บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1173: สองวิถีเป็นไปได้ แจกแจงทีละหนึ่ง
ตอนที่ 1173: สองวิถีเป็นไปได้ แจกแจงทีละหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่าน…”
หวังเชวี่ยงุนงงเล็กน้อย มิอาจทราบได้ว่าควรบรรยายเช่นไร
รูปลักษณ์อาจารย์ของเขาหาเปลี่ยนแปลงไม่ ทว่าการวางตนและเสน่ห์ของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปมากจนน่าทึ่ง
อาจารย์ในกาลก่อนนั้นเฉยเมยสุขุม แม้ท้องนภาจะถล่มร่วงก็หาเปลี่ยนสีหน้าไม่
ทว่าอาจารย์ในยามนี้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเป็นอิสรเสรี ทั้งที่อยู่ตรงหน้าเขาแท้ ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่งเกินเอื้อมถึง
ยิ่งกว่านั้น ยามเผชิญหน้ากัน ทั้งสภาพจิตใจและวิญญาณล้วนรู้สึกหดหู่อึดอัดกดดัน
เย่ลั่ว เสวียนหนิงและไป๋อี้ต่างรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน พวกเขาจึงตกใจเช่นกัน
ผ่านไปเพียงครึ่งปี เกิดสิ่งใดขึ้นกับท่านอาจารย์กัน?
“อืม ข้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย”
หลังหลอมรวมกรรมวิถีอดีตชาติของทัศนาจารย์ เขาก็ได้ตระหนักถึงแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำ และการฝึกฝนเองก็เคลื่อนสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลาง บรรยากาศทั่วร่างมีหรือจะมิผันแปร?
ยิ่งกว่านั้น ด้วยทัศนวิสัย ความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ยังแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ สภาพจิตใจของซูอี้จึงเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบ!
ทว่า…
อึดใจต่อมา จิตใจของซูอี้ก็เคลื่อนขยับ ปราณถูกสะกดไว้อย่างเงียบเชียบราวคืนสู่สามัญ มิอาจหยั่งได้
เขาพลันดูไร้จุดโดดเด่น
กระทั่งตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิยังมิสามารถสัมผัสได้อย่างละเอียด ไม่อาจตรวจจับได้ว่าชายหนุ่มผู้อายุเพียงยี่สิบเศษผู้นี้เป็นตัวตนร้ายกาจเพียงไร
เมื่อหวังเชวี่ยสังเกตเห็นภาพนี้ เขาก็อดตื่นตะลึงในใจอีกหนมิได้
การควบคุมพลังมหาวิถีของท่านอาจารย์ขึ้นสู่จุดอันน่าเหลือเชื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถทำทุกสิ่งตามปรารถนา ไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ!
“ว่าเช่นไร รีบตอบคำถามข้ามา”
ซูอี้ย้ำเตือนอย่างโกรธเคือง
ปรากฏว่าเมื่อสามเดือนก่อน สตรีลึกลับผู้หนึ่งได้เดินทางมาเยือน กล่าวว่ามาเยือนอย่างเป็นมิตร หวังจะได้พบซูอี้
เมื่อรู้ว่าซูอี้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ สตรีลึกลับก็มิได้จากไป แต่ยืนกรานจะรออยู่หน้าถ้ำเสวียนจวิน
จนยามนี้ก็ยังไม่ได้ไปไหน
หวังเชวี่ยรีบกล่าว “ท่านอาจารย์ เราล้วนสงสัยว่าสตรีลึกลับผู้นี้น่าจะมาจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว และน่าจะเป็นตัวตนระดับราชันแห่งภูมิขอรับ!”
ซูอี้ประหลาดใจ
เดิมเขาคิดว่าเป็นผู้มาเยือนจากพิภพยมราชฝังวิถีเสียอีก
ทว่าดูเหมือนจะมิใช่เสียแล้ว
“ปล่อยคนผู้นั้นไว้”
ซูอี้ออกคำสั่ง “หวังเชวี่ย เจ้าไปรวบรวมคนอื่น ๆ มา เราจะไปกินเลี้ยงที่หอลำนำหงส์ จำไว้ว่าบอกศิษย์พี่หญิงจิ่นขุยให้ตกปลาหลี่หนวดมังกรทองออกมาต้มซุปหนึ่งตัวด้วย”
“แปลกจริง สตรีผู้นี้น่าสงสัยจะเป็นราชันแห่งภูมิ รออยู่หน้าถ้ำเสวียนจวินแท้ ๆ แต่ท่านอาจารย์กลับดูหายี่หระไม่”
เย่ลั่วงุนงงเล็กน้อย
“ใช่ว่าท่านอาจารย์ไม่เคยสังหารตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเสียหน่อย ไยต้องสนใจด้วย? คนตาบอดยังเห็นเลยว่าสตรีผู้นี้ต้องมาร้องขอบางสิ่ง หาไม่ มีหรือนางจะยอมรออยู่หน้าถ้ำ?”
ไป๋อี้กล่าว “อีกอย่าง จากที่ท่านอาจารย์กล่าวแต่แรก หากตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิมิกดการฝึกฝนของตนไว้ ร่างจริงของเขาจะมิอาจเข้าสู่มหาแดนดินได้เลย หมายความว่าสตรีผู้นี้…”
โดยมิรีรอให้กล่าวจบ เสวียนหนิงก็โพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ “ศิษย์น้องแปด ที่แท้เจ้าก็วิเคราะห์เรื่องเช่นนี้ได้ด้วย ไม่ธรรมดานะนี่”
ป้าบ!
ไป๋อี้ฟาดมือที่บ่าของเสวียนหนิงอย่างแรง พลางกล่าวว่า “อาจารย์บอกว่านิสัยของข้าดุจกระดาษขาว แต่เขาไม่ได้บอกว่าข้าโง่นี่!”
“เอาล่ะ ไปเตรียมงานเลี้ยงได้แล้ว มิเห็นหรือว่าท่านอาจารย์กำลังอารมณ์ดี? ข้าว่าเกรงว่าเราคงได้ดื่มจนเมาเละแน่แท้”
หวังเชวี่ยเอ่ยเร่ง
ทันใดนั้น เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องก็เริ่มง่วนกับงาน
สำหรับผู้ฝึกตน แม้จะอยู่ในสำนักเดียวกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาหากมิได้พานพบกันนับพันปี
เนื่องจากพอเก็บตัวฝึกฝน บ่อยครั้งจะลากยาวนับพันปี
และยิ่งเก็บตัวยาวนาน ยิ่งพานพบคอขวดใหญ่หลวงบนเส้นทาง
ดังนั้นยิ่งฝึกฝนสูง ความรู้สึกเดียวดายมิอาจข้องแวะกับโลกหล้าพลันเกิดขึ้น
และซูอี้ก็เชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นพิเศษ
วิถีของเขาถูกเวียนฝึกใหม่จากการเวียนวัฏ การเก็บตัวไตร่ตรองจึงมิใช้เวลามากนัก
ในงานเลี้ยง ทันใดนั้นชิงหว่านก็ลังเล และส่งกระแสเสียงปราณถึงซูอี้อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ปรมาจารย์เซียน ในช่วงนี้ หว่านเอ๋อร์มีความรู้สึกกระสับกระส่ายในใจเสมอมา ราวกับ… จะมีบางอย่างเกิดขึ้นกระนั้น”
ซูอี้ผงะไป เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าพอเข้าใจแล้ว คืนนี้มาห้องข้า ข้าจะช่วยเจ้าตรวจสอบ”
หลังจากตะลึงไปชั่วครู่ ใบหน้างดงามน่ารักก็แดงก่ำ ดวงตาคู่งามที่มักจะดูล้ำลึกเสมอ กลับเขินอายกระเง้ากระงอด กระทั่งใบหูของนางยังเป็นสีชมพูเรื่อ
ตกดึก
บนเตียง
แสงสว่างดุจเมล็ดทั่ว ค่ำคืนมืดมิด สองร่างกระหวัดเกี่ยวบนเตียงด้วยท่วงท่าต่าง ๆ
เสียงหอบหายใจแผ่วเบาราวเสียงกระซิบดังเป็นครั้งคราว บางคราถี่กระชั้น บางครั้งทุ้มต่ำ บ้างเจือความกระเส่าตื่นเต้น…
ไร้วายุพัดผ่านห้อง ทว่าผ้าปูเตียงกลับโยกคลอน
แสงเงาเคลื่อนสะท้าน และเตียงนอนก็ดูจะสั่นสะเทือนตาม
“ปรมาจารย์เซียน หา… พบแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
เสียงเล็กดังแผ่วเบา ด้วยพยายามสะกดกลั้นเสียงหอบกระเส่านั้น
“เพิ่งผ่านไปเพียงไรเอง ทนต่อไปก่อนนะ”
เสียงพึมพำดังขึ้นราวออกมาจากลำคอ
“อื้อ…”
…
รัตติกาลดุจม่านหมึก ดวงดาววูบกะพริบเล็กน้อย จันทราแขวนสูง
ร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในป่าสน
สายธารด้านข้างพลิ้วกระฉอก
“หือ?”
ทันใดนั้น ร่างนั้นก็สั่นสะท้านรุนแรงราวถูกสายฟ้าฟาด ใบหน้างดงามราวหญิงสาวในภาพวาดพลันฉายเค้าความสับสน เรียวคิ้วงามขมวดน้อย ๆ อย่างมิอาจช่วย
สตรีผู้นี้คือเทียนฉี!
นางแปรเปลี่ยนอาภรณ์ ถอดมงกุฎหยกที่มักสวมออก และเปลี่ยนไปสวมชุดกระโปรงเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน เรือนผมสีดำขลับมัดลวก ๆ ไว้ด้านหลัง ใบหน้าน้อยดูอ่อนหวานจิ้มลิ้ม
ทว่ายามนี้ ร่องรอยความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้า ราวได้ตระหนักถึงบางสิ่ง ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง “หรือว่า… ซูเสวียนจวินเขา… เขากับอีกครึ่งหนึ่งของข้า… จะ…”
หัวใจของนางสั่นสะท้านมิสบายใจราวกับมีมดไต่อยู่ในผิวกาย
ทันใดนั้น…
ริมฝีปากแดงสดของนางพลันแยกเขี้ยว พ่นลมแรงจากนาสิก ร่างของนางราวถูกกระตุ้นด้วยอสนีบาต ลุกขึ้นจากโขดหิน หน้าอกสะท้านขึ้นลงรุนแรง
“น่ารังเกียจนัก!!!”
เทียนฉีพอตัดสินได้แล้วว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นในถ้ำเสวียนจวิน และอดบันดาลโทสะมิได้ แววตาของนางเปี่ยมความละอายและฉุนโกรธ มือดุจหยกคู่นั้นกำเข้าหากันอย่างเงียบ ๆ
คิดให้หัวแตก นางก็มิคาดว่าจะมาสัมผัสถึงที่อยู่ของ ‘อีกครึ่งหนึ่ง’ ของนางได้นอกถ้ำเสวียนจวิน และเมื่อพยายามปลุกอีกฝ่ายขึ้นเพื่อพานพบหน้า นางจะได้รับรู้เรื่องน่าอายเช่นนี้
นี่… ทำให้นางสับสนยิ่งนัก
เพราะถึงอย่างไร นับแต่ฝึกฝนมา ไม่ว่าการฝึกฝนของนางจะสูงส่งเพียงไร อย่าว่าแต่ทำเรื่องเช่นนี้เลย กระทั่งแตะต้องชายใดยังมิเคยทำ!
ทว่ายามนี้ เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของนางมีการสัมผัสแนบชิด ร่างของเทียนฉีก็พลันทึ่มทื่อ…
ซูเสวียนจวิน… ไยจึงเป็นเช่นนี้!?
“เทียนฉีน้อย เกิดอันใดขึ้นกับเจ้าหรือ?”
เสียงงุนงงของจิ่วเย่าดังออกมาจากในกาน้ำสำริด
เทียนฉีสะดุ้ง พยายามสงบใจตน
เรื่องน่าอายเช่นนี้ หากท่านอาจิ่วเย่ารู้เข้าคงไม่ต่างจากหายนะทำลายชีพ!
“ไม่สิ ดูเหมือนสภาพจิตใจของเจ้าจะผิดปกตินะ! หรือ…”
จิ่วเย่ากำลังจะกล่าวบางอย่าง
เปรี้ยง!
เทียนฉีกระแทกฝ่ามือลงบนกาน้ำสำริด ผนึกสมบัตินี้เพื่อหยุดการรู้เห็นใด ๆ ของจิ่วเย่าลงทันที
หลังทำเสร็จ เทียนฉีก็ลอบถอนใจโล่งอก
แต่ไม่นานนัก ร่างบอบบางของนางก็ชะงักทื่อ ความรู้สึกราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านกระตุ้นให้ร่างอรชรสะท้านเล็กน้อย ผิวกายละเอียดดุจหิมะเรื่อสีชมพู ชั้นเหงื่อผุดบาง เทียนฉีอดอุทานออกมามิได้ แสนแค้นเคืองจนแทบพ่นไฟจากดวงตา
ฟันขบเข้าหากันแทบแหลก
จ๋อม!
แต่กาลต่อมา เทียนฉีก็ต้องพบว่าความรู้สึกอัปยศสมควรตายนี้ก็ประดังเข้ามาเป็นระลอกเฉกเช่นธารวารีนี้
ต่อให้ทิ้งประสาทสัมผัสทั้งหกและตัดการรับรู้ ก็มิอาจสลัดหลุด!
“ซูเสวียนจวิน! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นทัศนาจารย์หรือไม่ ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องฆ่าเจ้าให้ได้!!!”
หลังจากพยายามฝืนเสี้ยวชั่วยาม เทียนฉีก็รู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางอ่อนยวบสั่นระริก อยากบุกเข้าไปคิดบัญชีกับซูเสวียนจวินในถ้ำเสวียนจวินเสียยามนี้
ครึ่งชั่วยามต่อมา
“ไฉนยังมิจบอีกเล่า? บ้าเอ๊ย!!!”
เทียนฉีโกรธเสียจนแทบสิ้นสติ
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป
“เขาต้องจงใจหยามเกียรติข้าอยู่แน่ ต้องเป็นเช่นนั้น!!”
เทียนฉีขดตัวม้วน ณ ก้นธาร ร่างบอบบางร้อนระอุของนางบิดเร่าอย่างว้าวุ่น ร่างรู้สึกราวแหลกสลาย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร
ดวงตาของเทียนฉีเบิกกว้างกะทันหัน หลังเท้าจิกม้วนรุนแรง นิ้วเท้าเกร็งบิด ร่างของนางสั่นสะท้านราวมัจฉาเกยฝั่ง ดิ้นเร่าขาดน้ำ
ครู่ต่อมา ทุกสิ่งก็เงียบสงบ
ดวงตาของเทียนฉีเหม่อลอย ใบหน้างดงามดูไม่แน่ใจ วิญญาณหลุดลอย
ผ่านไปเนิ่นนาน นางก็คืนสติทีละน้อย และฟาดก้นธารอย่างเดือดดาล
ตู้ม!
ทั้งธารระเบิดแหลก ละอองน้ำสาดกระจาย
ในที่สุด เมื่อเทียนฉีออกมาจากธารน้ำ นางก็สงบสติลงได้เล็กน้อย
เพียงแค่ว่า ใบหน้างดงามของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาร้ายกาจ
แสงทองรุ่งอรุณแหวกผ่านรัตติกาล ส่องหล้าสว่างไสว
แสงจาง ๆ พร่างพรมลงในป่าสน อาบร่างของผู้ที่อยู่ในนั้น
นางเงยหน้ามองฟ้า และจึงตระหนักว่าที่แท้… ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน…
“ท่านอาจิ่วเย่า ข้าอยากฆ่าซูเสวียนจวิน!”
เทียนฉีนำกาน้ำสำริดออกมา กล่าวทีละคำชัดเจนด้วยสีหน้าสุขุม “อย่าได้เกลี้ยกล่อมข้า ข้าแค่อยากถามว่าท่านช่วยข้าได้หรือไม่”
กาน้ำสำริดเงียบสงัด
ครู่ต่อมา เสียงไอแห้ง ๆ ของจิ่วเย่าก็ดังออกมา “เทียนฉีน้อย เจ้าบอกเหตุผลกับข้าก่อนได้หรือไม่?”
ร่างอรชรของเทียนฉีชะงักค้าง ใบหน้างดงามคล้ำเขียวขาวซีด กัดฟันกล่าวขึ้น “ไร้เหตุผล!”
จิ่วเย่า “?”
ครู่ต่อมา เขาก็แย้มยิ้มขมขื่น “แม่หนู หากเจ้าอยากให้ข้าตาย ก็ทำเถอะ!”
เทียนฉีตะลึงอึ้ง ฟาดกาน้ำสำริดและกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้ามองท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ที่รักและเชื่อใจที่สุด แต่ท่าน… ไฉนจึงไร้สันหลังเพียงนี้!!!”
ทว่ายามนี้เอง เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น “เขามิได้ไร้สังหลัง แต่ขอเพียงเขาทำเช่นนั้น เขาจะตาย”
………………..