บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1170: อดีตชาติคือทัศนาจารย์ ปัจจุบันชาติคือตัวข้า
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1170: อดีตชาติคือทัศนาจารย์ ปัจจุบันชาติคือตัวข้า
ตอนที่ 1170: อดีตชาติคือทัศนาจารย์ ปัจจุบันชาติคือตัวข้า
ซูอี้ขมวดคิ้ว
ตัวข้าในอดีตชาติช่วงชิงร่างของข้าในชาตินี้?
หรือจะเข้าใจว่าทุกอดีตชาติเป็นเหมือนตัวตนของข้าอีกบุคลิก?
ซูอี้พอเข้าใจแล้ว
“กลัวหรือไม่?”
ทัศนาจารย์ถาม
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “ต้องกลัวด้วยหรือ?”
ทัศนาจารย์ผงะไป และกล่าวว่า “มิห่วงหรือไรว่าเหตุเช่นนี้จะเกิดยามสืบทอดหลอมรวมกับกรรมวิถีอดีตชาติของข้า?”
ซูอี้กล่าวโดยไม่คิด “หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะฆ่าตัวตายก่อน และเราทั้งคู่ก็จะไม่มีผู้ใดได้คืนชีพ”
ทัศนาจารย์ “…”
ครู่ต่อมาเขาก็ยกนิ้วโป้ง “โหดได้ใจ!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “นั่นเป็นเพียงแผนสำหรับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ยามหลอมรวมวิถีเต๋าแห่งอดีตชาติ ข้าจะพยายามให้เกียรติและใช้ความสามารถของตนเองเอาชนะมา”
ทัศนาจารย์กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้ากล้าดี”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็พึมพำออกมา “การสืบทอดกรรมวิถีของข้าย่อมหมายถึงการถูกผูกมัดด้วยผลกรรมตลอดชีวิตของข้า แต่… เจ้าคือเจ้า และเมินเฉยต่อผลกรรมนั้นไปก็ได้นะ”
ซูอี้เงียบไปชั่วครู่ และพลันกล่าวขึ้น “เจ้ามีความปรารถนาที่ไม่สัมฤทธิ์ผลบ้างหรือไม่?”
ทัศนาจารย์ถอนใจเบา ๆ พลางกล่าวด้วยแววตาซับซ้อนเล็กน้อย “ชาตินี้ของข้าลอยชาย หมกมุ่นกับการฝึกดาบ หาเคยแต่งเมียมีบุตรไม่ นอกจากรับชิงถังเป็นศิษย์ ข้างกายข้าก็มีเพียงหนึ่งบ่าวเฒ่า”
“เขาชื่อเฒ่าเว่ย ขาข้างหนึ่งพิการ แต่กลับดื้อดึงมิยอมรักษา คนอื่น ๆ ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวเรียกเขาว่าเว่ยขาเดี้ยง”
เสียงของทัศนาจารย์ต่ำลง ฟังดูหดหู่ “หากภายหน้าเจ้าได้พบเขา บอกเขาแทนข้าทีว่ารักษาขาแล้วเดินตามทางของตนเองได้แล้ว มิต้องรอให้ข้ากลับมาหรอก”
ซูอี้พยักหน้า “แน่นอน”
ทัศนาจารย์ครุ่นคิดอยู่นาน และกล่าวขึ้นราวกับสุดท้ายก็ไม่อาจปล่อยวางอย่างแท้จริงได้ “ชีวิตของชิงถังพิเศษนัก ชะตาของยายหนูผู้นั้นย่ำแย่ ญาติทั้งหลายในตระกูลล้วนถูกฆ่า เหตุผลของมัน ยามเจ้าหลอมรวมพลังวิถีของข้า เจ้าย่อมได้เข้าใจเอง”
“หากเป็นไปได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยนาง”
ซูอี้ผงะไป และตอบ “ได้”
ครั้งหนึ่ง ชิงถังเคยเป็นศิษย์ผู้เดียวของทัศนาจารย์
ทว่า แล้วนางมิใช่ศิษย์คนเล็กของเขาหรือไร?
ยามนี้ ทัศนาจารย์ก็ดูจะปลดเปลื้องทุกภาระผูกพันลงได้ และกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าไม่รู้ใน ‘กรรมวิถีอดีตชาติ’ ของข้า และยามนี้ข้าต้องบอกเจ้าให้ใส่ใจวิถีเบื้องหน้า”
ยามทัศนาจารย์กล่าวเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็จับจ้องซูอี้ “อย่าคิดว่าข้าเจ้ากี้เจ้าการ หลังจากหลอมรวมพลังกรรมวิถีของข้าเสร็จ ข้าจะกลายเป็นเจ้า แต่… เจ้าต้องจำไว้เสมอว่าเจ้าคือเจ้านะ!”
เสียงของเขายังไม่ทันสร่าง แต่ร่างของเขาก็พร่ามัวลงจนเป็นภาพลวง และค่อย ๆ สลายไป
ตู้ม!
ตรวนเส้นที่แปดบนดาบเก้าคุมขังสั่นสะเทือนรุนแรง ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นพิรุณแสงไม่รู้จบ
ยามนั้น ซูอี้สังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าบนตรวนอีกเจ็ดเส้นที่เหลือ พลังกรรมวิถีสายแล้วสายเล่าดูจะถูกปลุกตื่นจากการหลับใหลชั่วกาล ต่างสายต่างคำรามลั่น
“หรือพลังกรรมวิถีอดีตชาติจะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงพลังกรรมวิถีของทัศนาจารย์ได้แล้วหรือ?”
หัวใจของซูอี้ตะลึงอึ้ง
ตู้ม!
ดาบเก้าคุมขังพลันเปล่งวจีดาบหนักแน่น
ตรวนอีกเจ็ดเส้นต่างถูกสยบจนเงียบลงในบัดดล
และ ‘พิรุณแสงมหาวิถี’ ซึ่งเป็นตัวแทนวิถีเต๋าอดีตชาติของทัศนาจารย์ก็หลอมรวมเข้าสู่ดาบเก้าคุมขัง แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งตรา
“ว่าแล้วเชียว การมีอยู่ของดาบเก้าคุมขังคือเพื่อสยบพลังในอดีตชาติของข้า!”
ยามนั้นเอง ซูอี้ก็แน่ใจเพิ่มได้อีกหนึ่งอย่าง
นั่นคือ ตัวเขาผู้เป็นตัวแทนชาติภพปัจจุบันคือนายแห่งดาบเก้าคุมขัง!
เช่นนี้ กรรมวิถีอดีตชาติของเขาจะถูกผนึกแน่นหนาโดยดาบเก้าคุมขัง ไม่มีทางที่กรรมวิถีอดีตชาติเหล่านี้จะตื่นขึ้นมาได้เองเด็ดขาด
เว้นเพียงเขาจะได้ไปพานพบโอกาสบางอย่างในภายหน้า หรือยามขอบเขตฝึกฝนแข็งแกร่งขึ้นในระดับหนึ่ง เขาก็จะสามารถปลุกกรรมวิถีอดีตชาติของเขาขึ้นมาใช้งานได้!
จากนั้นซูอี้ก็เริ่มสัมผัสตราอำนาจของทัศนาจารย์ซึ่งทิ้งไว้ในดาบเก้าคุมขังโดยไม่ลังเลอีกต่อไป
ครืน!
เพียงพริบตา ความทรงจำมหาศาลก็ประดังเข้าสู่การรับรู้ของซูอี้ดุจน้ำหลาก
ภาพนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจซูอี้ราวกับแสงสว่างวูบวาบ
ภาพเหล่านั้นแปลกประหลาดไม่คุ้นตา แต่กลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยยิ่งกว่าภาพใด ราวกับความทรงจำทุกสิ่งของทัศนาจารย์ถูกปลดผนึก
แต่ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นของเขา…
ทัศนาจารย์เกิดมาในครอบครัวยากไร้ เพื่อที่จะได้เรียนรู้อ่านเขียน ทัศนาจารย์จึงต้องเดินขึ้นลงภูเขาไกลถึงสามสิบลี้ทั้งวันทั้งคืน หยุดพักกินของป่ายามหิวโหย ดื่มน้ำพุจากบนเขายามกระหาย ไม่ว่าจะร้อนรุ่ม หนาวเย็น พิรุณกระหน่ำหรือแดดสว่างจ้า
เนื่องจากฐานะอันยากจน เหล่านักศึกษาในสำนักจึงแสนละอายจะคบหา
อาจารย์ผู้สอนสั่งก็ช่างโหดเหี้ยมเย็นชาเหลือเกิน
ทว่าทุกคราที่เขาได้ประสบกับสายตาเย็นชาของเหล่าสหายร่วมชั้น เขาก็ทำเพียงยิ้มให้
ทุกคราที่ประสบเสียงติเตียน สีหน้าของเขาก็จะนอบน้อมให้เกียรติยิ่งขึ้น
ศึกษาเก้าปี หลังผ่านการสอบของมณฑล สอบรับราชการ… และท้ายที่สุดก็ถูกเลือกเป็นอันดับสองจากการสอบเข้าวังหลวง
เมื่อทัศนาจารย์อายุได้สิบเจ็ดปี เขาก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่กรมกษิกรรม ไต่เต้าขึ้นไปรับใช้บุตรสวรรค์ ได้รับความวางพระทัยจนเป็นที่น่าตะลึงทั่วโลกหล้า!
เหล่าสหายร่วมสำนักล้วนสรรเสริญในเกียรติยศ
อาจารย์ผู้สอนสั่งแสนปรีดา
ยามอายุสิบเก้า โลกหล้าเข้าสู่กลียุค อุบัติภัยทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์สร้างปรากฏติดต่อ ผู้คนอยู่กินยากไร้ บุพการีของเขาผู้เก็บของป่าประทังชีพต้องสิ้นใจด้วยมือโจรชั่ว
ด้วยเสียบุพการี เขาจึงละทิ้งตำแหน่งและออกต่อสู้ในสนามรบ
ในยามอายุยี่สิบสาม เขาได้ผู้ฝึกตนคอยชี้แนะสอนสั่งการฝึกฝนมหาวิถีเป็นครั้งคราว
และยามนี้เอง ทัศนาจารย์ผู้ละล่องลอยในโลกปุถุชนมาตลอดยี่สิบสามปีก็กล่าวได้ว่าเปิดเส้นทางฝึกฝนของตนโดยสมบูรณ์
…
ตลอดกาลต่อมา ทัศนาจารย์ก็เป็นเลิศสูงส่งในมหาวิถี
กลืนเมฆาดื่มน้ำค้าง เคลื่อนผ่านบรรพตป่าเขา เข้าร่วมศึกละเลงเลือด
เขาประสบมหันตภัยชี้เป็นตาย และยังได้ฟื้นคืนจากหายนะ
ทศวรรษผันผ่าน
ทัศนาจารย์ได้ก้าวสู่วิถีแห่งจักรพรรดิ และได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งดาบค้ำโลกา
ศตวรรษเคลื่อนผ่าน
ตัวตนทั้งหลายในจักรวาลพร่างดาวล้วนชื่นชมสรรเสริญนามแห่งทัศนาจารย์
สหัสวรรษดำเนินไป
เหล่ายักษ์ใหญ่ทั่วจักรวาลอันถือตนเป็นตำนานล้วนต้องสำรวมตนเมื่อพบเขา!
เขาเคยกล่าวไว้ว่า
“ข้าเฝ้ามองมหาวิถีแห่งฟ้าดิน และทัศนายิ่งอื่นใดนอกเหนือจากโลกา”
“ทัศนาโลกา โลกาทัศนา”
และกล่าวไว้ว่า “ตลอดยุคสมัยมีห่วงกังวลมากมาย ทว่ากลับมิควรค่าต่อหนึ่งคมดาบ”
ยังกล่าวไว้อีกว่า “ต่อให้มีเทพเซียนบนสวรรค์ ก็มิกล้าจุติลงสู่โลกาแห่งมนุษย์!”
ทว่าสำหรับเขา สิ่งที่รวดเร็วที่สุดในชีวิตคนคือเสาะหาวิถีดาบ!
…
ประสบการณ์และภาพความทรงจำนับไม่ถ้วนไหลบ่าดั่งกระแสน้ำเข้าสู่ทั้งกายและใจของซูอี้
ทุกสิ่งเกี่ยวกับทัศนาจารย์หลอมรวมเป็นหนึ่งกับชีวิตของเขา ไร้ความผิดปกติหรืออันตรายใด ๆ
เพราะทัศนาจารย์คืออดีตชาติของเขา และเขาก็คือทัศนาจารย์!
สำหรับซูอี้ การสืบทอดอำนาจกรรมวิถีแห่งทัศนาจารย์นั้นเหมือนการฟื้นคืนความทรงจำในอดีตชาติของเขา ณ เมืองกว่างหลิงแห่งต้าโจวยามอายุได้สิบเจ็ดปีในชาตินี้ไม่มีผิด
ไร้เขตแดนขวางกั้นคือความขัดแย้งใด ๆ
นี่ยังทำให้ซูแน่ใจยิ่งขึ้นกว่าเก่า
ทัศนาจารย์นั้นไม่ได้ต้องการมีอิทธิพลเหนือของเขา และก็มิได้ต้องการยึดร่างเขาคืนชีพตน!
“ข้าคือเจ้า เจ้าคือข้า แต่… ข้าคือสิ่งที่ข้าเป็น”
‘ความปรารถนาอันยาวนานแห่งอดีตชาติ ข้าผู้นี้จะเติมเต็มให้เอง!’
ซูอี้กระซิบในใจ
กาลต่อมา ซูอี้ก็เริ่มระลึกย้อนและเรียบเรียงประสบการณ์ ความทรงจำต่าง ๆ ในอดีตของ ‘ทัศนาจารย์’…
ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวนั้นรู้จักกันในนาม ‘ภูมิร้อยมหาดารา’!
มีเพียงขุมอำนาจสูงสุดจากภูมิดาราสิบอันดับแรกเท่านั้นที่ถูกมองว่าเป็น ‘ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาล’
ในหมู่พวกเขา
มีภูมิดาราวอนสวรรค์ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอเก้าสวรรค์ ‘ภูมิดาราเจ็ดดาวฤกษ์’ ที่ตั้งแห่งโรงวาดฤทัย และ ‘ภูมิดาราหมื่นโฉลก’ ซึ่งเป็นที่พำนักของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ…
ผู้ที่ถูกเรียกเป็น ‘ยักษ์’ ล้วนแต่มีตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์แบบดูแลในแดนเหย้า
เช่นเจ้าหอเก้าสวรรค์ จิตรกรแห่งโรงวาดฤทัย เจ้าแก่จมูกวัวแห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ และชาวประมงจากลัทธิทางช้างเผือก…
นอกจากนี้ ‘ภูมิร้อยมหาดารา’ และโลกภูมิทั้งหลายในจักรวาลพร่างดาว มันยังเป็นที่รู้จักร่วมกันในนามของ ‘จักรดาราตงเสวียน’!
…
นอกจากนั้น ในความทรงจำของทัศนาจารย์ ความรู้ความเข้าใจในไตรภพสู่สวรรค์ วิถีดาบและเคล็ดวิชามรดกต่าง ๆ ล้วนตกทอดสู่ซูอี้โดยถ้วนทั่ว
ความรู้สึกและประสบการณ์นับไม่ถ้วน ความลี้ลับมหาศาลแห่งวิถีดาบ ความรู้ความเข้าใจในวิถีนับพันทั่วผืนนภาเป็นดั่งหีบสมบัติอันมิอาจเหือดหาย หลอมรวมเข้าสู่หัวใจของซูอี้
ดาบที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของทัศนาจารย์มีนามว่าดาบแห่งโลกา
มรดกวิชาดาบอันภาคภูมิที่สุดมีนามว่าละล่องท่องทัศนา
อำนาจมหาวิถีอันแข็งแกร่งที่สุดของเขามีนามว่าอนันตกาลจรัสแสง
…
ในอดีตชาติของเขา เขาท่องทัศนาผ่านภูมิดาราหลายร้อยพัน สัญจรสู่สุขาวดีแดนสรวงสวรรค์ ทะลวงสถานที่ลับแลที่ไม่เป็นที่รู้จักมากมาย และได้เข้าใจปริศนาสารพัด
และเพราะเหตุนั้นจึงเกี่ยวพันกับผลกรรมมากมาย
ยามนี้เองที่ซูอี้ได้เข้าใจว่าชิงถังใช้แซ่เจียง และตระกูลเจียงก็คือหนึ่งใน ‘ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี’ ที่ลึกลับที่สุดแห่งห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว
ประวัติศาสตร์ตระกูลเจียงนั้นโบราณเสียจนกลบรัศมียักษ์ใหญ่บางคนในจักรวาลพร่างดาวได้
ทว่าในชั่วข้ามคืน ตระกูลเจียงกลับถูกผลาญจนเหลือเพียงแค่ชิงถังผู้เดียว!
ขุมกำลังซึ่งทำลายตระกูลเจียงเป็นขุมกำลังใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว มีนามว่า ‘โถงดาบนภาเทพ’
น่าแปลกที่ในกาลต่อมา โถงดาบนภาเทพก็ประสบมหาหายนะ มิเหลือผู้ใดรอดพ้น!
ทัศนาจารย์ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ทว่ากลับพบว่าการล่มสลายของโถงดาบนภาเทพนั้นน่าสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับขุมกำลังที่ลึกลับยิ่งกว่า
ขุมกำลังนี้เป็นเหมือนตัวการลับซุกซ่อนหลังฉาก เริ่มแรกใช้โถงดาบนภาเทพมาทำลายตระกูลเจียง จากนั้นก็โจมตีทำลายโถงดาบนภาเทพ!
ยิ่งกว่านั้น ทัศนาจารย์ยังคาดการณ์คร่าว ๆ ไว้ว่าช่างเสื้อซึ่งถูกมองเป็นยักษ์ใหญ่ผู้อันตรายที่สุดคนหนึ่งในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว เขาจึงถูกต้องสงสัยว่าทำงานรับใช้ขุมกำลังลึกลับนั่น!
เพราะเหตุนี้ ทัศนาจารย์จึงไม่เคยบอกความจริงกับชิงถัง ด้วยกลัวว่า หากนางสืบสาวเรื่องต่อไป จะเป็นอันตรายต่อชีวิตนางเอง
ขณะเดียวกัน ในที่สุดซูอี้ก็ได้เข้าใจที่มาของคุณหนู ‘รั่วซี’ แห่งโรงวาดฤทัย
สตรีผู้นี้มีนามว่าจงรั่วซี ตระกูลจงซึ่งอยู่เบื้องหลังนางเองก็เป็นหนึ่งใน ‘ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี’ เช่นกัน!
ยิ่งกว่านั้น ตระกูลจงโบราณยังลึกลับทรงพลังอย่างยิ่งในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ทั่วไป
ขุมกำลังเช่นโรงวาดฤทัย หากว่ากันด้วยภูมิหลังแล้ว ก็ยังด้อยกว่าตระกูลจงโบราณด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น บรรพชนจิตรกรแห่งโรงวาดฤทัยและตระกูลจงโบราณยังมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน นี่จึงเป็นเหตุว่าไฉนตัวตนของจงรั่วซีจึงพิเศษนัก
เรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งจากยอดภูเขาน้ำแข็งชั่วชีวิตของทัศนาจารย์
ในความทรงจำของทัศนาจารย์ยังมีความลับอันลึกลับน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านี้อีก!
ยกตัวอย่างเช่น ร่างจริงของชาวประมง ประมุขลัทธิทางช้างเผือกถูกทัศนาจารย์ใช้ดาบแห่งโลกาผนึกไว้ในดินแดนต้องห้ามนาม ‘สมุทรมารไร้กำหนด’
และยามนี้ ซูอี้ก็กำลังไล่เรียงหลอมรวมความทรงจำเหล่านี้
ระหว่างนั้น ทั้งประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของเขาก็เปลี่ยนแปรสะท้านภพ
คาดได้ว่ายามซูอี้หลอมรวมกับพลังกรรมวิถีของทัศนาจารย์เสร็จสิ้น
เขาจะเป็นทัศนาจารย์!
ทัศนาจารย์คือเขา!
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็คือเขา
เขาคือซูอี้ผู้ไขว่ขว้าหาวิถีดาบในปัจจุบันชาติ!!