บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 117 ความเงียบงันในกระแสอากาศอันน่าหวาดกลัว
จวนผู้ว่า
ห้องศึกษา
“นายท่าน เราพบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนั้นแล้ว เชิญดูนี่เถิด”
ชายชราในชุดดำยื่นม้วนหนังสือหนาทึบ
ฉินเหวินเยวียนแลเห็นความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
ซูอี้ ศิษย์ถูกทอดทิ้งของสำนักดาบชิงเหอ สูญเสียการบ่มเพาะเมื่อปีก่อน กลายเป็นเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง…
เป็นตัวตนที่แสนไร้ค่าไม่ควรค่าแก่การเหยียบย่ำด้วยซ้ำ!
ชายหนุ่มผู้นี้ กล้าดีอย่างไรจึงได้ไม่แยแสต่ออำนาจผู้ว่าเขตปกครอง?
ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วมุ่นและอ่านต่อ
ในม้วนหนังสือนี้มีข้อมูลที่ละเอียดมาก
“วันที่แปดเดือนสอง ซูอี้และหวงเฉียนจวินมาถึงมหานครอวิ๋นเหอโดยทางเรือ พวกเขาไปยังถนนต้นหลิวในวันเดียวกันเพื่อพบสองพี่น้องตระกูลเฝิง เฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหราน”
“ในคืนเดียวกันนั้น ซูอี้บุกเข้าไปยังแหล่งกบดานของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ สังหารสมาชิกกลุ่มยี่สิบเก้าคน ช่วยเหลือเฝิงเสี่ยวหรานผู้เป็นน้องสาวของเฝิงเสี่ยวเฟิงออกมา…”
บนม้วนกระดาษหนาทึบ ต้นกำเนิดของสองพี่น้องเฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหรานถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด เช่นเดียวกับข้อมูลบางประการเกี่ยวกับกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ
หลังจากอ่านสิ่งนี้ ดวงตาฉินเหวินเยวียนก็หรี่เล็กลง ตระหนักได้ว่าก่อนมาถึงมหานครอวิ๋นเหอ ซูอี้ซึ่งพิการเมื่อปีก่อนได้ฟื้นคืนการบ่มเพาะแล้ว
“แล้วหลังจากช่วยเหลือเด็กสาวเสร็จ คืนนั้นพวกเขาก็นั่งรถม้าไปที่ใดต่อ?”
ฉินเหวินเยวียนเอ่ยถาม
“ไม่พบเบาะแสขอรับ”
ชายชราชุดดำอธิบายเสียงเบา “มหานครอวิ๋นเหอนั้นมีขนาดใหญ่ อีกทั้งตัวตนขณะนั้นของซูอี้และหวงเฉียนจวินยังไม่มีสิ่งใดพิเศษ พวกเขาจึงไม่ได้รับความสนใจเท่าใด หน่วยสอดแนมของเราเสาะหาข้อมูลทั่วถนนต้นหลิว ทว่าก็ไม่อาจหาสิ่งใดพบ”
ฉินเหวินเยวียนพยักหน้า กล่าวถ้อยคำ “ตรวจสอบต่อไป อย่าพลาดรายละเอียดใดเด็ดขาด”
เขาหันมาอ่านต่อ
“วันที่เก้าเดือนสอง ซูอี้และคนอื่นย้ายไปอยู่ในตรอกน้ำเต้า”
“ช่วงเย็นวันที่สิบเอ็ดเดือนสอง ซูอี้และหวงเฉียนจวินไปยังโรงหลอม พวกเขามีเรื่องขัดแย้งกับฉินเฟิงในคืนนั้น…”
หลังจากอ่านถึงข้อความนี้ ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วมุ่น รับรู้ถึงสิ่งผิดวิสัย “แค่นี้หรือ?”
ชายชราชุดดำรีบกล่าวออก “คนของเรายังทำการตรวจสอบต่อไป แต่นายท่านน่าจะทราบดีว่าซูอี้และหวงเฉียนจวินเพิ่งมาถึงมหานครอวิ๋นเหอ และมีคนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาด้วยน้อยมาก จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะสืบหาว่าพวกเขาทำสิ่งใดเมื่อวันก่อน”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง ถ้อยคำกล่าวออก “อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตอยู่สองประการ”
ฉินเหวินเยวียนตอบกลับ “กล่าวมา”
“วันที่สิบเอ็ดเดือนสอง ผู้นำกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬหลู่เฉวียนถูกสังหาร ผู้คนหลายร้อยใต้บัญชาของเขาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ล้วนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถในวันนั้น”
ชายชราชุดดำกล่าวต่อ “ทั้งหมดนั่นเป็นฝีมือของอู่เทียนฮ่าว ยักษ์ใหญ่แห่งกลุ่มอิทธิพลใต้ดินฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ในเมืองเรา แต่ตามข้อมูลที่พบ หลู่เฉวียนและอู่เทียนฮ่าวไม่เคยมีความขุ่นเคืองใดต่อกัน แม้แต่ตัวหลู่เฉวียนเองก็เพิ่งไปเยี่ยมเยียนอู่เทียนฮ่าวในวันนั้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา”
“อู่เทียนฮ่าว…”
ฉินเหวินเยวียนครุ่นคิด เขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนใต้ดินผู้นี้ ซึ่งมีอิทธิพลไม่น้อย
เขาเอ่ยถาม “เจ้าสงสัยการกระทำอันผิดปกติของอู่เทียนฮ่าวและต้องการตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับซูอี้หรือ?”
ชายชราในชุดดำตอบรับ “ขอรับ”
“อืม เจ้าควรรีบสืบหาเรื่องราวนี้ หากอู่เทียนฮ่าวโป้ปดไม่ยินยอมเผยความจริง จงกำจัดเขาและกองกำลังใต้คำสั่งเขาทั้งหมดโดยตรง ให้ถือเป็นการลงทัณฑ์ข้อหาฆาตกรรมผู้คนในมหานครอวิ๋นเหอ” ฉินเหวินเยวียนกล่าวออกเย็นชา
“แล้วประการที่สองคืออะไร?” ฉินเหวินเยวียนถาม
ชายชราชุดดำกล่าวตอบ “มีข่าวคราวว่าขณะนี้ซูอี้และหวงเฉียนจวินไปยังภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ด้วยกัน คนของเรากำลังสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมขอรับ”
“ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์?”
ฉินเหวินเยวียนเลิกคิ้ว “คนธรรมดาไม่อาจเข้าไปยังสถานที่นั้นได้ พวกเขาไปทำสิ่งใดกันแน่? สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ข้า”
ชายชราพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
“ข้อมูลน้อยนิดและผิวเผินเกินไป ตัวตนของเจ้าเด็กนี่ไม่ควรเรียบง่ายเพียงนี้”
ฉินเหวินเยวียนขมวดคิ้วมุ่น แววตาเผยความเย็นชา ขณะกล่าวออก “ทำการตรวจสอบต่อไป หากจำเป็น เริ่มตรวจสอบจากผู้คนรอบตัว อาจค้นพบเบาะแสสำคัญที่เป็นกุญแจ”
ชายชราชุดดำครุ่นคิดก่อนกล่าวออก “นายท่านหมายถึง ให้เริ่มตรวจสอบจากพี่น้องเฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหรานหรือ?”
“เข้าใจไม่ผิด”
ฉินเหวินเยวียนพยักหน้า ถ้อยคำเฉยเมยถูกกล่าว “อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้คนของเราไม่อาจสืบหาได้ เจ้าต้องไปไหว้วานผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเราและอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ทางที่ดีปล่อยให้สองพี่น้องให้ความร่วมมืออย่างเชื่อฟังโดยไม่ทำให้ซูอี้สงสัย”
ชายชราพยักหน้าตอบรับ “นายท่านโปรดวางใจ”
ฉินเหวินเยวียนโบกมือกล่าวออก “ไปเถอะ อย่าลืมตรวจสอบดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ในค่ำคืนนี้”
ชายชราพยักหน้ารับและจากไป
“เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้จะต้องเก็บงำความลับไว้เป็นแน่!”
ฉินเหวินเยวียนนั่งบนเก้าอี้ รู้สึกจนปัญญา
การบ่มเพาะฟื้นคืนได้อย่างไร?
แล้วมาทำอะไรในมหานครอวิ๋นเหอ?
หนำซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ซูอี้เพิ่งสังหารคนจำนวนมากในกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ แล้วเหตุใดอู่เทียนฮ่าวจึงกำจัดกลุ่มนี้ทิ้งทั้งหมดในอีกสองวันต่อมา?
ข้อสงสัยเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ฉินเหวินเยวียนเริ่มได้กลิ่นไม่ชอบมาพากล
“ยิ่งไปกว่านั้น เขยแต่งเข้าบ้านผู้สูญเสียการบ่มเพาะ แต่กลับสังหารองครักษ์ชั้นยอดขอบเขตรวบรวมลมปราณหกนายด้วยดาบเดียว ใครจะกล้าเชื่อสิ่งนี้?”
“ผิดปกติราวกับเกี่ยวข้องปีศาจมารร้าย!”
ดวงตาฉินเหวินเยวียนกะพริบไหว “แต่ไม่ว่าเจ้าจะมีไพ่ตายอย่างไร ศัตรูของข้าฉินเหวินเยวียนทั้งหมด ล้วนถูกกำหนดไม่ได้ตายตกด้วยดี!”
…
ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์
ราตรีคืบคลาน แสงไฟสว่างไสว
กระทั่งมาถึงชั้นเก้า หนานอิ่ง หนีเฮ่า และคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความอยากรู้อยากเห็น ทั้งยังเผยความระแวดระวัง
ในหัวใจของคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ผู้ที่สามารถจัดงานเลี้ยงชั้นนี้ได้ ล้วนเป็นบุคคลชั้นนำผู้ทรงอำนาจในมหานครอวิ๋นเหอ
มีเพียงโจวฮวายชิวเท่านั้นที่มีท่าทีเบื่อหน่าย
ทว่าเขากำลังไตร่ตรองอยู่ในใจ ถึงผู้เป็นเจ้าภาพมอบความบันเทิงแก่ทุกคนในโถงธารคีรีวันนี้
กระทั่งมาถึงด้านนอกโถงธารคีรี
ทุกคนแทบกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“ทุกคนโปรดรอก่อน ข้าจะไปรายงานแก่เจ้าภาพ”
สิ้นเสียง นายหญิงชุ่ยอวิ๋นผลักประตูออกเป็นช่องเพียงแค่พอให้เบียดเสียดเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลงทันที
สิ่งนี้ทำให้โจวฮวายชิวและคนอื่นเสียดาย ที่พวกเขาไม่ทันได้เห็นว่าผู้ใดนั่งอยู่ในโถงนั้น
“นี่เป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่มาก แม้แต่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นยังต้องรายงานเป็นการส่วนตัวในโถงธารคีรี เดาว่าคงมีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะได้รับการปรนนิบัติแบบนี้?” หนานอิ่งพึมพำ
กล่าวออกเช่นนั้น นางก็ตั้งหน้าตั้งตารอมากยิ่งขึ้น และคิดเพียงจะใช้โอกาสแสดงกิริยาอย่างไรดีในงานเลี้ยงนี้
หากสามารถดึงดูดความโปรดปรานของเจ้าภาพงานเลี้ยงได้ คงจะดีไม่น้อย
“พูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก หากท่านลุงโจวต้องการจัดงานเลี้ยงที่นี่ เขาก็จะได้รับการปรนนิบัติอย่างดีแบบนี้เช่นเดียวกัน” หนีเฮ่าเอ่ยคำเบา
โจวฮวายชิวโบกมือกล่าวออก “ปกติแล้วข้าไม่มาภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ แต่ถ้าหากพูดถึงสถานะหรือตัวตน ตัวตนของข้าแทบจะมานั่งที่ชั้นเก้าไม่ได้”
ยิ่งเขากล่าวออกเช่นนั้น ทุกคนก็ยิ่งเกิดความคาดหวังและวิตกกังวลในใจมากขึ้น
ไม่นานประตูก็ถูกเปิด นายหญิงชุ่ยอวิ๋นเดินออกมาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านโปรดเชิญเข้าไปด้านใน ข้าจะไม่อยู่เป็นการรบกวนพวกท่านแล้ว”
สิ้นเสียง นางก็เดินจากไปทันที
ท่าทีดูผิดวิสัย ทว่าจิตใจทุกคนไม่ได้อยู่ที่นาง พวกเขาล้วนตื่นเต้นที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงและพบกับบุคคลลึกลับ
โจวฮวายชิวอยู่ด้านหน้าทุกคน
เขาจัดแจงเสื้อผ้า ผลักประตู และยกมือขึ้นทำท่าประสานมือคารวะ
แต่ในอึดใจถัดมา เขาก็ตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง
ด้วยแผ่นหลังบดบังประตู คนอื่น ๆ จึงไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ พวกเขาล้วนประหม่า ทั้งยังคาดหวัง
แต่ถัดมา เมื่อมองเห็นฉากในห้องโถง พวกเขาต่างก็ตะลึงงัน เผยท่าทางหวาดกลัว
สิ่งที่น่าหวาดกลัวมากที่สุดคือความเงียบงันในกระแสอากาศ…
ในเวลานี้แทบไม่มีเสียงใดภายในโถงธารคีรี
นอกเหนือจากเสียงกรอบแกรบของตะเกียบขยับ
“ซูอี้ ทำไมถึงเป็นเจ้า!?”
หนีเฮ่าเป็นคนแรกที่ได้สติ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
คนอื่นคล้ายกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ ใบหน้าบิดเบี้ยวดูน่าเกลียด ความคาดหวังและความตื่นเต้นเหือดหาย พลันรู้สึกละอายใจที่ถูกหลอก
ภายในโถงหรูหราและกว้างขวาง แสงไฟส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
หน้าโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ซูอี้สวมเสื้อคลุมเขียว นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ ขณะกำลังดื่มและชิมอาหารด้วยท่าทีสุขุม
หวงเฉียนจวินนั่งอยู่ด้านข้าง
คนทั้งสองนั่งอยู่ในโถงอันหรูหราแห่งนี้ ทำให้โจวฮวายชิวรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
“ทำไมจะเป็นข้าไม่ได้?”
ซูอี้วางตะเกียบแกะสลักจากหยกขาวในมือลง มองขึ้นไปที่โจวฮวายชิวและคนอื่นที่เดินเข้ามา ถ้อยคำกล่าวออก “ไม่คาดคิด ว่าท่านลุงโจวก็มาที่นี่ด้วย ไม่เป็นไร ที่นี่กว้างขวางเพียงพอสำหรับคนที่มากขึ้น”
สิ้นเสียง เขาก็ลุกขึ้นกล่าวกับโจวฮวายชิว “เชิญท่านลุงนั่งลง”
ครั้งที่อยู่ในสำนักดาบชิงเหอ โจวฮวายชิวดูแลเขาเป็นอย่างดี เขาจึงไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะทำดีกับอีกฝ่าย
โจวฮวายชิวตื่นขึ้นจากภวังค์ ประสานมือและกล่าวออกด้วยรอยยิ้ม
“ไม่นึกเลยว่า งานเลี้ยงบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์จะเป็นของเจ้า”
เขาเหลือบมองหนีเฮ่าและศิษย์คนอื่นด้วยท่าทีต่างออกไป ถ้อยคำกล่าวออก “เร็วเข้า ทุกคนมานั่งลง”
สิ้นเสียง เขานั่งลงที่โต๊ะทันที
รับชมเช่นนั้น คนอื่นจึงละทิ้งความสงสัยในใจชั่วขณะและนั่งลงทีละคน
มองดูอาหารอันโอชะน่าดึงดูดใจบนโต๊ะ จากนั้นจึงหันมองซูอี้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ หัวใจของทุกคนปั่นป่วนอีกครั้ง
เป็นความรู้สึกไม่สบายใจอย่างท่วมท้น
คราแรก พวกเขาต่างคิดว่าเป็นผู้ทรงอำนาจที่จัดงานเลี้ยงและเชิญพวกเขามา ดังนั้นจึงได้ตื่นเต้นและตั้งตารอด้วยความประหม่า
ใครจะคาดคิด…
กลับกลายเป็นซูอี้ศิษย์ผู้ถูกทอดทิ้งของสำนัก!!
ในหมู่พวกเขา หนานอิ่งเป็นคนที่ตกตะลึงมากที่สุด ใบหน้าละเอียดอ่อนและงดงามแปรเปลี่ยน ดวงตาทั้งสองจ้องมองซูอี้ ราวกับพยายามมองทะลุผ่านเขาอย่างสมบูรณ์
ย้อนกลับไปก่อนนั้น นางเป็นคนรักของซูอี้ ซึ่งมักอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืน
แต่ไม่คาดคิด ว่าคนพิการที่นางทอดทิ้งไว้เบื้องหลังจะไม่เพียงฟื้นคืนการบ่มเพาะกลับมา แต่ยังคว้าอันดับหนึ่งในการงานประลองประตูมังกร อีกทั้งเวลานี้เขากำลังนั่งอยู่บนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์!!
แท้จริงไม่เพียงแต่หนานอิ่งเท่านั้น แต่คนอื่นยังเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
โจวฮวายชิวยังคงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ไม่อาจทราบว่าเหตุใดซูอี้จึงสามารถจัดงานเลี้ยงที่นี่ได้ แต่เขารู้ว่าศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักดาบชิงเหอที่ซูอี้เชิญมาคราวนี้ พวกเขาล้วนมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับซูอี้ในอดีต
สิ่งเหล่านี้เป็นดั่งลางร้าย!