บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1166: ผลกรรม
ตอนที่ 1166: ผลกรรม
บนทะเลดาวตก
ผู้คนค่อย ๆ ฟื้นคืนจากสภาพตะลึงค้างไม่ไหวติง
ทันใดนั้น ความเงียบสงัดก็ถูกทำลาย เสียงดังลั่นทั่วดุจเสียงกระทะร้อน
ผู้คนดูเดือดพล่าน โห่ฮาลั่นอย่างตื่นเต้น
“ชนะแล้ว! ชนะแล้ว!!!”
“ช่างโชคดีนักที่มีใต้เท้าซูอยู่!”
“บอกตามตรง ข้าเมื่อครู่นี้แทบเข่าอ่อนแหนะ…”
ก่อนหน้านี้ช่างแสนหดหู่ กองกำลังนับร้อยจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวร่วมโจมตีอย่างดุดัน ซึ่งแฝงไว้ด้วยความมาดร้าย
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย กระทั่งตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิยังสิ้นหวังอึดอัด รู้สึกไร้พลังครั้งแล้วคราเล่า
ขุมกำลังจากจักรวาลพร่างดาวซึ่งสามารถกวาดล้างมหาแดนดินได้ถูกทำลายสิ้น
เหลือเพียงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินยืนตระหง่านท่ามกลางฟ้าดิน!
ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้นยินดี?
“อมิตตาพุทธ พระพุทธคุณเลิศล้ำไร้ประมาณ”
หลวงจีนเยี่ยนซินพนมมือแย้มยิ้ม
“ลาเฒ่าหัวล้าน ที่แท้เจ้าเองก็กังวลหนักมาก ข้ายังใจเย็นกว่าเจ้าเลย”
หนอนตะกละเฒ่าเอ่ยหยอกเย้า สังเกตเห็นได้ว่าจีวรของหลวงจีนเยี่ยนซินเองก็ชุ่มเหงื่อกาฬ
“ศึกนี้จะถูกจารึกในพงศาวดารแห่งมหาแดนดิน กลายเป็นหนึ่งในตำนานลือนามทั้งจากบรรพกาลสู่ภายหน้า งดงามเจิดจรัสทั่วทุกยุคสมัยแน่แท้!”
ปรมาจารย์เผิงกล่าวอย่างสั้นห้วน
“ข้าไม่รู้ว่าภายหน้าจะมีผู้ใดก้าวข้ามความสำเร็จของสัตว์ประหลาดเฒ่าซูอีกหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็กล่าวได้แล้วว่าเขาคือผู้เหนือชั้นทุกยุคสมัย”
ตัวตนบรรพกาลเหล่านั้นล้วนตื่นเต้น นี่คือศึกที่เกี่ยวพันกับชะตาแห่งมหาแดนดิน และซูอี้ก็พลิกกระแสสงครามทำลายหายนะในทันที!
ในภายหน้า หากขุมกำลังจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวคิดล้างแค้น เกรงว่าคงต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่ารับผลพวงที่ตามมาไหวหรือไม่
“พี่ซู ไม่เป็นไรหรือไม่?”
จักรพรรดิมารสวรรค์พุ่งเข้าไปโดยไวที่สุดและถามอย่างเป็นห่วง
อาภรณ์ของนางแดงดุจเพลิง ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ กิริยาท่าทางเพียงพอทำให้สรรพชีวิตตะลึงค้าง
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นอันใดด้วยหรือ?”
ซูอี้หัวเราะ
“ดูไม่เป็นไร แต่ใครจะรู้เล่าว่าฝืนหรือไม่”
จักรพรรดิมารสวรรค์มองสำรวจทั่วกายซูอี้
ทันใดนั้น เสียงตะโกนอย่างแตกตื่นก็ดังมาไกล ๆ
“ใต้เท้าซู ผู้น้อยผิดไปแล้ว โปรดเมตตามองข้าม อย่าได้ติดใจใด ๆ กับผู้น้อยเลย!”
ผู้คนพลันจำขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ คนผู้นี้คือคนแรกที่เอ่ยปากให้ปรมาจารย์เสวียนจวินไปต่อสู้จนตัวตายในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
“ใต้เท้าซู เราผิดไปแล้ว!”
ทันใดจากนั้น ผู้ฝึกตนมากมายก็คุกเข่าลง
พวกเขาคนแล้วคนเล่าล้วนตระหนกกลัวจนลนลาน ใบหน้าต่างก็เศร้าโศก
ยังมีหนึ่งชายชราผู้ใช้มือตบหน้าตนเองทันที
เสียงโห่ร้องซึ่งเดิมครึกครื้นเดือดพล่านพลันสลายหาย
สายตาของพวกเขาต่างจับจ้องเหล่าผู้ฝึกตนซึ่งคุกเข่าอยู่
บ้างรู้สึกแสนปรีดา คิดว่าเหล่าคนตาขาวเหล่านี้สมควรรับผลกรรม
บ้างดูคลุมเครือ ไฉนต้องกังวล?
“ผู้ต่ำต้อย หากมีกระดูกสันหลังสักหน่อยก็เทียบได้กับท้องนภา ทว่าหากไร้ ก็เป็นเพียงมดปลวกที่อยู่ไปวัน ๆ น่ารังเกียจขยะแขยงเท่านั้น”
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าคิดเช่นไร?”
หนอนตะกละเฒ่าหันมองซูอี้
“เจ้าคิดว่าข้าจะลงโทษพวกเขาด้วยมือตนเองหรือไร?”
ซูอี้ถามย้อน
หนอนตะกละเฒ่าส่ายหน้า
เหล่าตัวตนบรรพกาลไม่คิดเลยว่าซูอี้จะกระทำการเช่นนั้น มันต่ำช้าเกินไป
“พวกเขาก็เห็นแล้ว และสำนึกผิดคิดชดใช้ไม่มากก็น้อย แต่ก็กังวลว่าจะถูกเหยียดหยามกีดกัน กระทั่งถูกโลกหล้าปฏิเสธในภายหน้า”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “เพราะถึงอย่างไร เรื่องในวันนี้ก็จะแพร่ไปทั่วโลกหล้าในที่สุด และสิ่งที่พวกเขากระทำก่อนหน้านี้ก็จะเป็นที่ประจักษ์ ในภายหน้า ไม่สำคัญหากจะมีผู้ใดมากดดันปราบปราม คนเหล่านั้นย่อมถูกกำหนดชะตาให้ลากญาติสนิทมิตรสหาย สำนักตระกูลมาพัวพัน และอาจถูกย้อนตอบโต้ได้”
เหล่าตัวตนบรรพกาลล้วนพยักหน้า
พวกเขาจะถูกปรามาสตำหนิ กระทั่งถูกโจมตีตอบโต้!
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นขอความเมตตาล้วนราวถูกสายฟ้าฟาดใส่ ใบหน้าซีดขาวดุจเถ้าถ่าน
นี่คือสิ่งที่พวกเขากลัวการเผชิญที่สุด!
“อีกอย่าง การศึกก่อนหน้านี้ของข้าเป็นการล้างศัตรูตนเอง ไม่เคยเกี่ยวพันกับคุณธรรมของพวกเขาแต่อย่างใด”
วาจาของซูอี้สั้นห้วน “เท่านั้นแหละ”
กล่าวจบ เขาก็ใช้มือไพล่หลังเดินจากไป
ดวงตาของเขาไม่เคยหันมองเหล่าผู้ฝึกตนที่คุกเข่าอยู่แต่ต้นจนจบ
หนอนตะกละเฒ่าและคณะมองหน้ากัน ต่างคนต่างตามซูอี้ไป
“ถุ้ย! น่าเสียดาย ใต้เท้าซูรังเกียจจะล้างบางพวกเจ้าเสีย แต่เราทนไม่ได้โว้ย!”
“งั้น… ฆ่าให้หมดเลยเป็นไร?”
“ยอดเยี่ยม!”
ไกลออกไปเกิดเสียงเซ็งแซ่ และผู้ฝึกตนกระหายเลือดบางกลุ่มก็เข้าล้อมเหล่าผู้ฝึกตนที่คุกเข่าอยู่ไว้
ทันใดนั้น เหล่าผู้ฝึกตนซึ่งคุกเข่าอยู่ล้วนแตกตื่นโดยสมบูรณ์ หนึ่งความคิดผุดขึ้นในใจ ‘มันจบแล้ว!’
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผลกรรมจะตามมาเร็วเพียงนี้!
…
เหนือจักรวาลพร่างดาว
ในบริเวณอันเหน็บหนาวแร้นแค้นแห่งหนึ่ง
“เทียนฉีน้อย เจ้าได้เห็นหรือไม่ นั่นแหละครรลองของทัศนาจารย์!”
เรือลำหนึ่งลอยละล่องอยู่บนอากาศอย่างเงียบ ๆ
บนกราบเรือ เสียงของจิ่วเย่าดังออกมาจากในกาน้ำสำริด “ข้าบอกแล้วว่าผู้ใดเป็นศัตรูกับเขา ล้วนจบไม่สวย!”
ในศึกผ่านมา แม้จะห่างออกไปแสนไกล แต่ด้วยเคล็ดวิชาของจิ่วเย่าและพลังของกาน้ำสำริด นางจึงได้เห็นมันชัดเจน
หนึ่งก้าวฟาดฟันเหล่าราชันแห่งภูมิ!
ผู้แข็งแกร่งเยี่ยงหมิงยง หยางฉี ตี๋จิ่วเซียว เฮ่อหมิงหลิ่วและยอดฝีมือในขอบเขตราชันแห่งภูมิคนอื่น ๆ ล้วนติดอยู่ในโลกแห่งดาบ ไร้ผู้ใดรอดชีวิต!
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ กระทั่งตัวตนเยี่ยงช่างเสื้อยังไม่กล้าเผยตัวออกมาต่อสู้กับทัศนาจารย์แต่ต้นจนจบ!
ทั้งหมดนี้นำความตกตะลึงมหาศาลมายังเทียนฉี จนนางไม่อาจสงบใจได้เนิ่นนาน
แน่นอนว่า นางรู้ว่าทัศนาจารย์ร้ายกาจเพียงใดยามอยู่ในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว และกิตติศัพท์ของทัศนาจารย์ก็ไม่ต่างจากเรื่องเล่าตำนาน
แต่นางมิคาดว่าเพียงอำนาจกรรมมหาวิถีที่ทัศนาจารย์ในอดีตชาติทิ้งไว้จะแข็งแกร่งเพียงนี้!
แข็งแกร่งทรงพลังเสียจนยากหายใจ
“ท่านอาจิ่วเย่า ท่านพูดถูก แม้ว่าทัศนาจารย์จะเวียนวัฏเกินใหม่ แต่ก็ไม่ฉลาดเลยหากจะเป็นศัตรูกับตัวตนเช่นเขา”
เนิ่นนานจากนั้น จิ่วเย่าก็พึมพำเบา ๆ
เทียนฉี “…”
นางอดกล่าวไมได้ว่า “ท่านอาจิ่วเย่า ทัศนาจารย์ที่ท่านกลัวมิได้อยู่แล้ว และเขาก็เวียนวัฏเป็นซูเสวียนจวินแห่งมหาแดนดินนี้ไปแล้วนะเจ้าคะ”
เสียงของจิ่วเย่าเคร่งขรึมจริงจัง “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ มันหมายความว่าทัศนาจารย์ได้ดำเนินไปบนวิถีดาบซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าอดีตชาติของเขาอีกอย่างไรเล่า!”
สีหน้าของเทียนฉีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย และเงียบไปอีกครั้ง
จริงดังว่า ทัศนาจารย์นั้นแทบไร้เทียมทานในจักรวาลพร่างดาว ในเมื่อตัวตนเช่นเขาเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ ย่อมหมายถึงเมื่อเขาพัฒนาเรืองอำนาจ วิถีเต๋าที่เขาดำเนินก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่าในอดีตชาติ!
“เทียนฉีน้อย ข้าเตือนเจ้าไว้ว่าอย่าได้ล้างแค้นเหล่าคนจากหอเก้าสวรรค์ของเจ้าเชียว”
จิ่วเย่ากล่าวอย่างจริงจัง “เป็นพวกเขาที่เชื่อคำสั่งอาจารย์เจ้าเอง และออกมารนหาที่ตายเอง จึงไม่แปลกหรอกที่ทัศนาจารย์จะไร้เมตตา และอาจารย์เจ้า… เกรงว่าคงถูกไอ้แก่สารเลวช่างเสื้อลวงเอา!”
เทียนฉีพยักหน้ากล่าวตอบ “ข้ามายังภูมิดาราฟ้าดินครานี้ก็เพื่อหาอีกครึ่งหนึ่งของข้า ความขุ่นข้องของผู้อื่นหาเกี่ยวข้องกับข้าไม่”
จิ่วเย่าดูโล่งใจ “คงเป็นการดีที่สุดหากระวังไว้ทุกย่างก้าว ต่อให้ถูกมองเป็นกระสอบผ้าสารเลว แต่การหลบข้อพิพาทกับทัศนาจารย์ไว้จะดีกว่า”
เทียนฉีเม้มริมฝีปากสีชมพูของนางเล็กน้อย ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจนใจ ระหว่างเดินทางสู่ภูมิดาราฟ้าดินนี้ ไม่รู้ว่านางได้ยินวาจาประมาณนี้มากี่หนแล้ว
เทียนฉีเปลี่ยนประเด็นทันที “ท่านอาจิ่วเย่า ท่านเห็นที่มาของสตรีถือหอกเมื่อครู่หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ สตรีถือหอกพลันปรากฏกาย ทำลายการโจมตีของช่างเสื้อในหนึ่งกระบวน จากนั้นก็เคลื่อนกายข้ามจักรวาลไปตามคิดบัญชีกับช่างเสื้อทันที
ภาพดังกล่าวนำมาซึ่งความตกใจยิ่งต่อเทียนฉี ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าสตรีถือหอกผู้นี้เป็นผู้ใดมาจากไหน เหตุใดจึงแข็งแกร่งเพียงนี้
“ข้าไม่อาจมองเห็นได้และไม่กล้ามองด้วย หาไม่อีกฝ่ายจะหาข้าเจอทันที”
เสียงของจิ่วเย่าเองก็เจือความหนักแน่น “ทว่ายิ่งเป็นเยี่ยงนั้น ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าสตรีถือหอกผู้นั้นร้ายกาจ ก่อนหน้านี้… ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่ามีผู้ใดนอกจากทัศนาจารย์ที่กล้าตามล่าช่างเสื้อเพื่อคิดบัญชีตรง ๆ เช่นนี้ด้วย…”
เทียนฉีฟังแล้วก็อดรำพึงไม่ได้ “จากข่าวลือ กล่าวกันว่าภูมิดาราฟ้าดินนี้คือปิตุภูมิเวิ้งดารา แต่ใครเล่าจะคิดว่าภูมิดาราแห่งนี้จะแสนกลซ่อนเงื่อนเพียงนี้?”
เคล็ดเวียนวัฏสงสาร!
ปราณมารดาฟ้าดิน!
สตรีถือหอกลึกลับ!
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดหรือผู้ใด เพียงหยิบสุ่ม ๆ มาสักสิ่ง ยอดฝีมือทั่วทั้งจักรวาลพร่างดาวก็เพียงพอสะท้านทั่วทุกภพภูมิ และดึงความสนใจได้ทั่วทศทิศแล้ว
และยามนี้ ทุกสิ่งอย่างและผู้คนที่ว่าล้วนปรากฏขึ้นในพื้นที่อันถูกหลงลืมเนิ่นนานเยี่ยงภูมิดาราฟ้าดิน ใครเล่าจะมิแปลกใจ?
“ไม่ว่าอย่างไร ที่นี่ก็คือแดนบรรพชนจุดกำเนิดแห่งจักรวาลพร่างดาวและหมื่นวิถี ต่อให้ทรุดโทรมเสื่อมทราม มรดกสืบทอดของมันก็ยังห่างไกลเกินธรรมดา”
จิ่วเย่าเองก็รำพัน
“แต่มันก็น่าสนใจมากขึ้นแล้ว”
ไม่นานนัก เทียนฉีก็เร่งเรือน้อยละล่องสู่แดนเทวามหาแดนดิน
และลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว
ณ โลกแร้นแค้นอันถูกทำลายล้างด้วยศิลาหลอม
“แย่แล้ว!”
เสียงหนึ่งอุทาน
ทันใดจากนั้น ร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในศิลาหลอม
เมื่อเข้าไปมองใกล้ ๆ คนผู้นั้นดูเฒ่าชรา ใบหน้าเหี่ยวย่น สวมอาภรณ์ผ้า มีเข็มเงินเล่มหนึ่งปักอยู่ในเส้นผม
เขาคือช่างเสื้อผู้ถูกขนานนามเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ผู้อันตรายที่สุดในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
ทว่าเขาในยามนี้ดูเคร่งขรึมจริงจัง สีหน้าเจือความแค้นเคืองแลดูเสียสติ ร่างของเขาวูบไหว เตรียมจากโลกอันหลอมละลายนี้ไป
ตู้ม!
อากาศระเบิดกระจาย คมหอกพุ่งเข้ามาขวางทาง
ร่างของช่างเสื้อกระแทกเท้าถอยไปหลายร้อยลี้ และยามเงยหน้าขึ้นมอง ไกลออกไปบนฟ้า หนึ่งสตรีถือหอกกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาสีม่วงอย่างเย็นชา
“ไอ้แก่ ครานี้จะหนีไปไหนเล่า?”
สตรีถือหอกกล่าวอย่างเย็นชา