บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1175: เขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ตอนที่ 1175: เขตต้องห้ามเซียนอับโชค
“หากว่าเช่นนั้น เจ้าหอเก้าสวรรค์ก็ชั่วร้ายจริงแท้!”
จิ่วเย่าตกตะลึง
เขาไม่อาจคาดคิดได้ว่าต้องอดทนและมองการณ์ไกลเพียงใด จึงสร้างแผนแยบยลแสนนานเช่นนี้ได้
และจุดประสงค์ก็เพื่อให้ทัศนาจารย์แบกรับผลกรรมหนึ่ง!
สีหน้างดงามของเทียนฉีซีดลงเล็กน้อย ใบหน้าเปี่ยมความประหลาดใจอันไร้ปิดบัง
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อว่าท่านอาจารย์จะทำเช่นนี้!”
เทียนฉีกล่าวชัดเจนทีละคำ
ทว่าวาจาของนางกลับรู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อย
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ เดี๋ยวก็รู้เอง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการถูกอาจารย์ของนางมองเป็นตัวหมากนั้น ทำให้นางมิอาจทำใจยอมรับได้ลง
เทียนฉีตะลึงเงียบไป
ครู่ต่อมา นางพลันหันหลังจากไป
“เทียนฉีน้อย เจ้าจะไปไหน?”
จิ่วเย่ารีบถาม
“กลับไปหาท่านอาจารย์น่ะสิ!”
เทียนฉีตอบกลับ
“นี่…”
จิ่วเย่าร้อนใจ “ยายหนูโง่ เจ้ากลับไป ได้เจ็บตัวเจ็บใจกันพอดี!”
“ไม่หรอก เจ้าแก่นั่นจะไม่ยอมให้นางเป็นอันใดไป หาไม่ ผลกรรมนี้จะจบสิ้นเสียเปล่า”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ
ซูอี้ “…”
เขาชี้ไปทางทิศที่จิ่วเย่าจากไป และกล่าวว่า “เจ้าเองก็ไปได้แล้ว”
“น้อมรับคำสั่งใต้เท้า! ข้าจะเฝ้ารอวันที่ใต้เท้าหวนคืนสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวขอรับ!”
จิ่วเย่าคำนับต่ำ ๆ ก่อนจะหันหลังจากไป
ทันทีที่เขาออกจากบริเวณถ้ำเสวียนจวิน เขาก็จ้ำอ้าวเผ่นหนีโดยไว ราวกับคนเร่ร่อนที่ต้องการหนีให้พ้นทะเลทราย
“โชคดีที่ทัศนาจารย์หาได้ลงมือกับข้าครานี้ไม่ หาไม่ เกรงว่าจิตวิญญาณข้าคงปลิดปลิวแน่แท้…”
จิ่วเย่าลอบขอบคุณโชค
ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่าตัวเขาเมื่อครู่ประหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด!
…
สำหรับเรื่องผลกรรมที่เจ้าหอเก้าสวรรค์ส่งมาให้เขาครานี้ ซูอี้หาได้กังวลใด ๆ ไม่
สำหรับเขาในยามนี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือพัฒนาการฝึกฝนโดยเร็วที่สุด
‘ดูเหมือนจะถึงเวลาไปเยือนเขตต้องห้ามเซียนอับโชคแล้ว’
ซูอี้ครุ่นคิด
ด้วยการฝึกฝนปัจจุบันของเขา หากเก็บตัวฝึก จะใช้เวลาแสนเนิ่นนานก่อนจะบรรลุสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลาย
เหตุผลเป็นเพราะสมบัติลับฟ้าดินที่เขามีได้เหือดแห้งสิ้นแล้ว ไม่ว่าจะใช้โอสถทิพย์มากมายเพียงใดก็หาช่วยการฝึกฝนของเขาไม่
และในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนั้น คาดว่าจะเป็นแหล่งที่มาแรกเริ่มของภูมิดาราฟ้าดินอยู่เช่นกัน!
หากเขาหามันพบ อย่าว่าแต่ก้าวสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลายเลย กระทั่งโอกาสในการบรรลุสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิยังอาจจะยังมีหวัง!
“ท่านอาจารย์ ยามนี้เขตต้องห้ามเซียนอับโชคมิอาจเข้าถึงได้สักพักแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อทราบแผนของซูอี้ จิ่นขุยก็รีบเล่าข่าวทั้งหลายในโลกภายนอกเร็ว ๆ นี้ออกมาทั้งหมด
ปรากฏว่าระหว่างที่ซูอี้เก็บตัวฝึกฝนครึ่งปี ผู้ฝึกตนมากมายในโลกหล้าได้ออกเดินทางไปยังเขตต้องห้ามเซียนอับโชค!
และเรื่องทั้งหมดนี้ก็ยังเกี่ยวพันกับซูอี้
กาลก่อน เขาได้ออกคำสั่งให้ปรมาจารย์เผิง บรรพชนมารเยว่อิ๋นและตัวตนบรรพกาลทั้งหลายให้แพร่ข่าวเกี่ยวกับเขตต้องห้ามเซียนอับโชคต่อผู้คนในโลกภายนอก บอกว่าที่มาแห่งภูมิดาราฟ้าดินถูกฝังไว้ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
การกระทำในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพื่อลวงเหล่าขุมกำลังจากส่วนลึกในจักรวาลพร่างดาวมาสังหาร
ทว่าเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปในแดนเทวามหาแดนดิน เขตต้องห้ามเซียนอับโชคก็กลายเป็นกรุสมบัติอันเป็นที่จับตามองที่สุดแห่งโลกหล้า!
ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนมากมายเพียงใดที่เสี่ยงชีวิตไม่สนอันตรายเข้าไป และกระทั่งจักรพรรดิมากมายในโลกยังออกมาเคลื่อนไหว
แต่ความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้าย
ในหมู่ยอดฝีมือที่ออกเดินทางสู่เขตต้องห้ามเซียนอับโชค ไม่ว่าการฝึกฝนจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเพียงใด ก็แทบไร้ผู้ใดได้กลับมา!
“เมื่อไม่นานมานี้ ตัวตนอาวุโสในขอบเขตมหาจักรพรรดิบางคนได้ไปที่นั่น และเพียงมาถึงรอบนอกเขตต้องห้ามเซียนอับโชค พวกเขาก็ถูกดักล้อมโจมตีอย่างหนักหน่วง และในภายหลังจึงพบว่าเป็นการล้อมโจมตีจากยอดฝีมือในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวเจ้าค่ะ!”
จิ่นขุยกล่าวด้วยเสียงรัวเร็ว “เวลาต่อมา เรื่องในลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง และลือกันว่าโลกเร้นลับภายในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคได้ถูกผนึกยึดครองโดยขุมอำนาจจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวนานแล้วเจ้าค่ะ!”
“จนกระทั่งบัดนี้ กระทั่งตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิยังผวากลัว มิกล้าไปที่นั่นง่าย ๆ เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็เข้าใจทันทีว่ายอดฝีมือจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวนั้นไม่ได้มาเพียงที่ทะเลดาวตก
นี่พิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยว่ากลยุทธ์แรกเริ่มของเขาสำเร็จผล เขาดึงยอดฝีมือบางส่วนในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวไปตายในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคได้!
ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่าพวกคนที่ไปยังเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจะยังมิตายอย่างเห็นได้ชัด
“น่าสนุก!”
ซูอี้มีเค้าความคาดหวัง
ต่อมา เขาก็ใช้เวลาในถ้ำเสวียนจวินอีกสองสามวัน ร้อยเรียงเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนจะจากไปลำพัง
คราแรก ซูอี้ตั้งใจจะชวนจักรพรรดิมารสวรรค์ไปด้วย แต่ท้ายที่สุดก็ทิ้งความคิดไป
เขตต้องห้ามเซียนอับโชคนั้นอันตรายเกินไป
จากแผนที่ลับหนังสัตว์แผ่นนั้น กระทั่งราชาแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังอาจถูกทำลายในพริบตาได้!
อย่าว่าแต่เรื่องที่ทุกวันนี้ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคยังมียอดฝีมือจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเพิ่มเข้ามา
ด้วยประการฉะนี้ การที่เขาลงมือลำพังจึงเหมาะสมกว่า หากเกิดเหตุใด ๆ ก็จะไม่ลากจักรพรรดิมารสวรรค์มาพัวพัน
สองวันต่อมา
ในโลกมืดสลัวรกร้างแห่งหนึ่ง บนท้องนภาแหลกร้าวเผยรอยแยกมิติเป็นแนวริ้ว บนผืนปฐพี คีรีตระหง่านสูง ทว่าไร้ร่องรอยชีวิตใด ๆ
บรรยากาศกดดันมืดหม่น
และบนทิวเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก มีประตูบานหนึ่งสูงหลายพันจั้งตั้งอยู่!
ประตูบานนั้นตั้งตระหง่านกลางอากาศ พิรุณแสงแห่งมิติเวลาพร่างพรมราวกับตั้งอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยเปลี่ยนแปรจวบจนปัจจุบัน
นี่คือทางเข้าเขตต้องห้ามเซียนอับโชค!
พื้นที่ใกล้เคียงคลาคล่ำด้วยผู้ฝึกตนมากมาย ต่างคนต่างเหมือนรอบางอย่าง
“โคมชะตาวิญญาณของบรรพชนตระกูลข้ายังอยู่ เขายังมิสิ้นสลาย ข้าเชื่อว่าสวรรค์มีตาช่วยผู้บริสุทธิ์ บรรพชนของข้าต้องกลับมาจากเขตต้องห้ามเซียนอับโชคได้แน่!”
บางคนกระซิบ
“แต่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะ บรรพชนในขอบเขตจักรพรรดิแปดคนของตระกูลข้า ยามนี้เหลือเพียงสองคนที่โคมชะตาวิญญาณยังคงส่องสว่าง…”
“ผู้คนตายเพราะทรัพย์สมบัติ วิหคตายเพราะอาหาร และสำหรับผู้ฝึกตน โอกาสเช่นนี้… ยั่วยวนใจมหาศาลจริงแท้…”
บางคนลอบรำพัน
“แย่แล้ว โคมชะตาวิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักข้าดับ!”
มีเสียงหวีดร้องอย่างแตกตื่น
สิ่งนี้ทำให้บรรยากาศในละแวกใกล้เคียงหดหู่ลงกว่าเก่า
ในอดีต ผู้ฝึกตนจากทั่วทุกมุมโลกต่างแห่กันมาสำรวจหาโอกาสในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ทว่ากลับมีเพียงหยิบมือที่รอดกลับมาในท้ายที่สุด!
ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่รอดกลับมาได้ล้วนแล้วแต่ตื่นกลัวอย่างยิ่ง หัวใจเรรวน สติฟั่นเฟือน
ยามนี้เอง ผู้คนจึงได้เข้าใจแจ่มแจ้งอีกครั้ง ว่าเหตุใดเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจึงถือเป็นพื้นที่หวงห้ามอันดับหนึ่งของมหาแดนดิน
นับแต่บรรพกาล ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดถูกฝังในสถานที่ร้ายกาจนี้!
“เขตต้องห้ามเซียนอับโชค… ที่ซึ่งกระทั่งเซียนยังปลิดปลง ผู้ฝึกตนในโลกหล้าเล่าจะเป็นเช่นไร?”
“เฮ้ย คนผู้นั้นคือผู้ใด เข้าไปใกล้ทางเข้าเขตต้องห้ามเซียนอับโชคแล้วนั่น!”
ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนมากมายก็สังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งเดินไปยังทางเข้าเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจากไกล ๆ
“เจ้าหนุ่ม รีบหยุดเร็ว!”
บางคนเอ่ยเตือน “ที่นั่นเข้าแล้วออกมิได้นะ!”
บางคนตะโกนลั่นอย่างอารมณ์ร้อน “ลูกเต้าเหล่าใครกัน? ช่างกล้านัก เขาไม่รู้หรือว่าที่นี่คือที่ใด? รีบกลับมาเร็ว อย่าพาตัวไปตายไม่เข้าท่า!”
และยังมีผู้อาวุโสบางคนที่สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้ผิดปกติ ปราณในร่างกายของเขาเรียบนิ่ง แต่เพราะมันนิ่งเกินไปนี่เอง มันจึงดูผิดปกติมาก!
แต่คนส่วนใหญ่มักมองอย่างเย็นชาเสียมาก
มันช่างดูน่าขันที่หนึ่งชายหนุ่มผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกำลังพยายามเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ทว่าในเวลาผ่านมา เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายหน
เหตุผลนั้นแสนง่าย นั่นก็เพราะคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่มักเลือดร้อน คิดว่าตนคือที่โปรดปรานแห่งสวรรค์ วาสนาเกื้อกูล และหากได้พบโอกาส พวกเขาก็สามารถก้าวสู่สวรรค์ได้ในก้าวเดียว
ทว่าเมื่อเผชิญกับความเป็นจริง ใครบ้างที่มิคุกเข่าลงจมกองเลือด?
“ไอ้หนู รีบหยุดเสีย บางทีเจ้าอาจไร้ความกลัวตาย และคิดว่าการทำตัวกล้าหาญชาญชัยจะทำให้มีหน้ามีตา แต่ในสายตาเรา การทำเช่นนี้ช่างโง่เขลาที่สุด!”
ทันใดนั้น ชายชราชุดม่วงผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นจากอากาศธาตุ เข้ามาตักเตือนเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มชุดเขียวให้ทิ้งความตั้งใจ
เมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏกาย ผู้คนรอบข้างก็ส่งเสียงฮือฮา
“นั่นผู้อาวุโสหวังเป่ยถิง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักดาบพันจันทร์นี่!”
“ผู้อาวุโสหวังช่างเมตตาจริงแท้”
เสียงอื้ออึงดังขึ้น ผู้ฝึกตนมากมายดูยำเกรงชื่นชม
หวังเป่ยถิง!
จักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำผู้หนึ่ง!
“เมตตาอันใดกัน ตาเฒ่าผู้นี้เพียงนึกถึงหลานชายขึ้นมาเท่านั้น”
ชายชราชุดม่วงที่อยู่ไกลออกไปรำพันขึ้นมา “เขาก็รุ่นราวคราวนี้แหละ อ่อนเยาว์เลือดร้อน เดียวดายห้าวหาญ มิเกรงฟ้ากลัวดิน แต่ยามออกเดินทางสู่โลกเร้นลับแห่งหนึ่ง เขาก็มิกลับมาอีกเลย…”
ทุกคนจึงได้ตระหนักถึงเหตุผลที่หวังเป่ยถิงออกมาเกลี้ยกล่อม ที่แท้ก็เป็นเพราะชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้คล้ายคลึงกับหลานชายที่ตายไปแล้วของเขา!
ชั่วขณะนั้น ผู้คนสะเทือนใจสะท้อนอารมณ์
มีเพียงซูอี้ที่ดูขบขันพิกล
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน”
ซูอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายมีเจตนาดี และทำให้เขาไม่อาจคิดมาดร้ายใด ๆ กับอีกฝ่ายได้จริง ๆ
กล่าวจบ เขาก็ก้าวไปเบื้องหน้า
“มิฟังคำเตือนหรือ?”
ชายชราชุดม่วงฉุนโกรธเล็กน้อย คิ้วขมวดเข้าหากัน
ผู้ฝึกตนที่อยู่ห่างไกลออกไปเองก็ดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย รู้สึกว่าซูอี้หาได้เข้าใจความปรารถนาดีของผู้อื่นไม่ ไม่รู้จักแยกแยะชั่วดี
ยามนั้นเอง เสียงหัวเราะกังวานใสพลันดังขึ้นราวกับเสียงสวรรค์รื่นหูสะท้อนทั่วโลกหล้าอันหมองหม่น
“เป็นถึงปรมาจารย์เสวียนจวินผู้เป็นที่เคารพในโลกหล้า แต่กลับถูกมองเป็นไอ้หนุ่มผู้ดูเหมือนหลานชาวบ้าน ฮ่า ๆ ช่างน่าสนใจนัก”
พร้อมกันนั้น หนึ่งสตรีในชุดแดงผู้มีรูปลักษณ์งดงามจับตาพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ใบหน้าของนางงดงามชดช้อย รอยยิ้มเก๋ไก๋ ดวงตาหยียิ้มเป็นจันทร์เสี้ยวดูสุขใจ
เหล่าผู้ฟังพากันเงียบกริบ
ทุกคนตะลึงค้าง ตกใจเสียจนกรามแทบตกพื้น
หรือชายหนุ่มชุดเขียวผู้ดูธรรมดาผู้นั้นจะเป็น…
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!?
ชายชราชุดม่วงแข็งค้าง ร่างของเขาทึ่มทื่อกับที่ราวถูกสายฟ้าฟาด
ในใจเขาเหลือเพียงวาจาเดียว “ฉิบหายแล้ว!!!”
………………..