บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1165: ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า!
………………..
ตอนที่ 1165: ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า!
ฉึบ!
พลังดาบมากมายลายตาโหมซัดเข้ามา ดาบรบในมือตี๋จิ่วเซียวแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เขาถูกพลังดาบซัดจนกระเด็นออกไป
ยังไม่ทันได้ยืนมั่น ใครคนหนึ่งก็ช่วยพยุง
“ขอบคุณมาก”
ตี๋จิ่วเซียวรู้สึกซาบซึ้ง
ในช่วงเวลาวิกฤตอันตรายเช่นนี้ เขายังได้รับการช่วยเหลืออีก เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
“ไม่ต้องเกรงใจ”
เสียงพูดที่แฝงไว้ด้วยอาการหัวเราะดังขึ้น
ตี๋จิ่วเซียวถึงกับตัวแข็ง หันขวับไปมอง คนที่ช่วยพยุงตัวเองก็คือซูอี้นั่นเอง สายตาที่ลุ่มลึกนั้นผุดประกายเย้ยหยันออกมา
ไม่ได้การ!
เขาดิ้นรนสุดแรงเกิด มือซ้ายที่หนักหน่วงเหมือนดาบฟันตัวซูอี้
ทว่าแขนยังฟันไม่โดน ร่างของเขาก็ถูกโยนออกไปอย่างแรง
“เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ซูอี้โบกมือลา
ปัง!
พลังดาบนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทิ่มแทงร่างของตี๋จิ่วเซียวจนเป็นรูพรุน ระเบิดกระจุยเสียงดัง ร่างดับวิญญาณแตก
ชั่วขณะก่อนจะตาย ตี๋จิ่วเซียวพลันนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่ชาวประมงเฒ่าเคยกล่าวขึ้นมาได้อย่างประหลาด
“ต้องจำไว้ให้ดี เมื่อทัศนาจารย์หยอกล้อเจ้าเหมือนกับแมวหยอกหนู ความตายเป็นสิ่งที่ไม่อาจขัดขืนได้อีก! หากว่าเป็นไปได้ พยายามให้ตัวเองได้ตายอย่างมีเกียรติ”
แต่เสียดาย เมื่อตี๋จิ่วเซียวเข้าใจความหมายของประโยคนี้ ร่างดับวิญญาณสลายไปเสียแล้ว
ไม่ไกลนัก เสียงหวีดร้องของเฮ่อหมิงหลิ่วก็ดังขึ้น เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้งดงามผิวขาวเนียนคนนี้ตื่นตระหนกกับการตายของตี๋จิ่วเซียว สีหน้าของนางขาวซีด ขณะพยายามฝ่าวงล้อมออกไปราวกับคนเสียสติ
ซูอี้เดินเข้าไปหา ย่ำฝีเท้าสบาย ๆ ราวกับเดินเล่นในสวน
เมื่อเขาขยับตัว พลังดาบนับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าใส่เฮ่อหมิงหลิ่วจากรอบทิศทาง ราวกับคลื่นน้ำที่ขยับตัวเป็นระลอก
“เจ้าอย่าเข้ามา…!”
เฮ่อหมิงหลิ่วกรีดร้องด้วยความตื่นกลัว
นางเป็นราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญแห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ มีฐานะสูงศักดิ์ ท่ามกลางสายตาผู้ฝึกตนมากมายในภูมิดาราหมื่นโฉลก เปรียบได้กับเทพผู้ส่องสว่างสูงสุด
ทว่าเวลานี้ กลับตื่นกลัวจนหมดสภาพ
“ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะหยุด และส่งเจ้าตรงนี้”
ซูอี้หยุดเดิน พลางโบกมือลาเบา ๆ
ครืน!
พลังดาบเต็มฟ้าร่วงลงมา กลบทับร่างของเฮ่อหมิงหลิ่วจนเลือนหาย ท่ามกลางแสงดาบอันสว่างสดใส มองเห็นแต่เพียงร่างที่กลายเป็นไอเลือดของนาง และสิ้นสลายไปอย่างรวดเร็ว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ สร้างความแตกตื่นให้กับหมิงยงและหยางฉี
พวกเขารู้ดีว่าทัศนาจารย์เป็นตัวตนที่น่ากลัวเพียงใด แต่ไม่นึกเลยสักนิดว่า เพียงแค่พลังเจตจำนงธรรมดา ๆ เท่านั้น กลับแข็งแกร่งน่ากลัวได้ถึงขั้นนี้
“เพียงแค่ตายเท่านั้น จำเป็นต้องใช้วิธีเช่นนี้ทรมานพวกข้าด้วยหรือ!?”
ใบหน้าของหยางฉีบิดเบี้ยว ทำท่าเป็นไงก็เป็นกัน พุ่งเข้าไปฆ่าซูอี้
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสียเถอะ”
ซูอี้งอนิ้วดีด
ปัง!
หยางฉีที่พุ่งตัวเข้ามา พลันถูกพลังดาบนับไม่ถ้วนแทงทะลุ เพียงชั่วพริบตาเขาก็กลายเป็นเลือดและเศษเนื้อสาดกระเซ็น
“เจ้ามีอะไรต้องการจะพูดอีก?”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่หมิงยง
ทว่าชั่วขณะนี้ จู่ ๆ หมิงยงก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมาราวกับรู้ล่วงหน้าแล้วว่าตัวเองยากจะรอด จากนั้นกล่าวทีละคำช้า ๆ “ทัศนาจารย์ เจ้าจะต้องได้รับกรรมสนอง!”
ขณะที่พูด เขาก็ไม่ขัดขืนอีกต่อไป ฉับพลันร่างของเขาถูกพลังดาบนับไม่ถ้วนถมทับ กลายเป็นผงธุลี
“กรรมสนอง? ข้าในวันข้างหน้า ไม่ใช่ข้าในอดีตชาติอีกแล้ว… กรรมสนองที่ว่า ไหนเลยจะทำอะไรข้าได้…”
ซูอี้หัวเราะ สายตาผุดประกายหม่นหมอง
เขาสะบัดแขนเสื้อ
พลังดาบเต็มท้องฟ้าที่ปกคลุมไปทั่วหมู่ดาราแถบนี้พลันหายลับไป
แผ่นดินรอบทิศทาง พังพินาศ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยืนตระหง่าน
หมู่ดาราที่ยิ่งใหญ่ไพศาล กลายเป็นภาพพื้นหลังให้แก่เขา
“ช่างเสื้อเฒ่า ข้ารู้ว่าเจ้ายังคอยดูอยู่ลับ ๆ เป็นอย่างไร จะถือโอกาสตอนที่ข้ายังมีแรงกำลังจะสู้ ออกมาเล่นกันสักตั้งหรือไม่?”
ซูอี้หมุนตัว มองไปยังจักรวาลพร่างดาวที่ห่างไกล ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับเหวลึก ผุดประกายแยบยลออกมา ราวกับสามารถมองเห็นความมืดมิดที่ห่างไกล
“ซูอี้อาจจะสามารถสืบทอดความทรงจำของเจ้าได้ สืบทอดบาตรจีวรของเจ้าได้ แต่ก็ต้องสืบทอดเหตุต้นผลกรรมที่เขาก่อขึ้นเมื่อในอดีตด้วยเช่นกัน”
“จัดการกับเจ้า ทัศนาจารย์ ข้าอาจจะทำไม่ได้ แต่จัดการกับตัวตนที่ยังไปไม่ถึงขอบเขตราชันแห่งภูมิ ยังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
เสียงหย่อนยานนั้นราบเรียบ ไม่มีความรู้สึกปะปนแม้แต่น้อย มันดังก้องมาจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอันไกลโพ้น ให้ความรู้สึกไม่อาจหยั่งคาด
ซูอี้หัวเราะ ก่อนกล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้สิจึงจะสนุก ที่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวมีหินลับดาบเช่นเจ้าอยู่ จะต้องไม่ว้าเหว่เดียวดายอย่างแน่นอน”
“หินลับดาบ?”
ช่างเสื้อพูดกับตัวเอง เสียงของเขาเคร่งขรึมเย็นชาลงไปไม่น้อยราวกับโดนใครล่วงละเมิด “รู้หรือไม่ ที่ข้าเกลียดที่สุด ก็คือการมองไม่เห็นหัวใครของเจ้าเช่นนี้”
ซูอี้อดหัวเราะขึ้นไม่ได้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส “ข้าเพียงแค่ถามเจ้า มั่นใจหรือว่าจะไม่สู้กันสักตั้งในเวลานี้?”
ช่างเสื้อนิ่งเงียบไป
ซูอี้ส่ายหน้า “น่าเบื่อ เจ้าคิดแผนหลายอย่าง ใช้หลากหลายวิธีการ สุดท้าย กลับไม่ได้ผลอันใดสักอย่าง ต้องพ่ายแพ้กลับไป ไม่รู้สึกขายขี้หน้าบ้างเลยหรือ?”
ในที่สุดช่างเสื้อก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าไม่ต้องยั่วยุข้า ถึงแม้พลังเจตจำนงของเจ้าจะเข้าสู่ช่วงอ่อนกำลังอย่างที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่มีทางลงมือด้วยตนเอง”
“เจ้ามันเล่ห์เหลี่ยมจัด ชอบทำตัวขัดสนุกอยู่เรื่อย ข้าไปล่ะ”
ซูอี้ถอนใจ ก่อนจะเดินจากไปทั้งที่มือไพล่หลัง
“ช้าก่อน”
ช่างเสื้อพลันส่งเสียงเรียก “ก่อนจะลา ข้ามีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้เจ้า”
ซูอี้กล่าวโดยไม่หันกลับมา “คืออะไร?”
“เคล็ดวิชาที่สามารถทดสอบความจริงเท็จของเจ้า ทัศนาจารย์”
เสียงของช่างเสื้อยังดังกึกก้อง หมู่ดาราแถบนี้พลันบิดเบี้ยวขึ้นมาอย่างแรง ถัดจากนั้น ประกายแสงเย็นวาบก็ปรากฏขึ้น
มองดูให้ดี นั่นคือสายรุ้งเทวะสีดำที่มีสัญลักษณ์อักขระนับไม่ถ้วนประกอบกันขึ้น
มันว่องไวรวดเร็วราวกับไม่อยู่ในการควบคุมของมิติกาลเวลา เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นก็ปรากฏตัวอยู่บนหลังของซูอี้ จากนั้นเสียบแทงอย่างแรง
ทว่า เมื่อเขาเตรียมตัวจะลงมือ พลันขมวดหัวคิ้วไม่คิดจะลงมืออีก
แทบจะในเวลาเดียวกัน ปลายหอกเล่มหนึ่งปรากฏ เสียบแทงสายรุ้งเทวะสีดำเส้นนั้น
ปัง!!!
ปลายหอกรุนแรงรวดเร็ว บดขยี้สายรุ้งเทวะสีดำเส้นนั้นในทันใด
ห้วงอวกาศถูกกระแทกจนเกิดรอยแตกร้าวเป็นแนวยาวขนาดมหึมา พลังทำลายล้างถาโถมซัดกระหน่ำสองด้านของรอยร้าว หมู่ดาราแถบนี้สั่นสะเทือนขึ้นอย่างแรง
ซูอี้เหลือบมองไป
ร่างสูงโปร่งงามสง่าร่างหนึ่งปรากฏขึ้น สวมชุดสีเทารองเท้าสาน ผมยาวถูกรวบขึ้นและใช้เชือกสีแดงรัด ใบหน้าถูกปกปิดอยู่ใต้หน้ากากเหล็ก โผล่ให้เห็นดวงตาใสสว่างสีม่วงอ่อน ๆ
นางถือหอกยาวจั้งกว่า ๆ ขณะเหยียบย่างลงบนหมู่ดารา งดงามไม่มีใครเทียบเทียม
สตรีถือหอกนั่นเอง!
“เหตุใดจึงเป็นข้าไม่ได้?” สตรีถือหอกถามย้อน
ท่าทีดื้อรั้นดึงดันเหมือนดังเดิม
ซูอี้หัวเราะ ก่อนกล่าว “ข้าไม่รับน้ำใจเจ้า”
“ใครอยากให้เจ้ารับกัน”
สตรีถือหอกร้องฮึ “จำไว้ ตราบใดที่ข้ายังเอาชนะเจ้าไม่ได้ เจ้าห้ามตายเด็ดขาด!”
วาจาของนางดูเอาแต่ใจเต็มที่
ทว่าเขาก็มองออกว่า นางยังคงข้องใจที่ครั้งก่อนไม่อาจเอาชนะซูอี้ได้ ทั้งที่ยามนั้นระดับฐานการบ่มเพาะของพวกตนอยู่ในขอบเขตเดียวกัน
ซูอี้ลูบจมูก และกำลังอ้าปากจะพูด
เสียงของช่างเสื้อดังขึ้นจากหมู่ดาราอันไกลโพ้น “เจ้าอีกแล้ว!”
เมื่อก่อนหน้านี้ ช่างเสื้อสงบราบเรียบ ไร้ความรู้สึกมาโดยตลอด
ทว่าเวลานี้ เขากลับแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ใครกันจะคาดคิด สตรีถือหอกกล่าวน้ำเสียงเย็นชาท่าทีเอาเรื่องยิ่งกว่า “ตาเฒ่า ครั้งก่อนปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ ครั้งนี้ข้าจะดูสิว่าเจ้ายังจะหลบไปที่ไหนได้อีก!”
ครืน!
นางก้าวออกไปหนึ่งก้าว ร่างก็หายวับไป
“เป็นผู้หญิงประหลาดจริง ๆ ด้วย” ซูอี้ครุ่นคิด
ทันใดนั้นคล้ายคิดตก เขาส่ายหน้า ย่างเท้าก้าวไปยังมหาแดนดินที่อยู่ใต้ท้องนภา
และในตัวเขา พลังของทัศนาจารย์เริ่มสลายลงไปทีละน้อย…
…
เทียบกับความสับสนและโกลาหลในจักรวาลพร่างดาวแล้ว ทะเลดาวตกกลับเงียบสงบกว่ามาก
ใต้แสงของท้องฟ้า น้ำทะเลสีน้ำเงินเป็นประกายระยิบระยับ ผู้ที่ชมการต่อสู้เหล่านั้นพากันแหงนหน้ามองอย่างมีสมาธิ
ตัวตนบรรพกาลอย่างปรมาจารย์เผิงกับจักรพรรดิพิษเทียนฮู่กำลังตั้งหน้ารอ
พวกเขาสามารถมองเห็นภาพการต่อสู้ได้ราง ๆ ทว่า หลังจากที่ช่างเสื้อลงมือ จักรวาลพร่างดาวแถบนั้นก็แปรปรวน ทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นภาพใด ๆ ได้อีก
“กลับมาแล้ว!”
ทันใดนั้น หลวงจีนเยี่ยนซินก็เอ่ยขึ้น
ชั่วขณะนี้ ในสายตาคนทั้งหมด บนท้องฟ้ามีร่างสูงโปร่งอันงามสง่าของคนผู้หนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้
แสงสว่างบนฟ้าเจิดจ้า ส่องสะท้อนชุดสีเขียวที่กำลังโบกสะบัดเกิดเป็นประกายสว่างราวกับความฝัน เขายืนเอามือไพล่หลัง ราวกับเทพเซียนลงสู่โลกมนุษย์
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้แล้ว พวกของปรมาจารย์เผิงที่ยังรู้สึกเป็นห่วงใจแทบขาดก่อนหน้านี้ รู้สึกเหมือนกับคนที่จมน้ำแล้วได้ขึ้นฝั่ง
และในเวลานี้เช่นกัน พวกเขาจึงพบว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกหมิงยงสี่คนปรากฏตัว ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน น่ากลัวจนแทบสิ้นหวังจริง ๆ
ความตื่นตะลึง ตื่นเต้น ตื่นตัวอย่างบอกไม่ถูกประเดประดังเข้ามาในใจของตัวตนบรรพกาลเหล่านี้ ทำให้พวกเขาแสดงความปลื้มปีติยินดีอย่างลืมตัวออกมา
ช่างน่าตื่นเต้นยินดียิ่ง!
ศึกในครั้งนี้ ตั้งแต่เปิดฉากจนถึงสิ้นสุด เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย อันตรายรอบด้าน แม้กระทั่งพวกเขาที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก มีประสบการณ์โชกโชน สภาพจิตใจก็ยังอดโอนเอนตามไปด้วยไม่ได้!
“ดาบเหนือแดนเทวามหาแดนดิน ยิ่งใหญ่ในโลกหล้าหมื่นชาติพันฤดู!”
หนอนตะกละเฒ่าถอนหายใจเป็นจังหวะเชื่องช้า
ผู้ที่มองดูเหตุการณ์การต่อสู้ถึงกับนิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ชั่วขณะที่เห็นซูอี้ ราวกับกำลังมองเห็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ลงมาจากฟากฟ้า!
ชนะแล้ว!!
ไม่จำเป็นต้องให้ใครคนไหนพูด ทุกคนต่างก็รู้ว่า ศึกใหญ่ที่สามารถตัดสินชะตากรรมวงการผู้ฝึกตนในมหาแดนดินครั้งนี้ได้เผยคำตอบออกมาพร้อมกับการกลับมาของซูอี้!
ใต้ท้องนภา
ซูอี้ยืนตระหง่านกลางอากาศ สายตากวาดมองดูคนที่คุ้นเคยเหล่านั้น ในสมองนึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ในวันนี้ แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
คิดว่านับตั้งแต่กลับมาสู่มหาแดนดินจนถึงตอนนี้ ศึกในวันนี้สาสมแก่ใจอย่างที่สุด
เขาหยิบกาสุราออกมาเงยหน้าดื่มคำใหญ่ ๆ
ความสุขในชีวิต ควรจะดื่มฉลอง!