บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1176: ลอบโจมตี
ตอนที่ 1176: ลอบโจมตี
บรรยากาศเงียบกริบไร้เสียงใด
เหล่าผู้ฝึกตนที่เกลี้ยกล่อมซูอี้ในฐานะผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ล้วนแสนอับอายแทบตายตก
และเหล่าผู้ฝึกตนที่คิดว่าซูอี้กล้าบ้าบิ่นไม่รู้จักชั่วดีล้วนเปลี่ยนสีหน้าพร้อมเพรียง มือเท้าเย็นวูบวาบ
ส่วนชายชราชุดม่วงนามว่าหวังเป่ยถิงผู้นั้น…
เหงื่อเม็ดโต ๆ ผุดเต็มหน้าผากของเขาทันที
ซูอี้หันมามอง และอดกล่าวอย่างแปลกใจมิได้ “ไยเจ้าจึงมาอยู่นี่ได้?”
ผู้มาเยือนคือจักรพรรดิมารสวรรค์
นางสวมชุดแดง เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน ยกยิ้มกรุ้มกริ่ม “ข้าว่าแล้วว่าคนเช่นเจ้าจะลงมือลำพัง จึงมารอที่นี่สักพักได้”
ซูอี้ถูจมูก ยังพูดอันใดได้อีกหรือ?
เขาไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูอี้เลย
หาไม่ เขาคงไม่มีทางทำผิดโง่ ๆ เช่นนี้
“เจ้าทำด้วยเจตนาดี ข้าจะกล่าวโทษเจ้าได้เช่นไร?”
ซูอี้แย้มยิ้ม หันหลังไปเดินเข้าสู่ทางเข้าเขตต้องห้ามเซียนอับโชคไกลออกไป
จักรพรรดิมารสวรรค์รีบร้อนตามไป
“พี่ซู ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลว่าจะเกิดอันตรายกับข้าจึงคิดลงมือลำพัง แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะมาดู และข้าเองก็ไม่ได้สนใจความเป็นความตายเท่าไรหรอกนะ”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวเสียงนุ่มนวล “อย่าห่วงเลย หลังเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ข้าจะไม่ก่อเรื่องให้เจ้าแน่นอน!”
“ไม่ใช่เรื่องการก่อเรื่องหรอก”
ซูอี้ว่าพลางชี้ไปยังทางเข้าเขตต้องห้ามเซียนอับโชคที่อยู่ไกลออกไป “หลังเข้าไปในนั้นจะเหมือนเข้าสู่ทางเดินข้ามมิติซึ่งแปรเปลี่ยนตลอดกาล เจ้ากับข้าอาจถูกส่งไปยังพื้นที่ต่างกันในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคก็ได้”
เขาย่อมรู้ดีที่สุดว่าเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเป็นสถานที่อันตรายเพียงใด
“หากเราไปด้วยกัน ข้าก็ยังช่วยเจ้าได้ แต่หากแยกไปคนเดียวจะอันตรายเกินไป”
ซูอี้ว่า
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่กลัวหรอก”
ซูอี้พลันตระหนักว่าการเกลี้ยกล่อมนางมารผู้นี้ช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกิน
เขาจึงนำม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา วาดแผนที่ลับด้วยจิตสัมผัส จากนั้นก็ส่งให้จักรพรรดิมารสวรรค์ทันที “ในม้วนหยกนี้มีแผนที่รอบนอกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคไว้ ข้าทำตำหนิไว้แล้ว เมื่อเข้าไปได้ ให้เจ้าไปยัง ‘ซากสถานโลหิตทมิฬ’ บนแผนที่ก่อน และข้าจะไปพบเจ้าที่นั่น”
จักรพรรดิมารสวรรค์รับม้วนหยกไปและรีบกล่าวตกลง
ไม่นานนัก ร่างของทั้งสองก็ทะยานหายไปไกล ก่อนจะลับหายเข้าสู่ทางเข้าเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ไกลออกไปล้วนรู้สึกโล่งอก
หวังเป่ยถิงปาดเหงื่อกาฬของเขา เหยียดตัวขึ้นตรง และกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “พวกเจ้าว่าใต้เท้าซูคุยด้วยง่ายมากหรือไม่?”
คุยด้วยง่าย?
เมื่อครู่พวกเขากลัวกันแทบตาย!
เพราะถึงอย่างไร เมื่อครู่ก็หามีเพียงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไม่ แต่ยังมีจักรพรรดิมารสวรรค์ บรรพชนแห่งแดนอสูรปรีดีอยู่ด้วย!
เมื่อเห็นว่าไร้ผู้ใดตอบสนอง หวังเป่ยถิงก็อดหัวเราะเยาะตนเองมิได้ “ใต้เท้าซูอยู่ตรงหน้า แต่กลับมิอาจมองเห็น ข้าคนแซ่หวัง… ช่างละอายเกินกว่าจะกลับบ้านจริงแท้…”
…
ที่แห่งนี้คือสถานที่โบราณเก่าแก่ ไม่ว่าที่ใดล้วนให้บรรยากาศแร้นแค้น
หมอกหนาดุจผืนผ้าปกคลุมอากาศ ทำให้ทั่วบริเวณดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยม่านปริศนา
เกิดคลื่นมิติสั่นกระเพื่อม
ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
เขามองไปรอบ ๆ ทว่าก็พบว่าตนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
ก่อนที่ซูอี้จะทันได้สำรวจสถานที่แห่งนี้อย่างจริงจัง ทันใดนั้นประกายแสงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ พุ่งเข้าใส่ซูอี้
มันเป็นมดสีแดงเพลิงขนาดราวนิ้วก้อยตัวหนึ่ง ร่างของมันดุจทองแดงสีเพลิง ใบหน้าดุจผีร้าย คมเขี้ยวด้านหน้าเป็นสีเขียว
เมื่อมันพุ่งเข้ามา อากาศก็ราวถูกแผดเผา ปราณร้ายกาจกลืนกินบรรยากาศโดยรอบ
ปราณเช่นนี้หาได้อ่อนแอไปกว่าจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำไม่!
ซูอี้คว้ามันไว้
มดสีแดงเพลิงสิ้นท่า ถูกคว้าไว้ในมือ
“มดเพลิงกลืนวิญญาณ สิ่งร้ายกาจนี้ยังมีอยู่อีก…”
ซูอี้ประหลาดใจ
มดเพลิงกลืนวิญญาณเป็นสัตว์ที่ประหลาดและร้ายกาจอย่างยิ่ง เป็นสัตว์ร้ายบรรพกาลที่สามารถเคลื่อนไหวในอากาศได้อย่างอิสระ และยังสามารถกลืนกินจิตวิญญาณในขอบเขตจักรพรรดิได้โดยง่าย
ยิ่งกว่านั้น เจ้าพวกนี้ยังมักไปมาเป็นฝูง…
ซูอี้อ้าปากค้าง ก่อนจะหันหลังเผ่นหนี
ไม่ใช่เพราะเขากลัว แต่มดเพลิงกลืนวิญญาณนั้นรับมือได้ยากยิ่ง จำนวนของมันมหาศาลไม่จบสิ้น หากตกอยู่ในวงล้อมพัวพันจะไม่อาจหลุดพ้นไปได้ในช่วงสั้น ๆ
สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าพวกนี้ไม่ได้มีค่าอันใดนัก และร่างของพวกมันก็ใช้เป็นวัตถุดิบหลอมวัตถุได้เพียงน้อยนิด
ในสายตาของซูอี้ทุกวันนี้ มันไร้ค่ามิคุ้มลงมือเอาเสียเลย
ตู้ม!
อากาศพังถล่มราวถูกแผดเผามอดไหม้
ฝูงมดเพลิงกลืนวิญญาณพุ่งสู่อากาศ ไล่ล่าซูอี้อย่างดุเดือด
ระหว่างทาง ที่ใดก็ตามที่สัตว์ร้ายเหล่านี้เคลื่อนผ่านล้วนลุกไหม้แผดเผา ทิ้งไว้เพียงผืนแผ่นดินไหม้เกรียม
การจัดทัพเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิขนหัวลุก
แต่สำหรับซูอี้ มันหาได้เป็นภัยคุกคามมากไม่
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะเปลี่ยนทิศทางนั้นเอง เขาก็พบว่าทั่วทิศในอากาศต่างเต็มไปด้วยมดเพลิงกลืนวิญญาณสุดตา
มดเพลิงกลืนวิญญาณเต็มไปหมด!
“นี่ข้าหลุดเข้ามาในรังมดเพลิงกลืนวิญญาณหรือ?”
ซูอี้อดตะลึงมิได้
เขาเพิ่งเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค และอยู่เพียงในบริเวณรอบนอกเท่านั้น แต่ก็ยังต้องมาเผชิญการล้อมโจมตีเช่นนี้ ช่างอับโชคจริงแท้!
“งั้นก็ต้องละเลงเลือดเปิดทาง”
ซูอี้ไม่คิดเสียพลังกายสิ้นเปลือง ทว่ายามนี้ดูเหมือนเขาจะไร้ทางเลือกอื่น
ทว่ายามนี้ พลันเกิดเสียงรำพึงขึ้น
“ข้าควรจะจับปลาใหญ่ได้แล้วแท้ ๆ แต่ใครเล่าจะคิดว่าเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“คุณชาย ชายหนุ่มผู้นั้นมิธรรมดานะขอรับ แม้ว่าบ่าวเฒ่าจะมิอาจมองเห็นการฝึกฝนของเขา แต่ก็ทราบได้ว่าเขาเป็นจักรพรรดิผู้เยาว์วัยยิ่ง ช่างหายากนักในโลกหล้าอันแร้นแค้นนี้”
เสียงแหบแห้งเย็นชาเสียงหนึ่งตามมา
“อืม งั้นข้าจับเหยื่อผู้นี้ไปเป็นทาสดีไหม?”
“เป็นวาสนาของเขาที่ได้คุณชายเมตตาขอรับ”
…ขณะสนทนา บนโลกหล้าไกลออกไป สองร่างของหนึ่งชายชราและหนึ่งชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้น
ชายชรานั้นสวมอาภรณ์สีเทา ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาคมกริบเยี่ยงเหยี่ยวอินทรี
ชายหนุ่มนั้นรูปงาม สวมอาภรณ์ยาวสีเหลืองสว่าง ถือขลุ่ยหยกในมือ
เมื่อพวกเขาปรากฏขึ้น ทั่วโลกหล้าสารทิศ มดเพลิงกลืนวิญญาณทั้งหลายล้วนก้มตัวลงราวโค้งคำนับ
‘ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกตนจากเชื้อสายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่อาจทราบได้ว่ามาจากสำนักใดในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว’
ซูอี้ครุ่นคิด
เชื้อสายสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นมรดกอันหาได้ทั่วไปในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว และมีขุมกำลังสูงสุดมากมายซึ่งมีมรดกเช่นนี้
“เจ้าหนู เจ้าถูกล้อมไว้แล้ว”
ชายชราชุดเทาที่อยู่ไกลออกไปกล่าวเสียงแหบห้วน “แต่เจ้านั้นแสนโชคดีที่คุณชายของข้าเมตตา ยอมรับเจ้าเป็นทาสรับใช้ ยังไม่รีบคุกเข่าลงขอบคุณอีกหรือ?”
กิริยาวางท่าสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าดูแคลนเขา
ซูอี้หัวเราะ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฟังจากวาจา หรือพวกเจ้าจะมาจาก ‘แดนภูตสุขาวดี’?”
แดนภูตสุขาวดี!
หากกว่าถึงความสำเร็จเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในส่วนลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว แดนภูตสุขาวดีนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอย่างไร้ข้อโต้เถียง และยังเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่ง ‘ภูมิดาราคล้อยเมฆินทร์’ อันลือกันว่ามีสารพัดสัตว์ร้ายหายากซึ่งมีที่มาเก่าแก่ในสำนัก
ชายชราชุดเทาผงะไป ก่อนกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้า ผู้ฝึกตนจากมหาแดนดินรู้จักแดนภูตสุขาวดีด้วยหรือ?”
“ข้าพอจะรู้บ้าง”
ซูอี้ดูผิดหวังเล็กน้อย และกล่าวว่า “ข้าเห็นแล้วว่าเขาดูมิใช่ผู้ฝึกตนจากแดนภูตสุขาวดี”
ชายหนุ่มชุดเหลืองสว่างมองซูอี้ด้วยสายตาคมปลาบเยี่ยงสายฟ้า และกล่าวอย่างถือตน “ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าดูจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว งั้นเจ้าก็ฟังให้ดี เรามาจาก ‘บรรพตมารพันเจต’!”
ในน้ำเสียงของเขามีความหยิ่งผยอง
“บรรพตมารพันเจต?”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้า “นี่… มิเคยได้ยินมาก่อนจริง ๆ”
ชายชราชุดเทาและชายหนุ่มชุดเหลืองพลันดูหน้าเสีย เขาหมายความเช่นไร? อีกฝ่ายเคยได้ยินเกี่ยวกับแดนภูตสุขาวดี แต่กลับมิเคยรับรู้เกี่ยวกับบรรพตมารพันเจต?
“ดูเหมือนสำนักของเจ้าจะไม่ใช่ยอดขุมกำลังจาก ‘ภูมิร้อยมหาดารา’ หรือยักษ์ใหญ่โบราณที่เร้นกายในโลกหล้า หาไม่ ข้าคงต้องเคยได้ยินมาบ้าง”
ซูอี้ถอนใจน้อย ๆ
หลังสืบทอดความทรงจำและประสบการณ์จากทัศนาจารย์ ซูอี้จึงย่อมรู้จักขุมกำลังสูงสุดในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวดี
แต่หลังจากครุ่นคิด เขาก็มิอาจค้นพบที่มาของ ‘บรรพตมารพันเจต’ ได้ ซึ่งเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าในชั่วชีวิตของทัศนาจารย์ เขามิเคยได้ยินชื่อขุมกำลังนี้เลย!
ชายชราชุดเทา “?”
ไอ้หนูนี่ดูถูกบรรพตมารพันเจตของพวกเขาอยู่หรือ?
ชายหนุ่มชุดเหลืองเองก็ผงะไปเช่นกัน นี่พวกเขาถูกผู้ที่อาศัยอยู่ในมหาแดนดินดูถูกหรือ?
“ช่างเถอะ ถามหน่อยแล้วกัน ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้ของบรรพตมารพันเจตของเจ้าอยู่หรือไม่?”
ซูอี้กล่าว “ตอบข้ามา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เขาไม่คิดที่จะกวาดล้างปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้ และคิดจะไปจัดการกับตัวตนอันแข็งแกร่งกว่าเบื้องหลังทั้งคู่ให้จบ ๆ ไป
ทว่าทันทีที่วาจาถูกกล่าว ชายชราชุดเทาก็หัวเราะอย่างเดือดดาล
ชายหนุ่มชุดเหลืองเองก็ขยี้หูราวมิอยากเชื่อ
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อาหมิง ฆ่าเจ้าคนจากมหาแดนดินนี้เสีย ปากเช่นนี้มิต้องปล่อยไว้!”
“ตรงตามที่บ่าวเฒ่าตั้งใจทุกประการขอรับ”
ชายชราชุดเทาเองก็เดือดดาลมาดร้ายมิต่างกัน
ขณะกล่าววาจา ขลุ่ยกระดูกเลาหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ พลิ้วไปบนอากาศ
เสียงขลุ่ยกระทุ้งผ่านความเงียบทั่วฟ้าดิน
ตู้ม!
มดเพลิงกลืนวิญญาณทั่วฟ้าดินพลันขยับไหว พุ่งเข้าหาซูอี้ราวคลื่นอัคคีโหม
ดุร้ายน่าตกใจ
หลังเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ถอนใจน้อย ๆ คนสมัยนี้ช่างน่ารำคาญมากขึ้นทุกทีแล้ว!
………………..