บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1179: ผู้ขัดเกลา ประกาศิตฟ้าดิน
ตอนที่ 1179: ผู้ขัดเกลา ประกาศิตฟ้าดิน
อำนาจสังหารแห่งวิถีธนูนั้นก้าวล้ำไปไกลกว่าตัวตนใด ๆ ในขอบเขตเดียวกัน แต่ก็สิ้นเปลืองพลังยิ่งยวดสำหรับผู้ฝึกตนเช่นกัน
โดยเฉพาะในศึกชี้เป็นตาย ศรทุกดอกต้องทุ่มสุดแรง หาระย่อหย่อนได้ไม่
สามศรที่หลัวจื่อหงยิงออกไปพร้อมกันก่อนหน้านี้สามารถสังหารตัวตนในขอบเขตเดียวกันได้ ทว่าการสิ้นเปลืองพลังมหาวิถีก็มหาศาลเหลือล้นเช่นกัน
ทว่าเขาหาคาดไว้ไม่ว่าการโจมตีหวังปิดฉากนี้ของเขาจะมิอาจทำอันตรายใดต่ออีกฝ่ายได้!
นี่ทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้านทั่วกาย ตระหนักชัดเจนว่าแม้ร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ผู้นี้จะไม่เคยย่างกรายสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่ก็ยังเหนือล้ำเกินจินตนาการ!
ตู้ม!
เสียงดาบคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น
หลังจากปราบสามศรลงได้ ซูอี้ก็ได้กวัดแกว่งดาบสังหารราวเคลื่อนพริบตา
“ถอย!”
หลัวจื่อหงตะโกนเสียงต่ำ
เขายกคันธนูกระดูกขาวในมือ แผลงศรเก้าดอกในหนึ่งอึดใจ
เปรี้ยง!
ทั่วฟ้าดินสั่นสะท้านรุนแรง เก้าศรเงินศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนคล้อยตามกัน สร้างเป็นเส้นตรงวาดเข้าหาซูอี้
อำนาจเช่นนี้ร้ายกาจห่างไกลเกินเทียบได้กับกาลก่อน
เมื่อเขาทำการนี้เสร็จสิ้น ใบหน้าของหลัวจื่อหงเองก็ซีดขาว หอบหายใจถี่รัว แทบสิ้นแรงทั่วกาย
นี่คือไม้ตายสังหารสูงสุดของเขาซึ่งไม่อาจใช้ออกมาง่าย ๆ!
“ขี่วายุกวัดแกว่งดาบ ละล่องเหนือสมุทร ไร้กังวลเป็นตาย แสวงหาเพียงอิสระเรียบง่าย”
ซูอี้ครุ่นคิด คมดาบฉวัดเฉวียนแหวกนภา บังเกิดดาบเวียนวัฏ
ทุกสิ่งล้วนเหมือนจมสู่ขุมอบายมืดมิด
เก้าศรเงินศักดิ์สิทธิ์จมสู่ความมืด สลายหายไปเงียบงัน
ราวหิมะละลายน้ำ
ไม้ตายสังหารก้นหีบของหลัวจื่อหงสลายไปเงียบ ๆ ด้วยประการฉะนี้!
ภาพประหลาดอันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้หัวใจของหลังจื่อหงสั่นระรัว
แต่เขาไร้กาลใดให้ครุ่นคิด
แสงดาบสีเข้มปกคลุมน่านนภา
“เปิด!”
หลัวจื่อหงกัดฟัน ใช้ตราประทับวิถีสีครามชิ้นหนึ่งฟาดออกไป
ตราประทับวิถีสีครามนี้เป็นทรงกล่อง สลักลวดลายศักดิ์สิทธิ์หนาแน่น อำนาจสูงส่งร้ายกาจ ยามทะยานออกก็เป็นดั่งดวงตะวันสีครามเคลื่อนคล้อยสู่สวรรค์!
ทว่าทันใดนั้น…
ตราประทับวิถีสีครามพลันสั่นไหวรุนแรง ดาบเวียนวัฏทอแสง บดขยี้สมบัตินี้มลายสูญง่ายดายเช่นกระดาษเปื่อย
หลัวจื่อหงตะลึงและรีบหลบเป็นครั้งแรก
ฉัวะ!
แขนขวาของเขาถูกดาบเวียนวัฏฟาดใส่
แม้ตาเปล่าก็เห็นได้ว่าเนื้อหนังแขนซ้ายของเขาสิ้นพลังชีวิตโดยพลัน จากนั้นทั้งแขนก็หายไปราวเวียนวัฏไปเกิดใหม่
และขณะเดียวกัน ร่างของห้าจักรพรรดิซึ่งเดิมยืนอยู่ข้างหลัวจื่อหงล้วนแหลกสลาย วิญญาณถูกทำลายไม่เหลือซาก!
แต่เดิมพวกเขาบาดเจ็บสาหัสกันอยู่แล้ว เมื่อดาบเวียนวัฏฟาดมาถึง พวกเขาก็ไม่อาจหลบพ้น จนถูกสังหารโหดคาที่
“ซี้ดด!”
หลัวจื่อหงที่อยู่ไกลออกไปสูดหายใจเฮือก หนังหัวชายิบ เหงื่อกาฬพรั่งพรูทั่วกาย
ร้ายกาจยิ่ง!
เมื่อครู่ผ่านมา หากเขาหลบมิทัน เกรงว่าคงถูกฆ่าตายแน่แท้!
“หนึ่งแขนหายไปแล้ว ครานี้จะโก่งคันแผลงศรเช่นไรได้อีก?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ และก้าวเดินบนอากาศเข้าโจมตีหลัวจื่อหง หาหยุดยั้งไม่
“ไป!”
หลัวจื่อหงอ้าปากตะโกนลั่น
เพล้ง!
อากาศแหลกสลาย
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าปรากฏกระสวยเรียวบางขึ้นชิ้นหนึ่ง รูปร่างคล้ายมัจฉา มันถูกห้อมล้อมด้วยอสนีบาตเกินหยั่งคะเน ปราณทำลายล้างสะเทือนแดนดิน
ม่านตาของซูอี้หดตัวอย่างเงียบ ๆ
เขาฟาดดาบโจมตีอย่างแรง
เปรี้ยง!!
กระสวยระเบิดออก ทว่ามันก็กลับกลายเป็นกลุ่มก้อนอสนีบาตร้ายกาจ ฟาดร่างของซูอี้ถอยหลังไปหลายก้าว
หลัวจื่อหงกัดปลายลิ้นตนอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามบางอย่างและถอยหลังเผ่นหนี!
เพียงพริบตา ราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงผู้นี้ก็หายลับไม่ทิ้งร่องรอย
ซูอี้ผงะไป ก่อนรอยยิ้มเย้ยหยันจะผุดขึ้นน้อย ๆ สุนัขไร้ฝูงก็ไร้น้ำยา!
เขาไม่ได้ไล่ตาม
เมื่อราชันแห่งภูมิหนีเอาชีวิตรอด เว้นแต่จะมีอำนาจอหังการค้ำสวรรค์ ก็ยากที่ผู้ใดจะตามทัน
“น่าเสียดายที่เมื่อพบคนใช้ธนู การเข้าประชิดก็ทำมิได้ หาไม่ มิต้องใช้พลังเคล็ดเวียนวัฏสงสารก็ฆ่าเขาได้แล้ว”
ขณะซูอี้ครุ่นคิด ท้องนภาพลันกระเพื่อมสั่น
จากนั้น แสงสว่างพร่างพรายก็ทอดลง และกลายเป็นหนึ่งนกกระจอกอันมีปีกคู่งามกลางอากาศ
“ผู้ขัดเกลาเอ๋ย เจ้าได้รับคุณสมบัติผ่านระดับนี้ได้ นี่คือประกาศิตฟ้าดินของเจ้า”
นกกระจอกตัวนั้นกล่าวด้วยเสียงใสเจื้อยแจ้ว
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ปีกของมันก็กระพือ และป้ายตราชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ลอยเข้ามาหาซูอี้
ซูอี้ตกตะลึง มองปราดแรกก็รู้ว่านกกระจอกวิญญาณผู้มีปีกคู่งามนี้หาใช่สิ่งมีชีวิตโดยแท้จริงไม่ แต่ถูกสร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์บางอย่าง!
เขายกมือขึ้นรับป้ายตรา
เหนือป้ายตรา ด้านหน้าสลักสองอักขระวิถีโบราณไว้
และด้านหลังสลักคำว่า ‘แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์’
สิ่งที่ทำให้ซูอี้ประหลาดใจก็คือ ประกาศิตฟ้าดินที่ว่านี้ถูกสร้างขึ้นจากปราณมารดาฟ้าดิน!
“บอกข้าได้หรือไม่ว่าผู้ขัดเกลาคืออันใด และผ่านระดับได้เช่นไร?”
ซูอี้พลิกป้ายตราเล่นพลางถามอย่างสนอกสนใจ
ในอดีตชาติ เขาเคยได้เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนอับโชคสามหน แต่ไม่เคยได้พานพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ยิ่งกว่านั้น ยังไม่เคยมีข่าวลือลักษณะนี้ในมหาแดนดินมาก่อนอีกด้วย!
เสียงของนกกระจอกวิญญาณฟังดูไพเราะ “ผู้ใดก็ตามที่ถูกเลือกเป็นผู้ขัดเกลาจะได้รับโอกาสไปยังแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์เพื่อผ่านระดับต่าง ๆ และยิ่งชัยชนะสูงส่ง ยิ่งมีโอกาสได้รับมรดกมหาวิถีอันทรงพลัง และยังได้รับปราณมารดาฟ้าดินอันเทียบเท่ามูลค่าอีกด้วย”
“การขัดเกลาที่ว่านั้นก็คือการช่วงชิงประกาศิตฟ้าดินจากมือของผู้ขัดเกลาคนอื่น ๆ ให้ได้ทั้งหมดสิบแปดชิ้น และจึงสามารถไปยังแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ได้”
“เมื่อเจ้ามาถึงแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ เจ้าจะเข้าใจเองว่าจะเลื่อนระดับได้เช่นไร”
“ขณะเดียวกัน ดินแดนเหล่านี้มีที่มีอาณาเขตติดต่อกันมีผู้พิทักษ์กระจายอยู่สิบคนแล้ว หากได้รับการยอมรับจากผู้พิทักษ์เหล่านี้ ตัวตนเหล่านั้นก็สามารถเดินทางต่อสู้แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ได้เช่นกัน”
“หากตกตาย ประกาศิตฟ้าดินที่ถืออยู่จะร่วงหล่นลง”
ได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลก
ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนการทดสอบยามหนึ่งสำนักหาผู้สืบทอด
ต้องทราบว่าที่แห่งนี้คือเขตต้องห้ามเซียนอับโชคซึ่งนับเป็นพื้นที่ต้องห้ามอันดับหนึ่งในมหาแดนดินแต่กาลนาน!
ขณะเดียวกัน ความสงสัยมากมายก็ประดังสู่หัวใจของซูอี้
ผู้ขัดเกลามีวิธีการคัดเลือกเช่นไร?
แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ตั้งอยู่ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคหรือ?
แล้วผู้พิทักษ์ที่ว่าเป็นตัวตนใดกัน?
ทว่า ก่อนที่ซูอี้จะทันได้ถาม นกกระจอกวิญญาณก็สลายร่างกลายเป็นพลังกฎเกณฑ์หายไป
ซูอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาจำได้ว่าหนึ่งประโยคบนแผนที่ลับหนังสัตว์เรียกเขตต้องห้ามเซียนอับโชคไว้ว่า ‘มาตุภูมิแห่งหมื่นวิถี ที่มาแห่งฟ้าดิน’!
ในกาลก่อน เขตต้องห้ามเซียนอับโชคน่าจะถูกเรียกว่า ‘มาตุภูมิแห่งหมื่นวิถี’ หรือที่มาแห่งฟ้าดิน!
และกฎภูมิดาราแห่งภูมิดาราฟ้าดินก็ถือกำเนิดจากที่มาแห่งภูมิดาราฟ้าดิน!
และจากเหตุนี้ ซูอี้จึงคาดว่าใจกลางเขตต้องห้ามเซียนอับโชคซึ่งถูกเรียกขานว่า ‘มาตุภูมิแห่งหมื่นวิถี ที่มาแห่งฟ้าดิน’ ต้องมีที่มาแห่งภูมิดาราฟ้าดินซุกซ่อนอยู่!
และยังหมายความด้วยเช่นกันว่าแม้ประวัติศาสตร์แต่ก่อนบรรพกาลสลายหาย ถูกทำลายในสายนทียาวแห่งกาลเวลา แม้กฎภูมิดาราแห่งภูมิดาราฟ้าดินมลายสูญแสนนาน ภูมิดาราเหี่ยวเฉาสิ้นพลัง ทว่า…
นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังต้นกำเนิดแห่งภูมิดาราฟ้าดินจะเสื่อมสลายสิ้น
เพราะเขตต้องห้ามเซียนอับโชคยังอยู่!
กล่าวคือ เขตต้องห้ามเซียนอับโชคอยู่รอดมาได้นับแต่แรกกำเนิดภูมิดาราฟ้าดิน!
“ผู้ขัดเกลา แดนลี้ลับดึกตำบรรพ์ ผู้พิทักษ์ ผ่านระดับ… หรือจะหมายความว่าในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค มาตุภูมิแห่งหมื่นวิถีนี้เริ่มก่อเกิดกฎเกณฑ์แล้ว?”
“หากเป็นเช่นนั้น ใครเล่าตั้งมัน?”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขามีประสบการณ์ของทัศนาจารย์ และพอตัดสินคร่าว ๆ ได้ว่าการมีอยู่ของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคบรรจุปริศนาใหญ่หลวงไว้!
หากค้นหาความจริงได้ ก็อาจได้เข้าใจความลับแต่โบราณซึ่งห่างหายแสนนานเกินคาดหยั่ง!
บางที…
อดีตซึ่งถูกกลบฝังก็อาจจะกลับสู่แสงสว่างก็เป็นได้
มรดกและอารยธรรมซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกขัดขวางจะปะทุหวนคืน
ตำนานซึ่งครั้งหนึ่งเคยเจิดจรัสสว่างไสวก็จะถ่ายทอดหมุนเวียนอีกครั้งในโลกหล้า!
“ทว่า จากคำที่เจ้าของแผนที่ลับหนังสัตว์ทิ้งไว้ แม้ผู้มาจะเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดไปก็ยังตายได้อยู่ดี!”
“หากเป็นเช่นนั้น ความลับของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้ก็จะห่างไกลเกินผู้ใดค้นพบ อย่างน้อยก็ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ยังหาผู้ใดล่วงรู้ไม่”
ซูอี้ส่ายหน้า ไม่คิดมากเรื่องนี้
เบาะแสอันมีค่าแทบไม่มี
ครู่ต่อมา ในป่าดึกดำบรรพ์อันมืดสลัว
ซูอี้นั่งขัดสมาธิพินิจฌานอย่างเงียบงัน
ยิ่งพลังกฎเกณฑ์สูงเพียงไร การกินพลังมหาวิถีที่ฝึกฝนมาก็ยิ่งสูงตาม
ก่อนหน้านี้ ยามที่เขาต่อกรกับหลัวจื่อหง เขาเคลื่อนเคล็ดเวียนวัฏสงสารเข้าโจมตี ทำให้การฝึกฝนของซูอี้ถูกสูบพลังเหือดหายมหาศาล
ทว่าจากศึกนี้ ทำให้ซูอี้มั่นใจได้หนึ่งอย่าง…
ว่าภายหน้ายามเผชิญหน้าราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง เขาไม่จำเป็นต้องดึงพลังของดาบเก้าคุมขังมาใช้ เพียงเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่เขาบรรลุก็เพียงพอสังหารศัตรูได้โดยง่ายแล้ว!
…
ในพื้นที่หนองน้ำที่ปกคลุมด้วยหมอกแห่งหนึ่ง
หลัวจื่อหงเข้าสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง ยกมือเคลื่อนค่ายกลลับซึ่งปกคลุมทั่วถ้ำ
นี่คือหนึ่งในค่ายของพวกเขา ค่อนข้างปลอดภัย
หลัวจื่อหงนั่งลงขัดสมาธิ สีหน้ามืดหม่นดูไม่จืด
แขนซ้ายซึ่งขาดสะบั้นหวนคืนมาแล้ว อาการบาดเจ็บมิได้ร้ายแรง ทว่าศึกวันนี้ทำให้เขาตกใจจนต้องหนี
“แค้นนี้ต้องชำระ!”
หลัวจื่อหงกัดฟัน แววตาแฝงประกายเคียดแค้น
เขามิได้เสียสติ แต่รู้ดีว่าในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขัดเกลาล้วนแต่ต้องสู้ให้ตายไปข้าง
และซูอี้คือร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ มิต้องสงสัยเลยว่าเป็นภัยสูงสุด!
โดยไม่รีรอ หลัวจื่อหงล้วงสาส์นไม้ไผ่สีทองออกมาแผ่นหนึ่ง และสลักลายมือด้วยจิตสัมผัส
“ซูอี้ ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ได้เข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคแล้ว และขณะนี้อยู่ในภูเขาไม้เขียว ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ข้าประมือด้วยแล้วพ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย”
“จากศึกนี้ ข้ากล้าสรุปว่าซูอี้จะเป็นภัยต่อราชันแห่งภูมิด้วยเพียงอำนาจของตนเองอย่างแน่นอน!”
“และหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด คนผู้นี้จะถูกเลือกเป็นผู้ขัดเกลาแน่แท้ นี่หมายความว่าเราและเขา ต้องมีฝ่ายหนึ่งตาย หาไม่ก็มิอาจเลิกรา”
เดือด แล้วถ้าจักรพรรดินีมารเป็นผู้ขัดเกลาด้วยจะทำไง ซัดกันนัว
“หากได้พบพาน โปรดระวังตัวด้วย!”
“หากทำได้ หวังว่าพวกท่านจะร่วมมือกับข้าสังหารคนผู้นี้ก่อนเพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในภายหน้า!”
หลังจารึกเสร็จ ดวงตาของหลัวจื่อหงก็ฉายประกายเย็นชา ฝ่ามือปลายนิ้วออกแรง
ฟิ้ว!
สาสน์ไม้ไผ่ทองสั่นไหว ก่อนจะก่อเกิดเป็นพิรุณแสงดุจภาพฝัน