บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1159: เผชิญความเป็นความตาย
ตอนที่ 1159: เผชิญความเป็นความตาย
หมอกควันฟุ้งกระจายทั่วฟ้าดิน
ยามท้องทะเลครามมืดหม่นม้วนเกลียวคลื่น หยาดโลหิตก็ถูกม้วนรวมย้อมสี
เหล่าผู้เฝ้ามองจากระยะไกลไม่อาจอดกลั้นความตื่นเต้นไว้ในใจ และต่างโห่ร้องออกมา
“ใต้เท้าซูดุเดือดยิ่ง!!”
“ตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นเหลาะแหละหรือไร? ไม่เลย! ใต้เท้าซูต่างหากที่แข็งแกร่งเกินไป!!”
“ข้า… ข้าคิดว่าฝันไปเสียอีก…”
ทั่วหล้าฮือฮา เหล่าผู้ชมล้วนเดือดพล่าน
ก่อนหน้านี้ ทัพศัตรูยกขบวนมาอย่างน่าหวาดกลัวเกินไป ทำให้ทุกคนรู้สึกมืดหม่นไร้หวัง ยากหายใจออก
ทั้งยังไร้ผู้ใดคิดว่าซูอี้จะรอดจากศึกนี้ได้
ยามนี้ กระทั่งตัวตนซึ่งเกลียดซูอี้ยังสิ้นวาจาด้วยความตะลึงงัน
พวกปรมาจารย์เผิงล้วนถอนใจโล่งอก หัวใจตะลึงตื่นเต้น
ทว่าพวกเขารู้ดีว่าศึกนี้เพียงแค่เริ่มต้น ห่างไกลเกินกว่าจะดีใจได้!
ทันทีที่คิดเช่นนี้ เสียงหนึ่งพลันตะโกน
“จะดีใจเร็วไปหน่อยกระมัง? ระวังเถอะ หลังจากซูเสวียนจวินตายไป พวกเขาจะไล่จัดการพวกเจ้าทีละคน!”
บนยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นพร่างพรม กู้เวิ่นเทียนที่ยืนอยู่บนเวหา มองลงมาดวงตาเย็นชาคมปราบเยี่ยงสายฟ้า
จากเสียงตะโกนของเขา เสียงโห่ร้องของเหล่าผู้ชมพลันหายไป
ผู้ชมทั้งหลายล้วนเปลี่ยนสีหน้าเงียบกริบ!
บรรยากาศทั่วฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นกดดันอีกครั้ง
“กู้เวิ่นเทียน เจ้านี่ช่างเป็นหมาที่ดีจริง ๆ!”
“กระแสโดยรวมแห่งโลกหล้าจะถูกเขียนใหม่ในวันนี้ และหายนะใหญ่หลวงในภายหน้าจะมิได้ขึ้นกับพวกเจ้าเฒ่าเหล่านี้ตัดสิน!”
กู้เวิ่นเทียนดูเฉยเมย “ดังที่ว่าผู้คล้อยตามรอด ผู้ขัดขืนตาย เมื่อซูเสวียนจวินแพ้พ่าย ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าผู้ใดบ้างที่ไม่ยอมก้มหัว!”
วาจานั้นแพร่กระจายทั่วทิศ
หัวใจทุกคนหนักอึ้ง
ใครเล่าจะไม่เห็นว่ากู้เวิ่นเทียนยังคงกร่างคับฟ้า?
นี่พิสูจน์อย่างไร้กังขาว่าศึกนี้เพียงเริ่มเท่านั้น!
บนอากาศ ซูอี้เก็บไหสุราไป กล่าวออกมาเพียงสองคำ “หนวกหู”
วาจานั้นเรียบง่าย
ทว่าหนึ่งปราณดาบปรากฏขึ้นฟาดฟันไปยังกู้เวิ่นเทียน
สีหน้าของกู้เวิ่นเทียนแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ เขาเห็นศึกเมื่อครู่เต็มตา มีหรือจะไม่รู้ความน่ากลัวของซูอี้?
ตู้ม!
ปราณดาบคล้อยลง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หมื่นพร่างพรมสั่นสะเทือนเลือนลั่น สารพัดอักขระปรากฏ ค่ายกลกระเพื่อมไหว ทว่าท้ายที่สุดก็มิอาจต้านทานพลังแห่งปราณดาบนั้นได้และปริร้าว
ภูเขาส่วนที่กู้เวิ่นเทียนเดิมยืนอยู่ถูกแยกเป็นสองเสี่ยง!
กู้เวิ่นเทียนอ้าปากค้าง จิตวิญญาณโอดครวญ ตะคริวขึ้นน่องลามขึ้นท้อง
“ปลาซิวปลาสร้อยเหลิงอำนาจ มิน่าเล่าจึงถูกดูแคลน ลงไป อย่าออกมาทำให้ชาวบ้านอับอายอีก”
ทันใดนั้น เสียงสตรีกังวานลึกล้ำก็ดังขึ้น
วูบ!
หญิงงามในอาภรณ์ชาววังสีม่วงปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เมื่อนางปรากฏกาย ท้องนภาพลันหม่นแสง อากาศรอบสิบทิศกู่ร้องสั่นเครือ อำนาจร้ายกาจแผ่กระจาย
คนผู้นี้คือผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งโรงวาดฤทัย เซวียจื่อหนิง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คืออวตารวิถีของราชันแห่งภูมิ หาใช่ร่างจริงไม่
เพราะหากเป็นร่างจริง มันจะต้องเผชิญกฎสวรรค์ภูมิดาราของภูมิดาราฟ้าดินแน่นอน!
“ขอรับ!”
เมื่อถูกเซวียจื่อหนิงปรามาส กู้เวิ่นเทียนก็อับอายเจียนตายและลี้หลบไปทันที
ทว่า หามีผู้ใดให้ความสนใจกู้เวิ่นเทียนไม่
ทุกสายตาต่างหันมองไปยังเซวียจื่อหนิงเป็นตาเดียว และต่างตกตะลึงในอำนาจร้ายกาจจากร่างของนาง
บรรยากาศกดดันหดหู่
พวกปรมาจารย์เผิงล้วนดูเคร่งขรึม
ซูอี้บนอากาศกล่าวขึ้น “มีเพียงเจ้าหรือ?”
เซวียจื่อหนิงกล่าวเบา ๆ “แน่นอนว่าไม่”
ทันทีที่สิ้นคำ ร่างคนร่างแล้วร่างเล่าก็ปรากฏบนอากาศในบริเวณใกล้เคียง
พวกเขามีกันมากกว่าสิบ มีทั้งชายหญิง แม้รูปลักษณ์จะแตกต่าง แต่ด้วยการปรากฏกายของพวกเขาล้วนแล้วแต่เหมือนเทพยดาสูงส่งจุติสู่แดนดิน!
เพียงอำนาจจากร่างของพวกเขาก็ก่อพายุปั่นป่วน แรงกดดันสูงพอให้สวรรค์สั่นเทา
เสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาดังมาจากไกล ๆ และผู้ชมมากมายล้วนถอยไปแสนห่าง กระทั่งปรมาจารย์เผิงและเหล่าตัวตนบรรพกาลยังขนลุกขนพอง
ร้ายกาจมาก!
ปราณของตัวตนสิบกว่าผู้นั้นห่างไกลเกินเทียบได้กับตัวตนทั้งหลายในขอบเขตมหาจักรพรรดิ!
“พวกเราเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว แม้จะไม่ได้มาด้วยร่างจริง แต่เราก็ร่วมมือกันได้และเทียบได้กับราชันแห่งภูมิ สหายเต๋าคิดเช่นไรกับการจัดกระบวนเช่นนี้?”
เซวียจื่อหนิงถามเนิบ ๆ
ซูอี้ตอบโดยไม่คิด “ตอบตามตรง ไม่อาจเลี่ยงความตายได้”
เซวียจื่อหนิงอดปิดปากหัวเราะคิกมิได้ “ยังปากแข็งอีก ใต้เท้าช่างเสื้อมองเจ้าออกทะลุปรุโปร่งนานแล้ว ครานี้… เจ้าตายแน่!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น นางก็กวาดสายตามองเหล่าตัวตนรอบกายนาง “อย่าได้ชะล่าใจ ยามลงมือควรรวดเร็วบ้าระห่ำดุจสายฟ้า!”
ภายใต้ท้องนภา ทันใดนั้นหนึ่งม้วนภาพก็คลี่ออก ภายในนั้นมีภาพดาบอันเจิดจรัสนับไม่ถ้วน ส่งเสียงคำรามเสียดแทงแก้วหูและปราณดาบสีเลือดนับมิถ้วน
ศาสตร์ลับสูงสุด… นรกป่าศาสตราวุธ!
ตู้ม!
ปราณดาบทะลักไหลกระหน่ำท่วมดุจห่าพายุฝน ฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้
ยามนี้ดูประหนึ่งขุมนรกอันแปรเปลี่ยนจากปราณดาบนับไม่ถ้วน หวังสังหารซูอี้ในพริบตา!
และยามนี้เองที่ซูอี้ได้สัมผัสถึงแรงกดดันปะทะหน้า ผิวกายเจ็บแปลบ กระทั่งจิตใจยังถูกกดดัน!
เขาเลิกคิ้ว และใช้ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ออกมากวัดแกว่งโจมตีอย่างไร้ลังเล
เปรี้ยง!
อากาศถล่มแหลก ลำแสงดาบพร่างพราว
ปราณดาบสีเลือดทั้งหลายแหลกสลาย
ภาพนี้ทำให้หัวใจคนทุกคนบีบรัด สีหน้าเปลี่ยนแปรโดยสมบูรณ์
เพียงหนึ่งคนโจมตี แต่กลับผลักปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเซถอย อีกฝ่ายมีกันสิบกว่าคน จะสู้ได้เช่นไร?
“ยอดเยี่ยม! มิน่าเล่า ใต้เท้าช่างเสื้อจึงบอกว่าการรับมือตัวตนเช่นสหายเต๋าจะยั้งมือหมกเม็ดมิได้”
เซวียจื่อหนิงตื่นตะลึง นางดูไร้ความกลัว และเปี่ยมไปด้วยมั่นอกมั่นใจ
ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่ว่าช่างเสื้อจะแข็งแกร่งเพียงไร ร่างอวตารของเขาก็ยังถูกฝังที่นี่อยู่ดี เจ้า… ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น”
วาจายังไม่ทันสร่าง เขาก็ออกดาบโจมตี
แข็งแกร่งร้ายกาจ!
เซวียจื่อหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย วาจาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ทุกท่าน ลงมือด้วยกันเถอะ!”
“ตกลง”
“เป็นไปตามนั้น”
…ยามนี้เอง อวตารราชันแห่งภูมิสิบกว่าผู้ซึ่งล้วนแต่มีอำนาจน่าเกรงขามก็ลงมือไม่ยั้ง
ตู้ม!
โลกาพลิกกลับด้าน ทุกสิ่งสรรพพังทลาย
มหาสงครามอุบัติ
เพียงพริบตา ซูอี้ก็ถูกล้อมโจมตีโดยพวกเซวียจื่อหนิง ทั่วฟ้าดินราวแหลกมลาย สารพัดกฎเต๋ากู่คำรามสะท้านทั่วเก้าชั้นฟ้า
“หนีเร็ว!”
ไกลออกไป หนึ่งเสียงคำรามอย่างลนลานก้องกังวาน
ไม่รู้ว่ามีผู้ชมมากมายเพียงไรที่หนีหัวซุกหัวซุน เนื่องจากทะเลดาวตกนี้เต็มไปด้วยอำนาจทำลายล้างร้ายกาจ
ผู้ฝึกตนบางคนหลบไม่ทัน อันตรธานหายไปทันที!
ภาพอันชวนขนพองสยองเกล้าทำให้เหล่าตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิตกตะลึง และล่าถอยไปแสนไกลทันที
เหล่าตัวตนบรรพกาลเช่นปรมาจารย์เผิงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาต้องโคจรพลังมหาวิถีที่ฝึกฝนมาเต็มกำลังเพื่อสลายผลกระทบจากสงคราม
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซูบอกไว้ อย่าให้เราเข้าแทรกแซงด้วยกลัวเราจะถูกลากไปพัวพัน แม้จะน่าอาย ทว่ายามนี้ก็ดูเหมือนเราไม่มีสิทธิ์กระทั่งจะเข้าแทรกแซงเสียแล้ว…”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่กล่าวอย่างขมขื่น
ศึกระดับนี้เกินกว่าขอบเขตมหาจักรพรรดิแล้ว!
เพียงลูกหลงจากสงครามยังทำให้เหล่าตัวตนบรรพกาลเหล่านี้แทบรับไม่ไหว อย่าว่าแต่เข้าช่วยเหลือ!
“อยากช่วยแทบตาย แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นจริงได้…”
บรรพชนมารเยว่อิ๋นกำมือแน่น ใบหน้าเปี่ยมโทสะและความจนใจ ดวงตารวดร้าว
พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนระดับสูงสุดในมหาแดนดิน ทว่ายามนี้กลับพบว่าต่อหน้ามหาสงครามระดับนี้ พวกเขากลับช่างเล็กจ้อยไร้พลัง!
ความสะเทือนใจนี้หนักหน่วงชวนหดหู่เจ็บใจนัก!
“อยากช่วยก็ยังไม่สาย! หากครานี้สัตว์ประหลาดเฒ่าซูเสียท่า ภายหน้ายามขึ้นสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ ข้าจะช่วยเขาล้างแค้นสิบเท่าร้อยเท่า!”
ใบหน้าของปรมาจารย์เผิงเดือดดาล ดวงตาพลุ่งพล่านด้วยโทสะ
ไฉนจึงไร้กำลังเพียงนี้?
ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป!
ในสนามรบห่างออกไป
เปรี้ยง!
ศึกปะทุดุดัน ทั่วฟ้าดินพังทลาย อากาศระเบิดแหลกเละ
จากการประสานโจมตีของร่างอวตารวิถีราชันแห่งภูมิสิบกว่าคนอันนำโดยเซวียจื่อหนิง เพียงไม่กี่พริบตา พวกเขาก็โจมตีซูอี้เสียจนบาดเจ็บเลือดโซมกาย!
สถานการณ์คับขันอันตรายทำให้คนมากมายดวงตามืดบอด
วูบ!
ทันใดนั้น เงาร่างสีแดงเพลิงร่างหนึ่งก็ทะยานออกมา พยายามพุ่งเข้าไปในสนามรบ
นั่นคือจักรพรรดิมารสวรรค์
ใบหน้างดงามพราวเสน่ห์ของนางเปี่ยมจิตสังหาร
“สหายเต๋าอย่าวู่วาม สิ่งนี้ต่างกระไรกับแมงเม่าบินเข้ากองเพลิง?”
หลวงจีนเยี่ยนซินกล่าวอย่างเหนือชั้นไม่ธรรมดา
“ลาเฒ่าหัวล้าน ถอยทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
จักรพรรดิมารสวรรค์ขู่เสียงเขียว ดวงตางดงามของนางคมปลาบดุจอสนีบาต ปราณพลุ่งพล่านดุร้าย
“สหายเต๋าอย่าโกรธเลย ในความคิดข้า สหายเต๋าซูจะไม่เป็นไร ศึกนี้สำหรับเขาแท้จริงเป็นเพียงการลับคมการเผชิญความเป็นความตายเท่านั้น”
หลวงจีนเยี่ยนซินพนมมือเข้าหากันด้วยสีหน้าสำรวม “หากวันนี้เขาประสบภัย ข้าจะมอบชีวิตเฒ่าชรานี้แก่เจ้า”
จักรพรรดิมารสวรรค์ผงะไป ใบหน้างามดูไม่แน่ใจ “จริงหรือ?”
หลวงจีนเยี่ยนซินกล่าวอย่างสุขุม “สหายเต๋ากังวลว้าวุ่น ด้วยความเข้าใจของเจ้าต่อสหายเต๋าซู จะไม่รู้เช่นไรว่าสหายเต๋าซูไม่มีทางเป็นคนมุทะลุไปได้?”
“นี่…”
จักรพรรดิมารสวรรค์ลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“หลวงจีนเฒ่าพูดถูก เจ้าน้องชายซูแตกต่างจากเรา เขาเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่ หลอมรวมปราณมารดาฟ้าดิน และที่สำคัญกว่านั้นคือ กระทั่งขุมกำลังจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นยังรู้ว่าเขาคือร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์”
หนอนตะกละเฒ่าเองก็เอ่ยปาก กล่าวเสริมขึ้นเบา ๆ “หากกล่าวไม่เข้าหูหน่อยก็คือ คนเช่นเขาน่ะตายยาก!”
หัวใจซึ่งแขวนอยู่ที่คอของจักรพรรดิมารสวรรค์ค่อย ๆ ร่วงกลับลงไปที่อก
นางมองสนามศึกไกลออกไปด้วยดวงตาพร่างดาว
และได้เห็น…
ร่างของซูอี้พังทลายเละเทะชุ่มเลือด ดูอันตรายสุดขีดราวพร้อมปลิดปลิวทุกเมื่อ
ทว่าช่างน่าตกใจที่จิตวิญญาณของเขาดูหาญกล้ามากขึ้นทุกที เจตจำนงเกินกว่าจะทำลายลง
“เป็นเช่นที่ลาเฒ่าหัวล้านพูดจริง ๆ พี่ซู… มีไพ่ตายอื่นหรือ?”
ดวงตาของจักรพรรดิมารสวรรค์เปลี่ยนแปร แฝงแววอันไม่อาจคาดเดาเล็กน้อย
………………..