บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1168: เดินทางกลับ
ตอนที่ 1168: เดินทางกลับ
อาไฉ่กระซิบ “อำนาจของยันต์อมตะนี้ใช้ได้แค่เพียงหนเดียว และเมื่อเจ้ากลับไป ก็บอกอาจารย์เจ้าเสียว่าใช้ยันต์อมตะนี้กับตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิมันสิ้นเปลืองเกินไป”
กล่าวเช่นนั้น แล้วนางก็กระดิกปลายนิ้วของนางเบา ๆ
วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่ดูไร้จุดเริ่มจุดสิ้นนี้พลันควบแน่นกลับไปเป็นยันต์อมตะอีกครั้ง
และร่างของอาไฉ่ก็แปรเปลี่ยนเป็นละอองแสงหายไป
จิ่งหังและหวังเชวี่ยมองหน้ากัน ต่างคนต่างรู้สึกราวกับฝันไป
“ยุคสมัย… เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ…”
หวังเชวี่ยรำพึง
ในมหาแดนดินแต่เนิ่นนาน วิถีลึกล้ำเป็นดั่งสรวงสวรรค์ จักรพรรดิเป็นเช่นเทพ
ตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดินั้นกล่าวได้แล้วว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งค้ำโลกา
เหนือจักรพรรดิก็คือราชันแห่งภูมิผู้อยู่เหนือภูมิดารา!
ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งผลกระทบรุนแรงต่อมหาแดนดิน และยังทำให้ความรู้ความเข้าใจของเหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหันต์
เหมือนเช่นยามนี้ ชายในชุดทองและจักรพรรดิคนอื่น ๆ นั้นแข็งแกร่งเสียจนสามารถเถลิงอำนาจในมหาแดนดินได้
แต่พวกเขากลับไม่ต่างจากไก่จากสุนัขในมืออาไฉ่!
“ไม่ดีหรือที่แบบแผนเก่า ๆ ถูกลบล้าง และโลกใบใหม่ก็ถูกเปิดออก?”
จิ่งหังกระซิบ “อย่าลืมว่าในอดีต ท่านอาจารย์ดิ้นรนพยายามหาวิถีอันสูงกว่า ทว่าสุดท้ายก็ล้มเหลวจนต้องเลือกเวียนวัฏฝึกฝนใหม่”
“และพวกเราก็แตกต่างออกไป เราได้รับรู้เคล็ดไตรภพสู่สวรรค์ และยังได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ ได้รู้แล้วว่าจะขึ้นไปสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิในภายหน้าได้เช่นไร! มิใช่วาสนาสำหรับเราหรือ?”
หวังเชวี่ยคิดอย่างลึกล้ำ
“ไปกันเถอะ ไปเขตต้องห้ามเซียนอับโชคกันก่อน”
จิ่งหังกำลังจะเดินทาง ทว่าทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง จึงนำยันต์ลับชิ้นหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
ยันต์ลับชิ้นนั้นเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองจาง ๆ
“ท่านอาจารย์เรียกเรากลับแล้ว!”
จิ่งหังกล่าวอย่างตื่นเต้น
หวังเชวี่ยกล่าวด้วยความตกตะลึงราวกับไม่อยากจะเชื่อ “มหาสงครามจบแล้วหรือ?”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น! ยิ่งกว่านั้นคือ ในเมื่อท่านอาจารย์เรียกเรากลับ ย่อมหมายความว่าท่านอาจารย์ชนะศึกนี้!”
สีหน้าของจิ่งหังมิอาจซุกซ่อนความปรีดา
“ไปกันเถอะ!”
หวังเชวี่ยมิรอช้า รีบลงมือโดยเร็วที่สุด
…
ภูมิมืดมิด
นอกเมืองเทียนหยา ที่พำนักแห่งเผ่าปีศาจงู
ชายในชุดคลุมขนนกผู้มีสีหน้าน่าเกรงขามออกคำสั่งเสียงเข้ม
นอกจากเขา สามบุรุษหนึ่งสตรีล้วนพยักหน้า
พวกเขามาจากลัทธิทางช้างเผือก และจุดประสงค์การมายังเมืองเทียนหยาหนนี้ก็เพื่อจับเป็นเย่อวี๋ เพื่อพาไปยังมหาแดนดิน
“ได้เวลาแล้ว เริ่มได้”
ชายในชุดคลุมขนนกออกคำสั่ง
วูบ!
กลุ่มของพวกเขาทะยานไปยังเมืองเทียนหยา
ทว่า ขณะไปได้เพียงครึ่งทาง ชายในชุดคลุมขนนกพลันชะงัก “ช้าก่อน!”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็นำคันฉ่องสำริดบานหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ และพบภาพชายชราผมสีขาวปรากฏขึ้นในคันฉ่อง
“ปฏิบัติการจบลงแล้ว พวกเจ้ารีบกลับฐานที่มั่นในมหาแดนดิน อย่าได้สร้างเหตุการณ์อื่นขึ้นอีก”
ชายในชุดคลุมขนนกผงะไป “อาจารย์อา ไฉนเป็นเช่นนี้เล่าขอรับ?”
สีหน้าของชายชราผมยาวคาดเดาได้ยากไปชั่วขณะ ก่อนที่สุดท้ายจะกล่าวอย่างขมขื่น “เราแพ้แล้ว ทุกคนที่เข้าร่วมศึกในทะเลดาวตก… ตายหมดแล้ว…”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ชายในชุดคลุมขนนกและคณะต่างตะลึงอึ้งราวถูกสายฟ้าฟาดในฉับพลัน
พ่ายแพ้แล้ว?!
ตัวตนนับร้อยในขอบเขตมหาจักรพรรดิ และราชันแห่งภูมิสิบกว่าคน… ตายหมดแล้ว!?
หัวใจของพวกเขาถูกความหนาวเยือกปกคลุมไปทั่วสรรพางศ์
ทั่วร่างดูราวกับตกลงไปสู่ธารน้ำแข็ง
“เร็วเข้า อย่าชักช้า!”
ชายชราผมสีขาวเอ่ยเร่ง
เปรี้ยง!
ชายในชุดคลุมขนนกสูดหายใจลึก ๆ มองไปยังที่ตั้งแห่งเผ่าปีศาจงูที่อยู่ไกล ๆ และสุดท้ายก็ข่มกลั้นความไม่เต็มใจและกล่าวขึ้น “ถอนกำลัง!”
พวกเขาหันหลังจากไป
พวกเขาหารู้ไม่ว่าเผ่าปีศาจงูในครานี้ว่างเปล่าแสนนาน ไร้ผู้ใดพำนัก
และบ้านตระกูลชุยในเมืองตาข่ายม่วงก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
…
ในทะเลทุกข์
ภายในพิภพยมราชฝังวิถีที่อยู่ข้างสระเวียนวัฏ
“มีข่าวจากอาจารย์ส่งมาแล้ว เรากลับกันเถอะ”
เสียงของจิ่นขุยดูตื่นเต้น ใบหน้าของนางเปี่ยมปรีดา
เดิมที นางทำตามแผนของซูอี้ผู้เป็นอาจารย์ และมายังภูมิมืดมิดพร้อมกับเย่ลั่ว ไป๋อี้และเสวียนหนิง แยกตัวเป็นสองกลุ่ม พาชาวเผ่าปีศาจงูและตระกูลชุยอพยพหนีมายังพิภพยมราชฝังวิถีซึ่งอยู่ในส่วนลึกแห่งทะเลทุกข์
ผีเฒ่าแบกโลงหัวเราะ
ยามพวกจิ่นขุยพามาหลบภัย เขาก็ใช้ ‘กระดานหกวิถี’ ซึ่งเดิมให้ซูอี้ไว้เพื่อพาตนเองออกมาจากที่มาแห่งภูมิมืดมิดทันที และพาพวกจิ่นขุยมายังตลิ่งข้างสระเวียนวัฏ
“ข้าไม่ค่อยอยากออกจากที่นี่เท่าไรเลย”
ชุยหลงเซี่ยงอิดออดเล็กน้อย
ที่สระเวียนวัฏนั้นมีอำนาจเคล็ดเวียนวัฏสงสารอันไม่สมบูรณ์อยู่ การฝึกฝนที่นี่ทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล
“ฮ่า ๆๆ จิ้งจอกเฒ่าเช่นเจ้าชอบเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่สุด แต่เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อก็ย่อมได้”
ผีเฒ่าแบกโลงหัวเราะร่า
เย่อวี๋แห่งเผ่าปีศาจงูที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เดินเข้ามาพูดกับจิ่นขุยเบา ๆ “หลังเจ้ากลับไปหาอาจารย์เจ้าแล้ว ช่วยข้าส่งต่อข้อความให้เขาได้หรือไม่”
จิ่นขุยตอบอย่างรีบร้อน “ผู้อาวุโสเย่อวี๋โปรดชี้แนะ”
เย่อวี๋ครุ่นคิดสักพัก นางก็กระซิบอย่างเขินอายเล็กน้อย “บอกเขาว่า… หลังข้าจัดการที่พักให้คนของข้าได้ ข้าจะไปเยี่ยมเขาในมหาแดนดิน”
“ข้าด้วย!”
เสียงของโยวเสวี่ยดังออกมาจากในโคมสงบวิญญาณเทียนหยาซึ่งห้อยอยู่ที่เอวของเย่อวี๋
จิ่นขุยรีบรับปาก “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ผู้น้อยจะรายงานท่านอาจารย์ตามนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
ไกลออกไป ชุยหลงเซี่ยงรีบส่งกระแสเสียงปราณแก่ผอซัว “ผู้อาวุโสเห็นหรือไม่ สัตว์ประหลาดเฒ่าซูลวงวิญญาณเย่น้อยติดกับแล้ว ท่านต้องไม่ถูกหลอกไปด้วยนะขอรับ เจ้านั่น… มีหนี้รักมากมายเกินไป เห็นแล้วน่าโมโหนัก!”
ผอซัว “…”
เรือนผมของนางขาวดุจหิมะ หว่างคิ้วแต่งแต้มปานแดง ร่างอรชรงดงามดุจนางสวรรค์
เมื่อได้ยินเสียงเตือนของชุยหลงเซี่ยงดังขึ้น ณ ยามนี้ จะไม่ชัดเจนได้เช่นไรว่าชุยหลงเซี่ยงกังวลว่านางจะถูกซูเสวียนจวินชิงไปเช่นเย่อวี๋?
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าชื่นชนสหายเต๋าซูนะ แต่ก็แค่ชื่นชม ข้าเห็นเป็นเพียงสหายร่วมวิถี หาใช่คู่วิถีไม่”
ผอซัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สหายร่วมวิถีอันใด สตรีใดที่ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าซูหมายตา มีหรือจะพ้นเงื้อมมือ?
“ไม่ว่าอย่างไร ต้องไม่ให้ผู้อาวุโสผอซัวไปพบสัตว์ประหลาดเฒ่าซูเด็ดขาด!”
ชุยหลงเซี่ยงลอบตัดสินใจ
“แม่นางจิ่นขุย ขอข้ากลับไปยังมหาแดนดินกับเจ้าด้วยได้หรือไม่?”
เย่ซุ่นก้าวออกมากล่าวอย่างมีความหวัง
เขาคิดในใจไว้แล้วว่ายามหวนคืนสู่มหาแดนดิน ด้วยสายใยระหว่างเขาและพี่เขย มีที่ใดหรือที่เขามิอาจไปได้?
ถึงยามนั้น ใครเล่าจะกล้าหาเรื่องใส่ตัว?
เล่นมันเลย!
ใครกล้าขโมยความเด่นดังของเขา?
เล่นมันเลย!
ยิ่งเย่ซุ่นคิด ยิ่งระทึกใจเฝ้ารอ
“ไม่ได้!”
เย่อวี๋กล่าวขึ้นทันที
นางรู้ถึงสันดานของน้องชายดีเกินใคร และกังวลมากว่าหากปล่อยเขาไปยังมหาแดนดิน อีกฝ่ายจะก่อปัญหาให้ซูอี้เพียงไร
เย่ซุ่นอ้าปากค้าง ก่อนจะทำท่าคอตกไร้วิญญาณด้วยความผิดหวัง “น่าเบื่อ มันจะน่าเบื่อไปแล้ว ข้าอยากไปหาพี่ซูเพื่อร่ำสุราสักหน่อยก็ไม่ได้ ชีวิตจะมีไปเพื่อการใด?”
ชุยหลงเซี่ยงหัวเราะก่อนกล่าว “เจ้าหนูนี่น่าจะอยากดื่มสุราเคล้านารีมากกว่า”
ใครเล่าจะคิดว่าเย่ซุ่นหาได้อับอายไม่ แต่กลับเชื้อเชิญอย่างอบอุ่น “ผู้อาวุโสอยากไปมหาแดนดินด้วยกันหรือไม่?”
ชุยฉางอันไม่อาจทนไหว คิดพาบิดาเขาไปดื่มสุราเคล้านารี? เจ้าเด็กนี่จะเหิมเกริมไปแล้ว!
เขาก้าวออกมาคว้าไหล่เย่ซุ่นไว้ กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หรือ… ข้าไปกับเจ้าดีล่ะ?”
เย่ซุ่นผงะ และเมื่อเห็นแววตาไม่เป็นมิตรของชุยฉางอัน เขาก็หัวเราะแห้ง ๆ ทันที “ข้าแค่ล้อเล่นน่า ผู้อาวุโสอย่าถือจริงจังสิ ข้าเย่ซุ่นมิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย!”
เย่ซุ่นพลันไร้วาจา
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนก็อดตะลึงอึ้งมิได้
ในวันเดียวกันนั้นเอง จิ่นขุย เย่ลั่ว และคณะต่างเดินทางกลับมหาแดนดิน
และชาวเผ่าปีศาจงูกับตระกูลชุยต่างแยกย้ายสู่บ้านที่พำนักตน
…
มหาแดนดิน
ด้วยศึกทะเลดาวตกเพิ่งจบไป มหาแดนดินก็ฮือฮาครึกโครมยิ่งกว่าหนใด
“เจ้าพวกที่คิดว่าใต้เท้าซูจะแพ้พ่าย ยามนี้คงเสียใจจนไส้เขียวหมดแล้วกระมัง?”
“ศึกนี้กระทบต่อทิศทางแห่งมหาแดนดิน อย่างน้อยที่สุด… ในภายหน้า ทุกคนในโลกหล้าจะได้รู้ว่าสูงกว่าวิถีลึกล้ำยังมีวิถีสู่สวรรค์!”
“ทิศทางเดิมแห่งโลกหล้าพังทลาย และข้าแน่ใจว่าจากนี้ไป จะมีผู้ฝึกตนเดินทางสู่ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเพื่อสำรวจวิถีมากขึ้น!”
“ใช่ ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวหาได้ลึกลับอีกต่อไป และยังมิใช่สถานที่ต้องห้าม กระทั่งขุมกำลังในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวยังหาได้ไร้เทียมทานไม่!”
“กล่าวได้ว่าใต้เท้าซูได้ฉวยโอกาสจากศึกนี้แปรเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจของเหล่าผู้ฝึกตนในมหาแดนดินเสียใหม่ และยังกรุยทางให้กับเราด้วย!”
“จากเรื่องนี้ ใต้เท้าซูก็ควรถูกสถาปนาเป็นเทพในหัวใจโลกหล้าได้แล้ว!”
“เจ้าว่าวิถีเต๋าของใต้เท้าซูแข็งแกร่งเพียงไร?”
…โลกหล้าเดือดพล่าน ทุกคนต่างพูดถึงรายละเอียดแห่งศึก และผลกระทบต่อมหาแดนดิน
ระหว่างหารือ ชื่อเสียงของซูอี้ทะยานสู่สวรรค์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในอดีต เขาเป็นที่รู้จักในโลกหล้าในฐานะปรมาจารย์หมื่นวิถี ตำนานแห่งวิถีดาบ ผู้นำแห่งมหาแดนดินและสมญานามอื่น ๆ
และยามนี้ เขาก็กลายไปเป็นตำนานไร้พ่ายในหัวใจเหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้า ราวกับเป็นเทพ!
ถ้ำเสวียนจวิน
เมื่อโลกหล้าปั่นป่วน ซูอี้เก็บตัวฝึกฝน
กล่าวคือ หลังกลับจากทะเลดาวตก เขาก็เก็บตัวทำสมาธิตามลำพัง
“ในที่สุดข้าก็ตระเตรียมตนเองเสร็จสิ้น”
ในถ้ำพำนัก ซูอี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน สีหน้าเผยความผ่อนคลาย
ในศึก ณ ทะเลดาวตก เขาพิสูจน์เต๋าเลื่อนขอบเขตสู่สานพันธะลึกล้ำ ทว่ากลับไร้เวลาในการขัดเกลามหาวิถีของตนเองให้เสถียร
นี่คือเหตุที่ซูอี้เก็บตัวฝึกฝนทันทีที่กลับถึงถ้ำ
หากขอบเขตไม่เสถียร มันจะกระทบต่อวิถีต่อไปอย่างมิอาจเลี่ยง!
“ต่อมา ถึงกาลไปทำความเข้าใจผลกรรมวิถีในอดีตชาติที่ทัศนาจารย์ทิ้งไว้เสียที”
ซูอี้หลับตาลงอีกครั้ง
ไม่นานนัก ดาบเก้าคุมขังในห้วงความนึกคิดของเขาพลันสั่นไหวเล็กน้อย
………………..