บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1172: มหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ!
ธารแห่งชะตารินไหล กาลเวลาคล้อยผ่าน โลกาเปลี่ยนแปร
ร่างพร่ามัวนั้นดูราวยืนยงชั่วกาล!
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ตกใจจังงัง
เพราะถึงอย่างไร หากร่างพร่ามัวนั้นเป็นหนึ่งในอดีตชาติของเขาจริง ๆ มันย่อมแปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ
เพราะถึงอย่างไร เขาก็แข็งแกร่งจนน่าอัศจรรย์เพียงนี้ ไฉนต้องอยากเวียนวัฏหวนคืนด้วย?
“ช่างน่าสนใจจริง ๆ ที่เจ้าเปิดมุมหนึ่งแห่งโชคชะตา และให้เราสองได้พบกันระหว่างช่วงเวียนวัฏ”
ร่างพร่ามัวนั้นกล่าวขึ้น วาจากระจ่างราวระฆังยามเช้าและเสียงกลองยามเย็น เคลื่อนคล้อยแว่วผ่านธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา
“แม้ว่าท้ายที่สุดมันจะเป็นเพียงมุมหนึ่งแห่งชะตา หาใช่ภาพรวมทั้งหมดไม่ แต่ปริศนาของมันก็เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นไปได้อันน่าตื่นตา”
“ใช้โอกาสนี้ และให้ข้าผู้ริเริ่มภารตะแห่งการเวียนวัฏช่วยเจ้าเถิด”
หัวใจของซูอี้ตะลึงอึ้ง และเป็นตามคาด ผู้ที่ก้าวเดินบนธารแห่งโชคชะตา ยืนยงชั่วนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในอดีตชาติของเขาจริง ๆ!
“เจ้า… เป็นผู้ใดกันแน่?”
ซูอี้เมินคำว่า ‘ช่วยเหลือ’ จากปากอีกฝ่ายไป
เขาอยากรู้ที่มาของร่างนี้มากกว่า
ร่างพร่ามัวนั้นส่ายหน้าน้อย ๆ “ในภายหน้า เมื่อเจ้ามีอำนาจเหนือล้ำกว่าข้า เจ้าย่อมได้รู้ทุกสิ่งเอง”
ซูอี้ “…”
จากนั้น เขาก็เห็นว่าร่างลวงตานั้นยกมือขวาขึ้น และล้วงหยิบหนึ่งเกลียวคลื่นออกมาจากธารแห่งชะตาอันเชี่ยวกราก
เกลียวคลื่นนั้นแปรเปลี่ยนกลายเป็นกลุ่มก้อนแสงสว่างอย่างกะทันหัน
“มหาวิถีนี่… อืม…”
เมื่อร่างพร่ามัวกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็พลันลากเสียงยาว
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวว่า “เรียกมันว่า ‘เวิ้งลึกล้ำ’ แล้วกัน มันสามารถทำให้เจ้าตัดผลกรรม ห้ามชะตา เป็นเอกเทศจากฟ้าดินได้ อำนาจของมันไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ยามเจ้าก้าวสู่มหาวิถีถัดไป เจ้าจะสามารถสร้างภาวะหัวใจวิถี ‘สุดเสรี’ ปลดเปลื้องตนเป็นอิสระจากตรวนผลกรรมการเวียนวัฏต่าง ๆ ได้”
ซูอี้ “?”
กฎมหาวิถีแบบนี้ยังเรียกไม่แข็งแกร่งอีกหรือ!?
ตัดผลกรรม ห้ามชะตา!
แค่คิดก็ให้ความรู้สึกราวกับเป็นสิ่งต้องห้ามแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘การเป็นเอกเทศจากฟ้าดิน’ และมิถูกผลกรรมการเวียนวัฏพันผูกอีก!
มหาวิถีเช่นนี้เหลือเชื่อโดยแท้
ด้วยการสืบทอดความรู้ความเข้าใจมาจากทัศนาจารย์ ทำให้เขาได้ตระหนักว่ากฎเต๋าซึ่งถูกตัวตนพร่ามัวนี้ตั้งชื่อว่า ‘เวิ้งลึกล้ำ’ ต้องเป็นเคล็ดวิชาอันร้ายกาจน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง!
“อย่าห่วงเลย ข้าไม่ช่วยปลูกต้นกล้าหรอก วิถีของเจ้าน่าสนใจยามไม่เป็นที่รู้จัก หากทุกโชคชะตาและวิถีถูกกำหนดไว้หมดสิ้น แล้วไยข้าต้องเวียนวัฏเกิดใหม่ด้วย?”
ร่างเลือนรางที่อยู่บนธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตากล่าวพลางหัวเราะ เสริมให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายดูสง่าผ่าเผยอย่างมิอาจอธิบายได้
ร่างเลือนรางดูจะเข้าใจความหมายของวาจาซูอี้ในทันที และกล่าวอย่างแฝงนัย “เลขเก้าคือจุดสูงสุด ยามข้าเวียนวัฏเกิดใหม่ ข้าเริ่มเดินทางค้นหาวิถีอันสูงกว่า และเจ้าคือผู้เดียวที่ได้พบเคล็ดเวียนวัฏสงสาร เหมือนเช่นเก้าเวียนสู่หนึ่ง ทุกสิ่งหวนสู่จุดเริ่มต้น วัฏสงสารก่อกำเนิดในปรภพ”
“ทั้งหมดนี้มิได้ถูกลิขิตแต่แรก แต่เป็นการชนกันของโอกาสและผลกรรม”
“และเหตุนี้เอง เจ้าจึงมีโอกาสได้เห็นมุมหนึ่งของชะตาระหว่างเวียนวัฏในวันนี้”
“แน่นอน หากเจ้าตกลงไป…”
กล่าวถึงยามนี้ ร่างพร่ามัวก็เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “ทุกสิ่งก็อาจจบสิ้นอวสาน”
เป็นวาจาที่แสนธรรมดา
ทว่าซูอี้กลับได้ยินความนัยอันผิดแปลก จนอดรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลังไม่ได้
ทุกสิ่งจบสิ้นอวสาน?
หรือว่าทุกความทรงจำ ประสบการณ์ในอดีตชาติ และทุกสิ่งที่ร่างเลือนรางนี้ครอบครองจะมลายสิ้นยามเขาดับสูญในชาตินี้?
“หากขอบเขตไม่ถึงขั้น คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ รับกฎเวิ้งลึกล้ำนี้ไปและตั้งใจฝึกฝนดาบเถอะ”
เขาโบกแขนเสื้อ แล้วกลุ่มแสงก็เคลื่อนผ่านนทีแห่งโชคชะตาเข้าหาซูอี้
ตู้ม!
ทันใดนั้น แก่นแท้มหาวิถีอันลึกล้ำไร้ใดเปรียบก็พุ่งเข้าใส่วิญญาณของซูอี้ และทุกภาพเบื้องหน้าก็พลันหายวับไป
ร่างของเขาเข้าสู่สภาวะการรับรู้อันน่าประหลาด หลงลืมตัวตนเสียสิ้น
ขณะเดียวกัน เหนือธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา ร่างพร่ามัวเหลือบมองโซ่เจ็ดสายบนดาบเก้าคุมขังและกล่าวกับตนเอง “ด้วยผลกรรมมากมายเพียงนี้ คงพอจะลับหัวใจแห่งดาบที่ข้าเฝ้ารอแสนนานได้…”
เสียงนั้นก้องสะท้อนเนิบช้า และธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาก็ค่อย ๆ เลือนหาย
ร่างเลือนรางหายไป
ดาบเก้าคุมขังเงียบงัน
ตรวนทั้งเจ็ดเส้นเองก็เช่นกัน
ราวไร้สิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อซูอี้ฟื้นขึ้นจากภวังค์โกลาหล จิตใจของเขาก็ฟื้นสติทีละน้อย
จากนั้น เขาก็พลันตระหนักถึงบางสิ่ง จากนั้นจึงนั่งสมาธิหยั่งห้วงความนึกคิด แต่ก็พบว่าทุกสิ่งกลับเป็นเช่นปกติ ราวมิเคยได้พานพบธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาและร่างพร่ามัวอันยืนยงชั่วกาลนั้น
“ดูเหมือนว่าข้าจะใช้แก่นแท้เอกกะเป็นกุญแจเปิดความลับที่ผนึกไว้ในดาบเก้าคุมขัง จึงเกิดนิมิตธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาเช่นที่ทัศนาจารย์เคยได้เห็น แต่เขากลับไม่เคยได้พบร่างลวงตานั่น เหตุผลนั้นเกี่ยวข้องกับเคล็ดเวียนวัฏสงสาร…”
“เพราะข้าบรรลุเคล็ดเวียนวัฏสงสาร จึงสามารถได้หยั่งถึงมุมหนึ่งแห่งโชคชะตา และพบกับร่างลวงตาแห่งอดีตชาติ!”
ซูอี้ครุ่นคิด “และร่างเลือนรางนั้นก็น่าจะเป็นชาติแรก หรือก็คือผู้ที่เลือกเวียนวัฏคนแรกสุด!”
“และเนื่องจากอดีตชาติอื่น ๆ ไม่ได้สำเร็จเคล็ดเวียนวัฏสงสารจึงมิอาจได้เห็นตัวข้าเอง… ในจุดเริ่มต้นแห่งธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตา!”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็เงียบไปชั่วขณะ
ครานี้ สิ่งที่เขาได้ประจักษ์จากดาบเก้าคุมขังได้นำมาซึ่งความตกตะลึงใหญ่หลวง
และสามารถคาดเดาสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย
แต่เรื่องเหล่านั้นช่างสูงส่งห่างไกลจากตัวเขาในขณะนี้มากเกินไป
และยามนี้เอง เขาจึงตระหนักว่าแก่นแท้เอกกะที่เขาบรรลุมาได้แปรเปลี่ยนเป็นแก่นแท้มหาวิถีลึกลับ
มหาวิถีนี้เจิดจรัสราวอรุณรุ่ง กว้างไกลไพศาลดุจทางช้างเผือกบนสวรรค์ชั้นเก้า โบราณดั้งเดิมดุจฮุ่นตุ้นแรกกำเนิด เป็นสีฟ้าครามประหนึ่งสุดยอดนภากาศแรกวสันต์ กระจ่างใสสูงส่งไร้มลทินด่างพร้อย
เมื่อลองสัมผัสก็สามารถรับรู้ถึงความพิศวงลึกลับ เปี่ยมเสน่ห์เหลือล้น
ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับแก่นแท้มหาวิถีนี้ผุดขึ้นมาในใจของซูอี้
ความพิศวงในความลึกลับ ประตูแห่งปริศนาทั้งมวล
และมหาวิถีนามว่า ‘เวิ้งลึกล้ำ’ นี้เป็นดั่งที่มาแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งมวล ราวกับจุดสูงสุดแห่งปริศนา!
สิ่งที่ทำให้ซูอี้แปลกใจที่สุดคือ กฎเวิ้งลึกล้ำนั้นยากเข้าใจเสียยิ่งกว่าเคล็ดเวียนวัฏสงสารเสียอีก!
ต้องทราบว่าแต่แรกเดิมที เขาต้องทุ่มเทบ่มเพาะอย่างมาก ณ ที่มาแห่งภูมิมืดมิด ทว่ากลับสามารถทำความเข้าใจเคล็ดเวียนวัฏสงสารได้เพียงน้อยนิด และยังอยู่เพียงขั้นตอนของผู้เริ่มรู้จักเท่านั้น
ทว่าแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำในยามนี้เป็นเพียงกลุ่มไอจาง ๆ ที่อ่อนแออย่างยิ่ง
ทว่ากลุ่มไอจาง ๆ นั่นกลับยากเสียยิ่งกว่าการเวียนวัฏ!
ซูอี้ยังคงไร้วาจาไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจว่าการที่ร่างเลือนรางได้ถ่ายทอดเคล็ดเวิ้งลึกล้ำให้แก่เขา จุดหมายสูงสุดนั้นก็คือเพื่อสร้างภาวะหัวใจวิถีสุดเสรียามก้าวข้ามสู่วิถีถัดไป เพื่อให้ตัวเขามิต้องถูกพันธนาการโดยผลกรรมเวียนวัฏ
กล่าวก็คือ หากแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำมิแข็งแกร่งพอ งั้นมันจะทำลายโซ่ตรวนแห่งกรรมอดีตชาติได้เช่นไร?
ตู้ม!
ซูอี้ใช้ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ และโคจรด้วยแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำ
ผลก็คือก่อเกิดเป็นภาพอันน่าอัศจรรย์ ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ครวญดังลั่น คมดาบสั่นสะท้านราวมิอาจทนต่อแรงกดดันของมหาวิถีนั้นได้!
ซูอี้หยุดโดยไร้ลังเล และมิได้ใช้มันอีก
หาไม่ ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์จะเสียหาย!
“ว่าแล้วเชียว แก่นแท้เวิ้งลึกล้ำนี้หาได้ธรรมดาไม่ มันอยู่เหนือกฎเวิ้งดาราอย่างกฎเกณฑ์วอนสวรรค์และกฎวิเวกดาราไปไกลโข ทั้งยังรับมือได้ยากเพราะมันทรงพลังยิ่งกว่ากฎดาราจักรเยี่ยงกฎอนันตกาลจรัสแสงเสียอีก”
ยามนี้เมื่อเขามีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ของทัศนาจารย์ เขาย่อมสามารถตัดสินระดับของกฎเวิ้งลึกล้ำโดยคร่าว ๆ ได้ ซึ่งอยู่เหนือความคาดคิดโดยสิ้นเชิง
“โชคร้ายที่มันเข้าใจได้ยากเกินไป…”
ซูอี้ครวญด้วยความเสียดายเล็กน้อย
เคล็ดเวียนวัฏสงสารทำให้เขารู้สึกไม่อาจเข้าใจและขัดเกลาวิชาได้ยากยิ่ง และยามนี้ยังมีแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำปรากฏเพิ่มขึ้นมาอีก จึงคาดได้ว่าภายหน้า เส้นทางมหาวิถีของเขาต้องใช้เวลาและความพยายามในการย่อยสองแก่นแท้นี้มากขึ้นทีละน้อย
“กระทั่งการฝึกฝนยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลางแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นของแถม”
ไม่นานนัก ซูอี้ก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในการฝึกฝน และยามนั้นเอง เขาจึงตระหนักว่าสภาวะรู้แจ้งอันแปลกประหลาดเมื่อครู่ได้ผลักการฝึกฝนของเขาให้พัฒนาไปสู่ระดับใหม่อย่างก้าวกระโดด!
ทว่าความรู้ของทัศนาจารย์ทำให้เขาสนใจการเปลี่ยนแปลงการฝึกฝนนี้เพียงเล็กน้อย
เพราะถึงอย่างไรเขาก็อยู่เพียงขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลางเท่านั้น
เหนือจากนี้ยังมีไตรภพสู่สวรรค์อยู่!
“แต่ไม่รู้เลยว่าเราเก็บตัวไปนานเพียงไร…”
ขณะคิดเช่นนั้น ซูอี้ก็ลุกขึ้นเดินไปข้างนอกถ้ำพำนัก
สายลมโชยอ่อนโยน ป่าไผ่ไหวเอน
ริมตลิ่งข้างธารสีคราม จิ่งหังนั่งขัดสมาธิ ชี้นำการฝึกฝนของหยวนเหิง อิงเชวีย เก๋อเฉียนและคนอื่น ๆ อย่างอดทน ปลดเปลื้องความสับสนเคลือบแคลงของทุกคน
และเหนือธารคราม จิ่นขุยกำลังล่องเรือบงกช พาหนิงซือฮวาและฉาจิ่นล่องนที เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังแว่วเป็นครั้งคราว
เหวินหลิงเสวี่ยและชิงหว่านตกปลาอยู่ข้างตลิ่ง กระซิบกระซาบคุยกัน
บนผาห่างออกไป หวังเชวี่ย เย่ลั่ว ไป๋อี้และเสวียนหนิงกำลังพูดคุยเรื่องซึ่งเกิดขึ้นในมหาแดนดินช่วงนี้
ทุกสิ่งดูสงบสุขราบรื่น
“ท่านอาจารย์เก็บตัวไปครึ่งปีแล้ว จากสถานการณ์ช่วงสั้น ๆ นี้ เกรงว่าท่านอาจารย์คงมิออกมาอีก”
หวังเชวี่ยยกถ้วยชาจิบน้อย ๆ
“ข้าไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นคือผู้ใด นางให้ความรู้สึกว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวตนบรรพกาลในขอบเขตมหาจักรพรรดิทั่วโลกหล้าเสียอีก”
เสวียนหนิงโอดครวญ
“ใช่ ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น”
ไป๋อี้พยักหน้าเห็นด้วย
“พวกเจ้าพูดถึงใครกัน?”
ทันใดนั้น เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ท่านอาจารย์ออกจากการเก็บตัวแล้วหรือ?
พวกเย่ลั่วมองขึ้นมา และเมื่อพบร่างอันคุ้นเคยชัดเจนถนัดตา พวกเขาล้วนแต่ตะลึงอึ้ง แทบมิอาจเชื่อสายตาตนลง
………………..