนยากเย็นสำหรับเหล่าผู้ฝึกตนในมหาแดนดิน รู้สึกราวรอคอยแรมปี
พายุร้ายแรงยิ่งกว่าหนใดเพราะเกี่ยวพันกับชะตาแห่งทั่วมหาแดนดินกำลังจะเปิดฉาก ใครเล่าจะอยู่เฉยไร้กังวล?
สิบวันมานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้วิเคราะห์ทิศทางศึกมากมายเพียงไร
ทว่าผลลัพธ์ที่แต่ละคนสรุปออกมานั้นช่างเหมือนกันอย่างน่าประหลาด นั่นคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแทบไร้หวังชนะ!
เป็นเรื่องบีบหัวใจยิ่งนัก ชวนให้เศร้าหมองไร้กำลังอย่างมิอาจอธิบาย
ทุกคนล้วนเห็นว่ายักษ์ใหญ่จากจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นจัดขบวนใหญ่โตเพื่อสำแดงอำนาจ!
พวกเขาจำเป็นต้องใช้กองกำลังยิ่งใหญ่มาสังหารปรมาจารย์เสวียนจวินไม่ให้เหลือซาก ไม่ใช่เพียงเพื่อล้างแค้น แต่ยังเพื่อข่มขวัญมหาแดนดิน ให้ผู้ฝึกตนหลายร้อยล้านได้ประจักษ์ถึงความน่ากลัวของเหล่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว!
สิบวันมานี้
ตัวตนบรรพกาลซึ่งมิได้ปรากฏร่องรอยแก่โลกหล้าแสนนาน ยักษ์ใหญ่ไร้เทียมทานซึ่งปลีกตัวจากโลกหล้าแสนนาน และเหล่าปรมาจารย์วิถีเต๋าทั้งหลายล้วนปรากฏตัว!
ในสายตาโลกหล้า การเคลื่อนไหวเช่นนี้แสดงได้แล้วว่าพายุใหญ่นี้ได้รับความสนใจมากเพียงไร
ในสายตาของผู้อาวุโสบางคน พวกเขาหนาวเยือกเคว้งคว้างจากใจ
ไฉนขุมกำลังสูงสุดจากทั่วมหาแดนดินจึงลุกขึ้นเคลื่อนไหว?
มันแสดงให้เห็นว่ายอดฝีมือเหล่านี้เองก็รู้สึกกดดันมหาศาล และห่วงว่าศึกนี้จะเกี่ยวพันกับชะตาทั่วมหาแดนดิน!
และยังเพียงพอพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่เห็นด้วย และมีความเชื่อมั่นใจปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไม่มากนัก!
…
ชายแดนมหาแดนดิน แคว้นหลิง
ทะเลดาวตก
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นพร่างพรม แดนศักดิ์สิทธิ์ขุนขาลือนามอันล่องลอยท่ามกลางทะเลดาวตกอยู่ในความควบคุมของตำหนักมารธุลีแดงมาแต่โบราณ
เหนือท้องนภาเบื้องบนทะเลดาวตก นำไปสู่จักรวาลพร่างดาวกว้างไกล!
ยามนี้ ผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศล้วนรวมตัวกันอย่างหนาแน่นที่ฝั่งทะเลดาวตก
และเหล่ายอดฝีมือจากขุมอำนาจสูงสุดทั้งหลายต่างเข้าสู่ทะเลดาวตก ยืนมองจากไกล ๆ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นพร่างพรม
มองปราดเดียวก็เห็นได้ว่าเหนือสมุทรธารานี้มีผู้ฝึกตนกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหน!
วันนี้คือวันเปิดฉากมหาสงคราม!
รุ่งเช้า
ท้องนภาทอประกายเจิดจรัสตัดผ่านหมู่เมฆ พร่างพรมลงบนทะเลไพศาล ระยับแสงดุจทองคำหลอม งดงามสะกดสายตา
เพียงแต่บรรยากาศรอบข้างนั้นตึงเครียดเงียบสงัดอย่างผิดปกติ
ทุกคนกำลังรออย่างใจจดจ่อ
ทันใดนั้น เรือท้องแบนลำหนึ่งก็ล่องคลื่นมาจากท้องทะเลแสนไกล
บนเรือลำนั้นมีร่างสูงของคนผู้หนึ่งยืนอยู่
อาภรณ์เขียวของเขาดุจสร้างจากหยก บริสุทธิ์ไร้มลทิน หนึ่งมือไพล่หลัง อีกหนึ่งถือไหสุรา ขี่วายุล่องคลื่น อาภรณ์สะบัดโบก เส้นผมยาวไสวตามลม
ภายใต้แสงจากนภา ร่างสูงใหญ่ราวเปล่งประกายดุจเทพเซียน อิสระไร้ข้อจำกัด
ทันใดนั้น รอบข้างก็ส่งเสียงฮือฮา ทุกสายตาจับจ้อง
นักดาบซึ่งเป็นดั่งตำนานแห่งมหาแดนดิน… มาเยือนแล้ว!