บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1174: ผลกรรม
ตอนที่ 1174: ผลกรรม
สีหน้าของเทียนฉีแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะมองตามต้นเสียง
นางพบว่ามีร่างสูงร่างหนึ่งเดินมาจากไกล ๆ สองมือไพล่หลัง ก้าวย่างลอยชายทว่าดูสง่าผ่าเผย
ทว่าบรรยากาศรอบตัวเขากลับธรรมดาเยี่ยงหยกบริสุทธิ์ มีชีวิตชีวาไร้แรงกดดัน
นี่ทำให้เทียนฉีรู้สึกยากหยั่งถึงโดยช่วยมิได้
ทว่าเมื่อนึกถึง ‘สถานการณ์’ ที่นางประสบเมื่อคืน หัวใจของนางก็อดละอายมิได้ ขบเขี้ยวขาวกระจ่างแน่น
ดวงตาคู่งามพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย
“ยายหนู! อย่าลืมที่ข้าพร่ำบอกมาตลอดทางเล่า!”
เสียงเตือนของจิ่วเย่าดังออกมาจากกาน้ำสำริด มันฟังดูจริงจัง กระทั่ง… แฝงความเสียงหลงตื่นกลัว
ดวงตาคู่งามของเทียนฉีหรี่ลงน้อย ๆ และสงบวาจาเงียบไป
เขาไม่อาจลืมได้ว่ายามก่อน สมัยที่เขาอยู่ในถ้ำอุกกาบาต ณ มหาทวีปคังชิง สตรีตรงหน้าผู้นี้เคยปรากฏขึ้นจากเงาจันทร์สีเลือด เพื่อพยายามพาตัวชิงหว่านไป
เทียนฉีเม้มปากและเมินเขา
สภาพอารมณ์ของนางแปรปรวน เกรงว่าคงหลุดการควบคุมทันทีที่อ้าปากพูดแน่แท้
“แล้วก็เจ้า”
ซูอี้หันไปกล่าวกับกาน้ำสำริด “มิได้พบกันหลายปี ไยจึงเอาแต่ซ่อนตัวใน ‘กาน้ำวิถีแปรสุญตา’ เล็กจ้อยนี่เล่า? พบกันล่าสุด เจ้าช่างแสนหาญกล้า ลงมือกับข้าด้วยนี่”
กาน้ำสำริดสั่นสะท้านรุนแรงราวกำลังหวาดกลัว
“ใต้เท้าทัศนาจารย์เข้าใจผิดแล้วขอรับ!!”
พร้อมกับเสียงลนลาน กลุ่มควันสีเขียวพุ่งออกมาจากกาน้ำสำริด แปรเปลี่ยนเป็นร่างสูงใหญ่สามจั้ง
เขาสวมชุดเกราะสีคราม ถือหอกเงิน ท่าทางแกร่งกล้าห้าวหาญ
ทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้น ปราณรอบร่างก็ทำให้วาตะเมฆาแปรสี อากาศรวนเร
เพียงแต่ว่า ครานี้ทันทีที่เขาปรากฏกาย เขาก็เก็บเขี้ยวเล็บ เก็บหอกศึกในมือ และคำนับต่ำ ๆ แก่ซูอี้ด้วยท่าทีบริสุทธิ์ใจ
จากนั้นก็กล่าวว่า “ใต้เท้าหาทราบไม่ว่ายามนั้นพวกข้ามิได้ทราบว่าคู่กรณีคือผู้ใด จึงลงมือกระทำการโง่เง่า และหลังจบเหตุคราก่อนก็แสนรวดร้าวกินไม่อิ่มนอนมิได้ มิอาจมาขอขมาใต้เท้าแต่แรก…”
เขามีความสูงราวสามจั้ง บรรยากาศรอบกายน่าสะพรึงกลัว
ทว่ายามนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ เขากลับดูเหมือนอยากฝังศีรษะลงพื้นนัก มีท่าทีถ่อมตนสำนึกผิด
เทียนฉีอดตกตะลึงมิได้ ดวงตาเบิกกว้าง นี่… ดูจะจริงใจมากไปหน่อยกระมัง!?
ก่อนหน้านี้ นางสังหรณ์ว่าท่านอาจิ่วเย่าคงรู้สึกกดดันเมื่อได้พบกับร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ แต่มิคาดเลยว่าเขาจะกลัวถึงขนาดนี้!
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก ข้าสงสัยนัก ไยเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งภูมิดาราก่ำโคเมท*[1] จึงไม่มีกระทั่งร่างวิถี?”
ภูมิดาราก่ำโคเมท เป็นหนึ่งในภูมิดาราสูงสุดแห่งภูมิร้อยมหาดาราในส่วนลึกของจักรวาลพร่างดาว
จิ่วเย่าคือเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งภูมิดารานี้ ยามสมบูรณ์พร้อม เขามีการฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัด และถูกถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดคนหนึ่งในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
“ตอบใต้เท้าตามจริง ร่างวิถีของผู้น้อยถูกทำลายไปในแดนต้องห้ามดาราหยกขอรับ”
จิ่วเย่าตอบอย่างนอบน้อม
“เป็นเช่นนี้เอง”
ซูอี้พยักหน้า
‘แดนต้องห้ามดาราหยก’ คือหนึ่งในเจ็ดแดนต้องห้ามอันลือนามในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว แม้ยามตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดไปเยือน ไปสิบก็รอดเพียงหนึ่ง
“เจ้ามีความสัมพันธ์กับนางอย่างไร?”
ซูอี้เหลือบมองเทียนฉี
จิ่วเย่าตอบโดยไร้ลังเล
“ครั้งหนึ่ง ข้าเคยติดหนี้บุญคุณเจ้าหอเก้าสวรรค์ และรับปากจะคอยดูแลเทียนฉีน้อยขอรับ”
ซูอี้ถอนใจกล่าว “งั้นเจ้ารู้ตัวตนและที่มาของนางหรือไม่?”
จิ่วเย่าเมินนางไปและกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า เทียนฉีน้อยมีฐานะพิเศษ ทั่วหอเก้าสวรรค์ นางเป็นรองเพียงเจ้าหอเท่านั้นขอรับ”
เทียนฉีน้อย “?”
ในใจนางรู้สึกคับแค้น อดมองการกระทำของจิ่วเย่ายามนี้เหมือนทรยศกันมิได้!
พึ่งพาไม่ได้เลย!
นางกระทั่งสงสัยว่าหากซูเสวียนจวินขอให้จิ่วเย่าฆ่านางซะ อีกฝ่ายคงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว!
ซูอี้ออกคำสั่ง “อืม เจ้าถอยไปเถอะ”
“ขอรับ!”
จิ่วเย่าโล่งอก ก้มหัวถอยออกไป
“เจ้ามาหาข้าทำไมกัน?”
สายตาของซูอี้หันมองเทียนฉีอีกครั้ง สายตาดูละเอียดอ่อนเล็กน้อย
เมื่อถูกซูอี้จับจ้อง เทียนฉีก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักในชั่วขณะ นางอยากพุ่งเข้าไปตบตีคนผู้นี้ให้น่วมอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมก่อนสนทนาเหลือเกิน
ทว่าท้ายที่สุด นางก็ฝืนใจไว้และกล่าวเสียงแข็ง “ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะคืนชิงหว่านให้ข้าได้”
“เหตุผลเล่า?”
ซูอี้สนใจ
เทียนฉีกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยสายตาผู้อาวุโส มิเห็นหรือไรว่าข้าและชิงหว่านเดิมเป็นคนคนเดียวกัน? ข้ามาพานางไปย่อมถูกต้องแน่นอน”
ซูอี้ส่ายหน้า ก่อนกล่าวพร้อมกับยิ้ม “หว่านเอ๋อร์เป็นผู้หญิงของข้ามานานแล้ว ไม่ว่านางจะไปหนใด ข้าเท่านั้นที่ตัดสินใจได้”
วาจานั้นเฉื่อยชา ทว่ามิอาจกังขา
จิ่วเย่าอดถูมืออย่างตื่นเต้นมิได้ “เป็นมหามงคลจริงแท้! ไม่ว่าอย่างไร การเป็นที่ต้องตาของใต้เท้าย่อมเป็นลาภอันประเสริฐ แปดชาติภพมิอาจสะสมบุญสร้างได้!”
เทียนฉี “!!!
นางโกรธเสียจนแทบรอคว้าตัวจิ่วเย่ากลับมิไหว นอกจากจะไม่ช่วยนาง ยังไปช่วยผู้อื่นเล่นงานนางอีก!
“แล้วหากข้าต้องพาชิงหว่านไปให้ได้เล่า?”
เทียนฉีกล่าว
“เทียนฉีน้อย อย่าทำสิ่งที่โง่เขลานะ!”
โดยไม่รีรอให้ซูอี้พูด จิ่วเย่าก็อดกล่าวขึ้นมิได้ “ข้ามีเหตุผลมากมายจะสงสัยว่าอาจารย์ของเจ้ามองเจ้าเป็นตัวหมากมาแสนนาน และอยากจะโยนหินถามทาง คิดการอื่นในใจ! หาไม่ ไยเขาจึงส่งชิงหว่านมายังภูมิดาราฟ้าดินในกาลก่อนด้วย? เหตุใดชิงหว่านจึงมาปรากฏข้างกายใต้เท้าทัศนาจารย์? ในเรื่องเหล่านี้… ต้องมีบางอย่างที่เจ้าไม่รู้แน่แท้!”
เทียนฉี “…”
นางรู้แก่ใจเต็มเปี่ยมว่าไร้หนทางเจรจา
แค่จิ่วเย่าคนเดียวก็ไม่ยอมให้นางประชันกับร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์แล้ว!
“หากข้ารู้เช่นนี้ คงไม่พาท่านมากับข้าหรอก!”
เทียนฉีโกรธเสียจนแทบบ้า
“เจ้าเองก็สงสัยว่าเจ้าแก่ในหอเก้าสวรรค์หลอกใช้ข้าอยู่หรือ?”
“เรียนใต้เท้า เรื่องนี้เต็มไปด้วยความพิกล แม้จะมีสมองเพียงน้อยก็สามารถพบได้ว่ามีสิ่งผิดปกติขอรับ”
จิ่วเย่ารีบร้อนกล่าว
“ใช่แล้ว ทุกคนล้วนเห็นความประหลาด แล้วเจ้าเฒ่านั่นจะมิเห็นเชียวหรือ?”
ซูอี้กล่าว “แต่เขาก็ยังทำเช่นนี้ ดูเขาจะไม่กังวลว่าจะถูกข้าจับหางได้แม้แต่น้อย เกรงว่าคงมีความลับอื่นซุกซ่อนเป็นแน่”
จิ่วเย่ากล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ใต้เท้า ในความคิดข้า ทุกอย่างนี้ต้องเกี่ยวกับชีวิตของเทียนฉีน้อยแน่ขอรับ!”
ซูอี้กล่าว “ที่มาของนางไม่ธรรมดาจริง ๆ ข้าเคยตรวจพบว่ามีตราประทับอู่วิญญาณที่พิเศษยิ่งอยู่ในจิตวิญญาณของนาง ซึ่งเป็นตราพิเศษเฉพาะสำหรับทายาทเผ่าภูตปฐมสวรรค์เท่านั้นจะมีได้”
“เผ่าภูตปฐมสวรรค์!?”
จิ่วเย่ากล่าวด้วยความอึ้งตะลึง “ในจักรวาลพร่างดาวมีเพียงเผ่าภูตปฐมสวรรค์สองเผ่าซึ่งเป็นที่รู้จักในยามนี้ หนึ่งคือตระกูลซูแห่งเผ่าภูตเพลิงสวรรค์ และอีกหนึ่งคือตระกูลเฟิงแห่งเผ่าภูตหลวนคราม ทั้งสองล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ตระกูลโบราณอารักษ์วิถี’ อันลึกลับที่สุดในจักรดาราตงเสวียนขอรับ!”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
ตระกูลเจียงของชิงถัง ตระกูลจงของจงรั่วซีก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งในนั้น
ทว่า เนื่องจากตระกูลเจียงล่มสลายไปแสนนาน ตระกูลโบราณอารักษ์วิถีจึงเหลือเพียงหกตระกูลเท่านั้น
ในหมู่พวกเขา ตระกูลซูและตระกูลเฟิงล้วนมาจากเผ่าภูตปฐมสวรรค์ ฐานะสูงส่งเหนือใคร ที่มาลึกลับ
เมื่อได้ยินทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของนาง เทียนฉีก็ค่อย ๆ สงบท่าทีลง “ข้ามิได้มาจากตระกูลโบราณอารักษ์วิถีทั้งสอง”
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ “แน่นอนว่าไม่ ตราประทับอู่วิญญาณของเจ้าแตกต่างจากของเผ่าภูตปฐมสวรรค์ทั้งสอง ข้าสงสัยว่าเจ้าและตระกูลเบื้องหลังอาจไม่ได้มาจากจักรดาราตงเสวียนด้วยซ้ำ”
ม่านตาของเทียนฉีหดตัวเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ “นอกจักรดาราตงเสวียนยังมีจักรดาราอื่นอีกหรือ?”
“มีสิ”
ซูอี้พยักหน้า
จากความทรงจำของทัศนาจารย์ เขาได้เรียนรู้ว่านอกจากจักรดาราตงเสวียนยังมีจักรดาราอื่นอยู่
ทว่าจักรดาราตงเสวียนและจักรดาราอื่น ๆ นั้นถูกแยกจากกันโดยเขตแดนกั้นจักรดารา
ทว่าซูอี้มิได้อธิบายเรื่องเหล่านี้
เขาในยามนี้พอเดาได้แล้วว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์ต้องการทำสิ่งใด
ไอ้แก่นี่น่าจะอยากยัดผลกรรมอันมิอาจปฏิเสธได้ให้เขา!
ผลกรรมนี้เกี่ยวข้องกับที่มาของชิงหว่านและเทียนฉีน้อย
และอาจเกี่ยวข้องกับชาติที่เจ็ดของเขา ‘เสิ่นมู่’!
เพราะถึงอย่างไร ยามเขายังเป็นทัศนาจารย์ เจ้าหอเก้าสวรรค์ก็ปรามาสเขาซ้ำ ๆ เป็น ‘ผู้ทรยศรัก’
ไม่มีความเกลียดชังใดที่ไร้ต้นเหตุ
เมื่อเขาได้พบกับร่างเจตจำนงของทัศนาจารย์ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายก็เตือนเขาเช่นกันว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์ต้องสงสัยว่าจะรู้เรื่องที่เขาคือร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่
ดังนั้น การปรากฏตัวของชิงหว่านและเทียนฉีจึงสมเหตุสมผล
หากต้องการเข้าใจความลับการตายของเสิ่นมู่ ก็ต้องเริ่มจากหอเก้าสวรรค์!
กล่าวให้กระชับก็คือ ไม่ว่าจะเพื่อทำความเข้าใจการตายของเสิ่นมู่ หรือทำความเข้าใจภูมิหลังชีวิตของชิงหว่านและเทียนฉีก็ตาม ล้วนต้องเริ่มที่หอเก้าสวรรค์ทั้งสิ้น
และนี่ก็คือ ‘ผลกรรม’ ที่เจ้าหอเก้าสวรรค์ส่งให้เขา!
เหตุใดจึงทำเช่นนั้น?
ซูอี้หารู้ไม่ แต่เขารู้ว่าผลกรรมนี้น่าจะยุ่งยากไม่เบา!!
ยิ่งกว่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ปัจจุบันระหว่างเขาและชิงหว่าน ย่อมเป็นไปไม่ได้หากจะนิ่งดูดาย
และทั้งหมดนี้ เจ้าหอเก้าสวรรค์ต้องรู้กระจ่างเช่นกันแน่นอน
เช่นการปรากฏตัวของเทียนฉีในยามนี้ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นการ ‘โยนหินถามทาง’ ของเจ้าหอเก้าสวรรค์ หรือก็คือเพื่อสะกิดบอกเขาว่าได้เข้ามาพัวพันกับผลกรรมนี้แล้ว ต่อให้รับมิได้ก็ต้องรับ!
“อาจารย์เจ้านั้นช่างวางแผน และนานมาแล้ว เขาก็ใช้เจ้าเป็นหมากเพื่อเล่นงานข้า โดยมีกุญแจคือชิงหว่าน”
ซูอี้กล่าวกับเทียนฉีว่า “ยามนี้เขาทำสำเร็จแล้ว ส่วนความเป็นความตายตัวหมากเช่นพวกเจ้า เขาหาได้อาทรไม่ เพราะเขารู้ว่าหากข้าฆ่าเจ้า ข้าจะไม่อาจทนรับความผิดได้”
สีหน้าของเทียนฉีเปลี่ยนแปลงไปทันควัน ดูราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เขากล่าว “ท่านอาจารย์ของข้า… ไยต้องมาหมายหัวเจ้าด้วยเล่า?”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “ข้าเองก็อยากรู้นักว่าเหตุใดไอ้แก่นี่จึงมิกล้าสู้กับข้าในอดีตชาติ แต่กลับวางแผนใช้วิธีนี้มาลากข้าให้พัวพันผลกรรมด้วย”
กล่าวถึงยามนี้ ริมฝีปากของเขาก็ยกยิ้มเย็นชา “ยามข้าไปยังส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ข้าจะคิดบัญชีนี้กับเขา!”
[1] โคเมท คือ เป็นชื่อพลอยสีแดงเข้มในภาษาโบราณ โดยอ้างอิงตามราชบัณฑิต