บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1164: วางเบ็ดตกปลา
ตอนที่ 1164: วางเบ็ดตกปลา
พอย่างเท้าออกไป ก็เชือดราชันแห่งภูมิทั้งสิบแปดคนตายในดาบเดียว!
ความงามสง่าเช่นนั้น เปรียบได้ดังเทพดาบผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน ทิศทางที่ปลายดาบชี้ ไร้ศัตรูทัดเทียม!
เมื่อเห็นเลือดซ่านกระเซ็นราวกับพลุแตกกลางหมู่ดารา
ปรมาจารย์เผิง จักรพรรดิมารสวรรค์ หนอนตะกละเฒ่า และคนอื่น ๆ ต่างก็นิ่งงันอยู่ตรงนั้น
ก่อนหน้านี้ พวกเขารู้แล้วว่าทัศนาจารย์เป็นอดีตชาติของซูเสวียนจวิน แต่พวกเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าทัศนาจารย์แข็งแกร่งเพียงใด
แต่ตอนนี้ พวกเขาได้เห็นเองกับตาแล้ว
คนผู้นั้นใช้ดาบสยบจักรวาลพร่างดาว มีข้าอยู่ศัตรูสูญสิ้น!
ตัวตนราชันแห่งภูมิน่ากลัวเพียงใด?
พวกเขาแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนบนมหาแดนดินรู้สึกสิ้นหวัง ทำให้ตัวตนมหาจักรพรรดิระดับสุดยอดยังรู้สึกได้ถึงความกระจ้อยร่อยและหมดที่พึ่ง
ความรุนแรงถึงเพียงนั้น ไร้สิ่งใดเทียบ!
“ที่แท้ สิ่งนี้เป็นไม้ตายของสัตว์ประหลาดเฒ่าซู…”
จักรพรรดิพิษเทียนฮู่ร้องเสียงหลง
ศึกที่ถ้ำเสวียนจวิน พวกเขาเคยเห็นซูอี้ถือครองดาบไม้ ‘ถอดฌาณ’ สำแดงความสง่าสะท้านโลกาของทัศนาจารย์มาด้วยตาตนเองแล้ว
ทว่าครั้งนั้น ไม่ตื่นตระการตาเหมือนดังวันนี้!
“มิน่าเล่า เมื่อสิบวันก่อนทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้มีตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่ก็ยังคงดึงดันจะรับคำท้าให้ได้ ตอนนั้นเขาไม่ได้มองศัตรูเหล่านั้นอยู่ในสายตาอย่างแน่นอน”
บรรพชนมารเยว่อวิ๋นร้องขึ้น
“ชนะแล้ว?”
ปรมาจารย์เผิงงงงวยราวกับฝันไป
เป็นเพราะอยู่ห่างไกลมากจนเกินไป ผู้ที่ชมการต่อสู้เหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วมีระดับการฝึกตนในขีดจำกัด จึงไม่อาจมองเห็นภาพการต่อสู้กลางหมู่ดาราได้
ใต้เท้าซู… ชนะแล้ว?
“ยังไม่จบ”
หลวงจีนเยี่ยนซินที่อยู่ห่างออกไปกล่าวเบา ๆ
เพียงประโยคเดียว เหล่าตัวตนบรรพกาลคนอื่น ๆ ที่กำลังตื่นเต้นดีใจถึงกับนิ่งตะลึง แหงนหน้ามองขึ้นไป
ตามความคาดหมาย ซูอี้ยืนตระหง่านกลางหมู่ดารา ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่า… กำลังรออะไรอยู่!
…
“เวลานี้แล้ว ยังไม่ออกมาอีก?”
ซูอี้ถือดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เล่น ทอดสายตามองดูหมู่ดาราอยู่ไกล ๆ
เสียงของเขาไม่ดังนัก ทว่าได้ยินชัดเจน บางคนในที่มืดก็ได้ยิน
“หึ ๆ ไม่ออกมาเช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าขอเดาว่า ช่างเสื้อเจ้าเล่ห์คนนั้นไม่มีทางมาแน่”
“จมูกวัวเฒ่าแห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิไม่กล้าแม้ขยับ มิเช่นนั้นพ่อค้านั่นคงเป็นคนแรกที่จัดการกับเขา”
“ส่วนจิตรกรคนขี้ขลาด…”
ประกายรังเกียจดูแคลนผุดขึ้นบนสายตาของซูอี้ “ให้เขากินใจเสือเข้าไปก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้า!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูอี้ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ จึงร้องขึ้นมาเบา ๆ “ดูท่าแล้ว พวกคนเก่า ๆ ที่พอจะเข้าตาอยู่บ้าง… ถึงตอนนี้ก็ไม่กล้ามาพบข้าเช่นกัน…”
เขาทำท่าราวกับพูดรำพึงกับตัวเอง ขณะเดียวกันเหมือนกับกำลังพูดให้คนที่แอบซ่อนตัวฟัง
ทว่าไม่มีคำตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้น
“น่าเบื่อ”
ซูอี้ส่ายหน้า หมุนตัวเพื่อเดินจากไป
“ทัศนาจารย์ ได้โปรดช้าก่อน”
เสียงผู้เฒ่าแหบแห้งดังขึ้นจากจักรวาลพร่างดาวที่ห่างไกล
ครืน!
ฉับพลันสายรุ้งเทวะสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นบนหมู่ดาราที่ห่างไกล แหวกผ่านอากาศอันไกลโพ้น พุ่งตรงมาที่ซูอี้
ซูอี้เบี่ยงตัวหลบ
ครืน!
ฟากฟ้าอีกด้านโดนสายรุ้งเทวะสีทองนั้นฟาดฟันจนเกิดเป็นรอยร้าวมิติขนาดใหญ่น่ากลัว
“เวลาหนึ่งจอกน้ำชาหมดลงแล้ว ดูท่าทาง ใต้เท้าทัศนาจารย์ไม่ได้โกหกจริง ๆ เสียด้วย พลังเจตจำนงที่เก็บไว้เมื่อชาติก่อน คงใกล้จะสูญสลายไปจนสิ้นแล้ว!”
“คงเป็นเช่นนี้แน่ะ มิเช่นนั้น เหตุใดเขาถึงไม่กล้าสู้การโจมตีนี้?”
ท่ามกลางเสียงสนทนา พลันปรากฏร่างคนจำนวนหนึ่งบนหมู่ดาราที่ห่างไกล เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็มาปรากฏตัวอยู่ในเขตแดนแห่งนี้
ซูอี้หมุนขวับ
คนกลุ่มนั้นหยุดเดินแต่ไกลราวกับหวาดกลัว
“หมิงยง ผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์กราบคารวะใต้เท้าทัศนาจารย์”
ผู้เฒ่าชุดเต๋าผมขาวโพลนก้มหน้าแสดงความเคารพ มือถือดาบปลายมนสีหยก ท่าทีสุภาพนอบน้อม
ทว่าเวลาอยู่ต่อหน้าซูอี้ที่ห่างไกลออกไป ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจจดจ่ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ทัศนาจารย์เมื่อในอดีตชาติได้จากไปนานแล้ว เหตุใดจึงเรียกเขาว่าใต้เท้าอีก?”
ผู้ชายร่างผอมสูงสวมชุดสีดำเอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา
เขามีนามว่าหยางฉี ตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิจากโรงวาดฤทัย ในมือของเขาถือพู่กัน
“จริงด้วย เขาในชาตินี้ มีนามว่าซูอี้ อายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ให้เป็นศิษย์หลานของพวกเราก็ยังมีคุณสมบัติไม่พอ”
ผู้ชายสวมชุดสีม่วงหน้าตาคล้ายกับคนหนุ่มกล่าวขึ้นมาเนิบ ๆ
เขาห้อยดาบติดเอว ตัวยืดตรง มาจากลัทธิทางช้างเผือก มีนามว่าตี๋จิ่วเซียว
“กล่าวเช่นนี้ดูหมิ่นกันเกินไป เสียภาพลักษณ์ และยังโดนเจ้าหนุ่มคนนั้นดูแคลนอีกด้วย”
นางมาจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ มีนามว่าเฮ่อหมิงหลิ่ว
ในบรรดาคนทั้งสี่ คนที่มีกำลังอ่อนที่สุดก็ยังอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญ
ส่วนผู้แข็งแกร่งที่สุดดังเช่นหมิงยงผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์ มีระดับการฝึกตนขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
ไม่ว่าจะพื้นเพหรือฐานะ ล้วนไม่ใช่บุคคลที่พวกราชันแห่งภูมิทั้งสิบหกคนอย่างเซวียจื่อหนิงจะสามารถเทียบเคียงได้
ทว่า พวกเขากลับยืนอยู่ห่าง ๆ อยู่ตรงนั้น ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ราวกับหวาดเกรงอย่างที่สุด
ดูเหมือนหัวเราะเย้ยหยัน แต่ความจริงพวกเขากลับระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ แอบขับเคลื่อนระดับวิถีในตัวจนถึงขั้นสูงสุดอย่างเงียบ ๆ
“หากว่าพวกเขาต้องการจะพูดคุยเอาสนุก ก็จงหยุดพูดคุยอยู่ตรงนี้ ข้าไม่ร่วมด้วย”
ซูอี้หัวเราะแล้วหมุนตัวเพื่อจากไป
เขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่าเฒ่าทั้งสี่จงใจจะถ่วงเวลา?
หมิงยง หยางฉี ตี๋จิ่วเซียว กับเฮ่อหมิงหลิ่ว ต่างมองหน้ากัน
จากนั้นก็ลงมือในทันที ราวกับว่าพวกเขาตัดสินใจในทิศทางเดียวกันแล้ว
ครืน!
หมิงยงกวัดแกว่งดาบปลายมนสีหยก กฎเกณฑ์สีเทาราวกับภัยพิบัติปรากฏขึ้น รวมตัวกันกลายเป็นง้าวรบ พุ่งออกไป
หยางฉีขับดันพู่กันในมือ เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น สายอัสนีสว่างแปลบปลาบนับหมื่นเส้นปรากฏขึ้น ราวกับทะเลอัสนีเดือดกำลังทับท่วมท้องฟ้าแถบนั้น
ในเวลาเดียวกัน ตี๋จิ่วเซียวชักดาบรบที่คล้องติดเอว ฟันออกไปอย่างแรง เพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้น ทำท่าราวกับจะเชือดฟ้าสะบั้นแผ่นดิน
ส่วนเฮ่อหมิงหลิ่วสวดทำนองวิถีออกมาเบา ๆ งูวิญญาณสีเขียวที่เลื้อยอยู่บนบ่าก็ดีดตัวขึ้น กลายเป็นโซ่เทวะแห่งกฎเกณฑ์สีเขียวทั้งเส้นกลางอากาศ กระหน่ำฟาดอย่างแรง
ครืน!
จักรวาลพร่างดาวสั่นสะเทือน สิบทิศสั่นสะท้าน
สามารถมองเห็นหินอุกกาบาตที่อยู่ห่างไกลออกไปแตกระเบิดได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่า หมู่ดาราในบริเวณนี้ตกอยู่ในห้วงบรรยากาศอันน่ากลัว
เมื่อตัวตนระดับสุดยอดขอบเขตราชันแห่งภูมิจากขุมกำลังมหึมาทั้งสี่ลงมือ พวกเขาก็ใช้ท่าไม้ตายในทันที โจมตีอย่างเต็มกำลัง
เพราะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาว่าทัศนาจารย์เป็นตัวตนที่มีความน่ากลัวถึงเพียงใด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องให้ความระมัดระวังและไม่ประมาท ทำเช่นนี้ไม่ผิดแน่!
บนทะเลดาวตก ปรมาจารย์เผิงกับคนอื่น ๆ เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ หนาววาบไปทั้งตัวราวกับร่วงหล่นไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง
พวกเขาจึงเข้าใจได้ว่าที่แท้แล้วศึกปิดท้ายอย่างแท้จริงเพิ่งเริ่มเปิดฉากในตอนนี้!
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นตัวตนขอบเขตมหาจักรพรรดินับร้อย หรืออวตารขอบเขตราชันแห่งภูมินับสิบ หรือว่าร่างแท้ของขอบเขตราชันแห่งภูมิกลางภูมิดารา ล้วนไม่ใช่ตัวเอกของการต่อสู้ในครั้งนี้!
ตัวเอกที่แท้จริงคือยอดฝีมือซึ่งมีกลิ่นอายพลังน่ากลัวราวกับผู้ชี้ชะตาแห่งหมู่ดาราทั้งสี่ท่านนี้!
ใครบ้างจะไม่ตื่นตระหนก?
ศึกครั้งใหญ่ อันตรายรอบด้าน หมดหนทางรอด
กลางหมู่ดารา
ครืน!
พลังทำลายล้างถาโถม สายอัสนีซัดกระหน่ำ พลังดาบยิ่งใหญ่ดังสายรุ้งกำลังมุ่งตรงเข้ามา ซูอี้ผู้หันหลังให้กับทุกสิ่งเหล่านี้กลับยิ้มขึ้นมา
จากนั้น…
ร่างของเขาหายวับไปกลางอากาศ
ครืน!
จุดที่เขายืนอยู่ในตอนแรก หมู่ดาราหมื่นจั้งยุบฮวบ ถูกซัดจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระแสพลังอันน่ากลัวถาโถมไปยังแผ่นดินมหาแดนดิน นำมาซึ่งการต้านทานของพลังกฎเกณฑ์ภูมิดาราฟ้าดิน!
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นสร้างความตื่นตระหนกจนวิญญาณแทบดับ
ทว่าตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งสี่คนกลับใจเต้นตุบ ๆ ขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เบี่ยงตัวหนีไปคนละทิศละทาง
“สายไปแล้ว! ชั่วขณะที่พวกเจ้าปรากฏตัว ยากนักจะหนีรอดภับพิบัติได้พ้น!”
เสียงหัวเราะสบายใจดังขึ้น
พร้อมกับเสียงหัวเราะ ฉับพลันพลังดาบนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่ดาราแถบนี้ ร่วงหล่นลงมารอบทิศทาง ปกคลุมไปทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ทั้งแผ่นฟ้า ทั้งแผ่นดิน ราวกับหญ้าแพรกที่แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วหลังห่าฝน
เมื่อทอดสายตามองไป ทั่วทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยพลังดาบอันเจิดจ้าพร่างพราวราวกับแสงแห่งตะวัน ปกคลุมหมู่ดาราแถบนี้ทั้งหมด
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ดาบส่งเสียงดังราวกับเสียงกลองรบบนยุทธภูมิ ดังกึกก้องไปทั่ว ภาวะดาบอันแก่กล้าไร้เทียมทานแผ่ซ่านสาดกระเซ็นไปในหมู่ดาราราวกับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร
ภาวะดาบเปรียบดังเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ไม่มีวันหมดวันสิ้น!
“ให้ตายสิ พวกเราหลงกลแล้ว!”
หมิงยงแผดเสียง ขณะกวัดแกว่งดาบปลายมนสีหยกเข้าต้านรับ
ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่ ร่างของเขาก็เซถลาถอยร่นเพราะโดนพลังดาบอันยิ่งใหญ่โหมซัด บนตัวเกิดแผลเลือดซิบจากคมดาบหลายรอย ผมเผ้ายุ่งเหยิง สภาพดูไม่ได้
และในขณะเดียวกันนี้เอง หยางฉี ตี๋จิ่วเซียว กับเฮ่อหมิงหลิ่วก็ได้รับการกระทบกระแทกอันน่ากลัวด้วยเช่นกัน
พลังดาบนับไม่ถ้วนนั้นวนไปเวียนมาไม่จบสิ้น ปกคลุมหมู่ดาราแถบนี้จนมิด พุ่งกระหน่ำไปที่พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ความรู้สึกเช่นนั้นเปรียบเสมือนตกเข้าไปในดินแดนแห่งดาบ สุดสายตาที่มองเห็นเต็มไปด้วยพลังดาบไร้เทียมทานอันสว่างไสวราวกับดวงตะวัน
พวกหยางฉีก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว!
“เป็นถึงทัศนาจารย์ กลับใช้วิธีการโกหกเช่นนี้ ช่างน่าละอายจริง ๆ!”
พวกเขาไหนเลยจะไม่รู้ว่า ที่ทัศนาจารย์กล่าวมาว่ายืนหยัดอยู่ได้เพียงแค่หนึ่งจอกชานั้นเป็นเพียงแค่คำพูดโกหกหลอกลวงเท่านั้น?
และที่เขาทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังวางเบ็ดตกปลา ล่อหลอกให้พวกเขาทั้งสี่เผยตัวออกมาจากที่มืด!
“ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าใช้ตัวตนไม่ได้เรื่องเหล่านั้นเป็นเหยื่อล่อ เพื่อบีบบังคับให้ข้าลงมือไม่ใช่หรือ? เราทั้งสองฝ่ายก็เหมือน ๆ กัน” ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว
ทันใดร่างของเขาก็ปรากฏท่ามกลางโลกแห่งพลังดาบที่สว่างเจิดจ้าแห่งนี้ เมื่อก้าวเดิน พลังดาบนับไม่ถ้วนเข้ามาห้อมล้อมเฉกเช่นคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางการเดินของเขา กลายเป็นภาพมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ตระการตา
ชั่วขณะนั้น เหมือนดังผู้ชี้ชะตาแห่งดาบออกเดินทาง ดาบนับหมื่นคอยติดตาม!
“แหกวงล้อม!!”
หมิงยงตะคอกเสียงดัง สำแดงไพ่ใบสุดท้ายในตัวออกมาราวกับสู้สุดชีวิต
โดยที่ไม่ต้องให้เขาเตือนสติ เมื่อสามคนที่เหลือรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ราวกับได้รับแรงกระตุ้นพวกเขาทั้งหมดต่างแสดงท่าไม้ตายของตัวเองออกมา พยายามฝ่าวงล้อมออกไปอย่างสุดกำลัง
ครืน!
พลังดาบนับไม่ถ้วนแผ่กระจาย ทลายการฝ่าวงล้อมของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังบุกถล่มจนพวกเขาต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ ไม่อาจหลบหลีกได้
เนื่องจากพลังดาบปรากฏขึ้นทั่วทุกหนแห่ง ถาโถมเข้าใส่จากทุกทิศทางราวกับไม่มีวันหมดสิ้น
ไม่ว่าพวกเขาจะหลบหลีกเช่นใด ก็ยังเจอกับการโจมตีที่น่ากลัว!
………………..