บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1169: เสิ่นมู่
ตอนที่ 1169: เสิ่นมู่
ดาบเก้าคุมขังตื่นขึ้นจากความเงียบงัน
ตรวนแปดสายที่กระหวัดเกี่ยวรอบใบดาบส่งเสียงกระทบโครมคราม
ทั่วห้วงความนึกคิดของซูอี้ฉายคลื่นมหาวิถีประหลาดราวแสงดาบฉวัดเฉวียนกลางหมู่เมฆา วูบไหวประหนึ่งภาพลวงตา
วูบ!
เขาใช้เจตจำนงวูบไหวเข้าสู่ห้วงความนึกคิด เข้ามาหาดาบเก้าคุมขัง
แม้จะกล่าวได้ว่าเขามาหาดาบเก้าคุมขังในกาย ทว่าที่จริงมันกลับให้ความรู้สึกไกลเหลือคณานับ
ราวกับดาบวิถีลึกลับนี้หาได้อยู่ในห้วงความนึกคิดของเขาไม่ แต่กลับอยู่ห่างไกลเหลือแสน
“เจ้ารู้สึกว่าดาบนี้เป็นของเจ้าแท้ ๆ แต่กลับอยู่แสนไกลจากเจ้าหรือไม่?”
เสียงหัวเราะไร้การสะกดกลั้นเสียงหนึ่งดังขึ้น
จากนั้น ร่างของทัศนาจารย์ก็ปรากฏขึ้นจากในแสงวิถีนั้น
เหมือนเช่นยามที่พวกเขาพบกันในสระเวียนวัฏ ทัศนาจารย์สวมอาภรณ์เรียบง่าย สวมมงกุฎบนหัว ดูราวกับชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
ดวงตาเจิดจรัสเยี่ยงตะวันจันทรา ร่างผอมทว่าดูราวผ่าเปิดฟ้าดิน สยบอากาศในจักรวาลพร่างดาวได้!
ทว่ายามเผชิญหน้ากันจริง ๆ กลับให้ความรู้สึกแสนห่างเหินและเปี่ยมเสน่ห์เฉพาะ อิสระไร้จำกัด
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น ในยามนั้น การฝึกฝนของข้าอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตไร้ขีดจำกัดแล้ว เหยียบขาข้างหนึ่งรออยู่ในวิถีอันสูงกว่า ทว่าแม้เป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าถึงดาบนี้จะเป็นของข้า แต่กลับแสนห่างไกลนัก”
ทัศนาจารย์รำพึงเบา ๆ
เขาและซูอี้ยืนเคียงกันมองไปที่ดาบเก้าคุมขัง แววตาดูซับซ้อน
“เหยียบขาข้างหนึ่งรออยู่ในวิถีอันสูงกว่า? หมายความเช่นไร?”
เขาคาดเดาเกี่ยวกับระดับฝึกฝนของทัศนาจารย์เอาไว้แล้ว และไม่แปลกใจที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์แบบ
แต่ปรากฏว่าทัศนาจารย์ได้ค้นพบวิถีอันสูงกว่าวิถีสู่สวรรค์แล้ว!
“มันซับซ้อน แต่ก็เรียบง่าย และแม้ข้าจะแตะเขตแดนของวิถีอันสูงกว่าได้ แต่ก็ไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปโดยแท้จริง”
วาจาของทัศนาจารย์เลื่อนลอย “มีทั้งหมดสองเหตุผล หนึ่งคือโอกาสมิได้เหมาะสมเพียงพอ และอีกหนึ่งคือ ยามข้าอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบ มหาวิถีของข้ายังคงบกพร่อง”
“มันเป็นจุดด่างพร้อยเล็ก ๆ เมื่อแสนนานกาลก่อน ซึ่งไม่เคยคาดเลยว่าจะกลายมาเป็นอุปสรรคขวางทางข้าเอง”
กล่าวจบ ทัศนาจารย์ก็อดรำพึงมิได้ “และนี่แหละต้นตอที่ข้าเวียนวัฏ”
ซูอี้สะเทือนใจ
ยามนี้เอง เขาจึงตระหนักว่าการมีมหาวิถีบกพร่องสามารถส่งผลร้ายแรงต่อวิถีในภายหน้าเช่นนี้!
“เรื่องเหล่านี้ ยามเจ้าได้สืบทอดกรรมวิถีของข้าไปโดยสมบูรณ์ เจ้าย่อมได้รู้เอง เพราะถึงอย่างไร เราก็เป็นคน ๆ เดียวกัน ต่างเพียงว่าข้าคือหนึ่งในชาติก่อนของเจ้าเท่านั้น”
ทัศนาจารย์ว่า “ในขณะที่จิตรู้เห็นของข้านี้ยังมิสลายสิ้น เราคุยกันบางเรื่องได้นะ”
ซูอี้แปลกใจ
“เรื่องเกี่ยวกับดาบเก้าคุมขังอย่างไรเล่า”
ทัศนาจารย์ยกมือขึ้นชี้ดาบเก้าคุมขัง “ตรวนเส้นนั้นผนึกกรรมวิถีอดีตชาติของข้าไว้ ส่วนเส้นข้าง ๆ กันนั่นผนึกกรรมวิถีของ ‘ชาติที่เจ็ด’ ของเรา”
“ก่อนข้าจะเวียนวัฏ ข้าหารู้เกี่ยวกับ ‘กรรมวิถีอดีตชาติ’ เหล่านั้นบนดาบเก้าคุมขังไม่”
“เมื่อไม่นานนี้ที่เจ้าพบดาบแห่งโลกาที่สระเวียนวัฏ มันได้ปลุกเจตจำนงของข้าที่อยู่ในตรวนเส้นนี้ขึ้นมา และยามนั้นเองที่ข้าได้เรียนรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวข้องกับ ‘ชาติที่เจ็ด’”
หัวใจของซูอี้ตะลึงอึ้ง เขาสะกดความอยากรู้และฟังอย่างตั้งใจ
ทัศนาจารย์ดูมีสีหน้าพิกล “ชาติที่เจ็ดของเรามีนามว่าเสิ่นมู่ ฝึกฝนเพียงยี่สิบสามปีก็ถูกสตรีผู้หนึ่งสังหารสิ้นเจตจำนง อำนาจมหาวิถีถูกผนึกในตรวจที่เจ็ดของดาบเก้าคุมขัง และร่างเวียนวัฏของเขา… อืม… ข้านี่แหละ”
ทัศนาจารย์ถูจมูก มุมปากกระตุกเล็กน้อย ราวกับรู้สึกอับอายนิด ๆ
ซูอี้ตะลึงไปชั่วขณะ อดผงะไม่ได้
ชาติที่เจ็ดนี้ดูจะเหลาะแหละไปหน่อยหรือไม่?
“เขาไม่ธรรมดานะ”
ทัศนาจารย์ดูจะมองความคิดของซูอี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของเรากับเสิ่นมู่ แค่เพียงมุมมองคนนอก เขาก็ต้องเป็นอัจฉริยะอันอัศจรรย์ที่สุด และมีวิถีดาบลึกล้ำแบบที่ข้ามิเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน!”
ซูอี้พลันประหลาดใจ
ทัศนาจารย์ท่องจักรวาลพร่างดาวแสนนานเกินนับปี ถือได้ว่าเป็นตัวตนในตำนานแห่งวิถีดาบผู้เจิดจรัสที่สุด
แต่เขากลับพูดว่าไม่มีผู้ใดที่เขาเคยพบเห็นเทียบเสิ่นมู่ได้ในด้านความสามารถและความเข้าใจในวิถีดาบ!
ใครเล่าจะไม่แปลกใจ?
“อย่าว่าแต่ใครอื่นเลย กระทั่งความเข้าใจในวิถีดาบและฝีมือของเจ้ากับข้ายังด้อยกว่าเขาไกลโข”
ทัศนาจารย์ถอนใจเบา ๆ “คนผู้นั้นเกิดมาเพื่อเป็นนักดาบ เป็นที่รักแห่งสวรรค์อันมีเพียงหนึ่งในหลายพันปี ยามอายุสิบห้า เขารู้แจ้งสิบวันสิบคืน และพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิได้ทันที”
“ยามอายุได้สิบเจ็ด เขาข้ามผ่านประตูเป็นตายลึกล้ำ ข้ามขอบเขตเป็นราชันแห่งภูมิ”
“เขาต่างจากเจ้าที่เวียนวัฏฝึกฝนใหม่ด้วยความทรงจำในอดีตชาติ ใช้เพียงความเข้าใจในวิถีดาบและฝีมือของตนเอง เพียงยี่สิบสามปีก็ยืนบนจุดสูงสุดแห่งวิถีราชันแห่งภูมิได้!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ทัศนาจารย์ก็มองซูอี้ “เจ้าว่าคนเช่นนี้มิเรียกสัตว์ประหลาดได้หรือ?”
ซูอี้อ้าปากค้าง “แข็งแกร่งจนน่าขัน มิเคยได้ยินมาก่อนจริงแท้”
ทัศนาจารย์เผยสีหน้าริษยาอย่างหาได้ยาก ขณะพึมพำว่า “เราทั้งหลายต่างเป็นคน ๆ เดียวกัน ทว่าฝีมือและความเข้าใจช่างแตกต่างกันนัก น่าโมโหจริง ๆ!”
ซูอี้สงบใจกล่าวขึ้น “ไฉนยอดฝีมือไร้ใดเทียบเช่นเขาจึงพังเพราะสตรีได้เล่า?”
ทัศนาจารย์ส่ายหน้า “ข้ามิอาจทราบ ความลับเดียวที่ข้ารู้คือเรื่องเหล่านี้ และรู้เพียงว่ายามเสิ่นมู่ออกค้นหาวิถีอันสูงกว่าวิถีสู่สวรรค์ จู่ ๆ เขาก็ถูกฆ่าตายอย่างกะทันหัน”
“เฮ้อ สตรีเพศ!”
ทัศนาจารย์หัวเราะ “ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าระหว่างเสิ่นมู่และสตรีผู้นั้นต้องมีสัมพันธ์ไม่ธรรมดา และกระทั่งตัดเรื่องที่ทั้งสองอาจเป็นคู่รักมิได้ หาไม่ ต่อให้ถูกฆ่าตาย สติคงมิแหลกเหลวพังทลาย ต้องถูกสตรีผู้นั้นฆ่าโดยใช้เรื่องทางจิตใจจนอกแตกตายแน่แท้”
ซูอี้ “…”
“ที่ข้าบอกเจ้า มิได้หมายความให้เจ้าออกห่างจากสตรี แต่เจ้าต้องระวัง อย่าได้เดินตามรอยเสิ่นมู่”
ทัศนาจารย์เอ่ยเตือนเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวต่อ “นอกจากนั้น ข้ายังสงสัยด้วยว่าเจ้าแก่ในหอเก้าสวรรค์… เอ่อ หมายถึงเจ้าหอเก้าสวรรค์น่าจะรู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นมู่ด้วย”
“เพราะเขาชอบเรียกข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า ‘ผู้ทรยศรัก’ และเป็นมามากกว่าหนึ่งหน บอกข้าว่าไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะถูกลงโทษ”
“ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยคิดจริงจังและถือว่าเป็นวาจาเพ้อเจ้อ แต่พอเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับเสิ่นมู่ ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เจ้าแก่จากหอเก้าสวรรค์นี้… น่าจะรู้แล้วว่าข้าคือร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ม่านตาของซูอี้ก็หดตัวอย่างเงียบ ๆ
เขาจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าหอเก้าสวรรค์มองหาผู้ที่สามารถสยบกฎเกณฑ์วอนสวรรค์ได้
และยังจำ ‘ตราประทับอู่วิญญาณ’ ในจิตวิญญาณของชิงหว่าน และ ‘เทียนฉีน้อย’ ซึ่งดูเหมือนชิงหว่านทุกประการได้!
“เสิ่นมู่ถูกสตรีผู้หนึ่งบีบคั้นอกแตกตาย และเจ้าหอเก้าสวรรค์ก็สงสัยว่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าทัศนาจารย์คือร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่ และยังเคยปรามาสทัศนาจารย์เป็นผู้ทรยศรัก หรือเจ้าหอเก้าสวรรค์จะรู้เช่นกันว่าสตรีที่สังหารเสิ่นมู่คือผู้ใด?”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็รู้สึกหนาวเยือกเล็กน้อย “หากการคาดเดานี้ถูกต้อง ไฉนหอเก้าสวรรค์จึงเรียงร้อยให้ชิงหว่านมาปรากฏตัวข้างกายข้ากัน?”
“หรือชิงหว่านกับเทียนฉีน้อยจะเกี่ยวพันกับสตรีผู้สังหารเสิ่นมู่?”
ในขณะนั้น หัวใจของซูอี้ห้อตะบึง ผุดความคิดนานาราวติดปีก
และเขาก็กล่าวคำคาดการณ์ของตนเองที่มีต่อทัศนาจารย์ทันที
ทัศนาจารย์รับฟัง แต่แล้วก็ส่ายหัว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ชิงหว่านผู้นั้นไม่มีทางเป็นสตรีผู้ฆ่าเสิ่นมู่ไปได้ และยังไม่มีสิ่งใดเกี่ยวพันกับนางด้วย เพราะถึงอย่างไร หากเสิ่นมู่เป็นผู้ทรยศรัก สตรีผู้นั้นก็ทำลายเจตจำนงของเขาไปแล้ว มิต้องให้เจ้าหอเก้าสวรรค์มาทวงความยุติธรรมใด ๆ ให้นางเลย”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อยและกล่าวต่อ “นอกจากนั้น วาระมิถูก ตัวตนมิใช่ จุดเชื่อมต่อเดียวระหว่างสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเสิ่นมู่ก็เป็นได้”
ซูอี้ถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างมิอาจบรรยาย “นั่นก็ดีแล้ว”
หากแท้จริงปรากฏว่าชิงหว่านคือสตรีผู้สังหารเสิ่นมู่ เช่นนั้น เจตนาการเข้าหาเขาก็จะไม่ธรรมดา แค่คิดก็หนาวสะท้านแล้ว
“สรุปก็คือ ที่ข้าบอกเจ้าเรื่องนี้ก็เพื่อให้เบาะแสแก่เจ้า หากเจ้าอยากเข้าใจสาเหตุการตายของเสิ่นมู่ในภายหน้า เจ้าก็เริ่มสืบจากเจ้าหอเก้าสวรรค์ได้”
ทัศนาจารย์ว่า “แน่นอนว่าเขาเป็นปรปักษ์กับข้า และยามนี้เขาก็ไม่ลังเลจะใช้สารพัดอุบายกับเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีความแค้นต่อเรา และเมื่อพบกันภายหน้า คงดีกว่าหากปราบเขาก่อนแล้วสอบปากคำทีหลัง”
แม้ว่าทัศนาจารย์จะไม่พูดอันใด ทว่าเพียงความสัมพันธ์ระหว่างชิงหว่านและเทียนฉีน้อย ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องไปยังหอเก้าสวรรค์อยู่ดี!
“เจ้าต้องจำเรื่องต่อจากนี้ไว้นะ”
สีหน้าของทัศนาจารย์พลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง
หัวใจของซูอี้หนาววูบ ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านไปสิ้น
“เจ้าแตกต่างจากข้า และไม่ใช่ตัวตนในอดีตชาติอื่น ๆ เพราะเจ้าออกไขว่คว้าเส้นทางเวียนวัฏด้วยตัวเอง หาได้ยืมอำนาจของดาบเก้าคุมขังไม่ ซึ่งทำให้เจ้ามีสิทธิ์สืบทอดและหลอมรวมกับอดีตชาติทั้งหลาย”
“เช่น ไม่ว่าเจ้าจะเลื่อนขอบเขต หรือได้พบโอกาสสัมพันธ์ใด ๆ เจ้าจะมีโอกาสได้เปิดผนึกซึ่งอดีตชาติของเจ้าทิ้งไว้ในดาบเก้าคุมขังได้”
“เหมือนเช่นยามเจ้าอยู่ที่ริมสระเวียนวัฏ และได้พบเจตจำนงที่ข้าทิ้งไว้ในดาบแห่งโลกา จนปลุก ‘กรรมวิถีอดีตชาติ’ ที่ข้าทิ้งไว้ในดาบเก้าคุมขัง และเพราะเช่นนั้น เจ้าจึงมีคุณสมบัติสืบทอด ‘พลังกรรมวิถี’ ของข้าได้”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ทัศนาจารย์ก็จ้องมองไปยังซูอี้ น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมจริงจังขึ้นกว่าเดิม “ทว่า นี่ก็ยังมอบโอกาสให้พลังกรรมวิถีอดีตชาติของเจ้าถือโอกาสยึดจิตวิญญาณของเจ้าเพื่อฟื้นคืนชีพได้ด้วย!”
“เจ้าจะเข้าใจว่าเป็นการยึดร่างก็ได้!”