บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 118 ปล่อยพวกเจ้าไปตามทางที่ควรเป็น
บรรยากาศอันมืดหม่น ไม่นานก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
“ซูอี้ วันนี้เจ้าต้องการทำอะไรกันแน่ โอ้อวดอำนาจของเจ้างั้นหรือ? คุยโวถึงความเรืองอำนาจ และใช้สิ่งนี้ทำให้ข้าขายหน้าสินะ?”
ใบหน้าเฉียนอวิ๋นจิวหม่นหมอง ถ้อยคำเย็นชากล่าวออก
ฮัวหลง เจิ้งเซียวหลิน จางเฟิงถู หลิวอิ๋ง หยางฉี ฉู่เหลียนเหิง และคนอื่นต่างจ้องมองไปยังซูอี้ด้วยท่าทางดูน่าเกลียด
ย้อนกลับไปยังครั้งอยู่ในสำนักดาบชิงเหอด้วยกัน พวกเขาทั้งหมดล้วนมีความขัดแย้งมากมายและมักปรามาสซูอี้
ตอนนี้ เมื่อเห็นชายที่ตนเองเคยเหยียบย่ำ ได้จัดงานเลี้ยงบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์และยังเชิญพวกเขามาเป็นพิเศษ ตราบใดที่ไม่โง่เขลาเกินไป ก็จะทราบได้ว่านี่ไม่ใช่งานเลี้ยงที่ดี!
“ข้าตระหนักได้ว่าเทียบเชิญนี้มีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
ฮัวหลงพ่นลมหายใจเย็น “ข้าแค่ไม่เข้าใจ คนพิการไร้การบ่มเพาะ ทั้งยังถูกขับไล่จากสำนัก แล้วเจ้ามานั่งอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ถ้อยคำดูแคลนกล่าวออก
โจวฮวายชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย กระแอมเบา “เจ้าเคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันมาก่อน ดังนั้นควรสุภาพเข้าไว้”
หนานอิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนอาจไม่ทราบ ทว่าศิษย์พี่ซูปัจจุบันไม่อาจเทียบกับอดีตได้อีกต่อไปแล้ว”
หลังจากปรับความคิด ดวงตาคู่งามเปล่งประกาย เสียงหัวเราะใสดังกังวาน
“หากเจ้ารู้เรื่องดี โปรดช่วยให้ความกระจ่างแก่พวกเรา” หลิวอิ๋ง หญิงสาวผู้เป็นศิษย์อีกนางถามขึ้น
หนานอิ่งหันมองซูอี้ เอ่ยถามคำเบา “ศิษย์พี่ซู เจ้ารังเกียจหรือไม่หากข้าจะเอ่ยออก?”
ซูอี้เติมสุราลงจอก ถ้อยคำเฉยเมยกล่าวออก “หากมีสิ่งใดจะพูดก็พูดออกมาตามต้องการ หลังจากคืนนี้ ข้าเกรงว่าเจ้าอาจไม่มีโอกาสนั้นอีก”
“ฮ่า ๆ ดูสิ่งที่เจ้าพูดเข้า! หากรู้ว่าเจ้าภาพงานเลี้ยงคืนนี้เป็นเจ้า ข้าคงไม่มา” ฮัวหลงเยาะเย้ย
คนอื่นล้วนมีความคิดแบบเดียวกัน โดยคิดว่าซูอี้จงใจโอ้อวดอำนาจกับพวกเขาและต้องการทำให้อับอาย
ซูอี้เพียงเหลือบมองฮัวหลงครู่เดียว จากนั้นจึงถอนสายตาและรินสุราลงจอก
“ทุกคน สิ่งที่ท่านลุงโจวกล่าวเป็นเรื่องถูกต้อง พวกเจ้าต้องสุภาพมากกว่านี้”
หนานอิ่งกล่าวถ้อยคำชัดเจน “ประมาณครึ่งเดือนก่อน ศิษย์พี่ซูชนะอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรระหว่างเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋น มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสองฝั่งแม่น้ำต้าฉาง!”
เฉียนอวิ๋นจิว ฮัวหลง และคนอื่นต่างตะลึงงัน เผยสีหน้าไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“เจ้าจะบอกว่าการบ่มเพาะของเจ้าขยะนี่ฟื้นฟูแล้วงั้นรึ?”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
บางคนไม่อาจเก็บซ่อนความตกใจไว้ได้ ปากอ้าค้างตะลึงงัน เห็นได้ชัดว่าในสายตาพวกเขาซูอี้เป็นเพียงขยะเท่านั้น
ในความจริง หากไม่ได้พบเจอกันในวันนี้ พวกเขาคงลืมซูอี้จนสิ้นแล้ว
ขยะที่เคยอยู่ร่วมสำนักเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ในโลกเดียวกัน!
แต่ตอนนี้ หนานอิ่งบอกกล่าวความจริงแก่พวกเขา ใครเล่าจะไม่ประหลาดใจ?
“สรุปแล้ว สิ่งที่เจ้าจะบอกคือการบ่มเพาะของซูอี้ฟื้นฟูแล้ว?”
เฉียนอวิ๋นจิวดูประหลาดใจ
“ไม่เพียงฟื้นฟูเท่านั้น แต่ยังแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากอีกด้วย”
ดวงตาหนานอิ่งเผยความชื่นชมและเคารพ “ศิษย์พี่เหวินเจวี๋ยหยวนแม้จะแข็งแกร่งโด่งดัง ทว่าในงานประลองประตูมังกร เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โม่เทียนหลิงด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ถัดมา ศิษย์พี่ซูอี้ก้าวขึ้นไปบนเวที เขากลับเอาชนะโม่เทียนหลิงอย่างง่ายดาย ใช้โม่เทียนหลิงเป็นขั้นบันไดขึ้นไปสู่ความรุ่งโรจน์!”
“นี่…”
เฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นมีสีหน้าแปรเปลี่ยน
เหวินเจวี๋ยหยวนคือผู้เก่งกาจอันดับต้น ๆ ในบรรดาศิษย์สายในสำนักดาบชิงเหอ แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่โม่เทียนหลิง
จากนั้นโม่เทียนหลิงก็พ่ายแพ้ต่อซูอี้!
ด้วยการเปรียบเทียบดังกล่าว พวกเขาจะไม่ตระหนักได้อย่างไรว่าซูอี้ทรงพลังมากหลังจากฟื้นคืนการบ่มเพาะ?
“มันเป็นไปได้อย่างไร?” หลิวอิ๋งยังไม่อยากเชื่อและไม่คิดยอมรับเรื่องราว
คนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน
ใครบ้างจะยินดียอมรับตัวตนที่พวกเขารังแกและเหยียบย่ำมาโดยตลอด ว่ากลับกลายเป็นผู้ทรงพลังเหนือกว่า?
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ข้าได้เห็นกับตาตัวเอง แล้วจะเป็นเรื่องเท็จไปได้อย่างไร?”
โจวฮวายชิวดุเฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มันยากเย็นแสนเข็ญที่จะยอมรับว่าซูอี้แข็งแกร่งขึ้นงั้นหรือ? รีบดื่มให้ซูอี้สักหนึ่งจอก แล้วอย่าพูดถึงความคับข้องใจในอดีตอีกเลย”
เมื่อเห็นเฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นยังคงมีท่าทีต่อต้านและปฏิเสธซูอี้เช่นนี้ เขาจะไม่รีบร้อนแก้ไขได้อย่างไร
ตัวตนของซูอี้ในตอนนี้ที่สามารถจัดงานเลี้ยงอยู่บนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์และทำให้นายหญิงชุ่ยอวิ๋นปรนนิบัติเป็นการส่วนตัวได้ หากเฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่น ๆ ยังคงพูดจาไร้สาระต่อไป มันไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวงั้นหรือ?
ซูอี้ลืมตาขึ้นมองโจวฮวายชิว แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออก
แลเห็นความกังวลของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
น่าเสียดาย แม้โจวฮวายชิวบังเอิญอยู่ที่นี่ สถานการณ์ของค่ำคืนนี้ก็ถูกลิขิตให้ยากต่อการเปลี่ยนแปลง
ขณะครุ่นคิด ซูอี้เทสุราลงจอกอีกครั้ง
“ท่านลุงโจว นี่ท่านต้องการให้ข้าดื่มให้กับมันผู้นี้จริง ๆ งั้นหรือ!?”
เฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ความขุ่นเคืองในใจพลันปะทุเดือด
หัวใจของโจวฮวายชิวดิ่งฮวบลง
หากเป็นตัวตนที่เคยผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชน คงแลเห็นเบาะแสผิดปกติของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้
แต่น่าเสียดายที่เฉียนอวิ๋นจิวและทุกคน ล้วนเป็นเพียงคนหนุ่มสาวจากตระกูลไม่ธรรมดา พวกเขาจึงไม่อาจยืนหยัดต่อคำพูดเช่นนี้ได้
“ซูอี้ นี่คงเป็นจุดประสงค์ของงานเลี้ยงในครั้งนี้ โอ้อวดอำนาจของเจ้าก่อน แล้วจึงใช้ผู้อาวุโสอย่างโจวฮวายชิวมากดดันให้ข้าโค้งคำนับ เจ้าฉลาดไม่น้อยเลย!”
หยางฉีลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล
เขานิ่งเงียบมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
“อีกอย่าง เจ้าฟื้นฟูการบ่มเพาะแล้วอย่างไร? ข้าไม่มีวันคำนับเจ้าเพียงเพราะงานเลี้ยงเช่นนี้!”
ฉู่เหลียนเหิง จางเฟิงถู และคนอื่นต่างแสดงความรังเกียจ ทั้งยังมีท่าทีหยิ่งทะนง
ซูอี้ยังคงไม่พูดกล่าวสิ่งใด ขณะรินสุราลงจอกต่อไป
รับชมท่าทีไม่แยแสของอีกฝ่าย โจวฮวายชิวหนาวสะท้านเข้าไปในหัวใจ ลางร้ายถาโถมอย่างต่อเนื่อง
เปรี้ยง!
โจวฮวายชิวตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ใบหน้าสง่าเผยความเย็นชา ถ้อยคำกล่าวออก “พวกเจ้าช่างเขลานัก! แม้จะไม่สนใจว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด แต่กลับกล้าพูดจากโอหังเช่นนี้ ผู้เฒ่าชราขอถามว่าผู้อาวุโสในตระกูลข้างหลังพวกเจ้ามีคุณสมบัติพอจะจัดงานเลี้ยงที่นี่งั้นหรือ!?”
ความเย็นเยือกแผ่ออกจากสายตา เฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
หากย้อนถามตัวเอง แม้กลุ่มคนเบื้องหลังพวกเขาล้วนแล้วพิเศษ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะมีสิทธิ์ขึ้นมานั่งบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ได้…
“ทุกคน ท่านลุงโจวหมายความว่า การที่ศิษย์พี่ซูสามารถจัดงานเลี้ยงที่นี่ได้ ตัวตนของเขาจึงไม่สามารถเทียบกับอดีตได้อีกต่อไป”
ดวงตาหนานอิ่งเปล่งประกายงดงามดั่งธารน้ำ กล่าวออกคำเบา “หากยังมองว่าเขาเป็นคนเดิมกับในอดีต ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการก่อปัญหาได้”
สีหน้าเฉียนอวิ๋นจิวหม่นหมองและแปรเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสงบสติอารมณ์ลงทันที
“ศิษย์น้องหนานอิ่ง เจ้าพูดแทนศิษย์น้องซูตลอดในค่ำคืนนี้ หรือว่าเจ้าหวนนึกถึงความสัมพันธ์ในอดีตที่จบลงไปแล้ว?”
หนีเฮ่าแสร้งทำเป็นสงบและเมินเฉย แต่แท้จริงเขาอึดอัดใจยิ่ง
ตั้งแต่อึดใจที่เข้ามายังโถงธารคีรี สายตาหนานอิ่งก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของซูอี้ราวกับไม่อาจปล่อยมือจากอีกฝ่าย
ทุกครั้งที่ปากเอ่ยคำออก นางจะโน้มน้าวทุกคนว่าซูอี้เก่งกาจเพียงใด เช่นนี้หนีเฮ่าจะไม่อิจฉาได้อย่างไร?
ใบหน้าหนานอิ่งแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนรีบอธิบายทันใด “ศิษย์พี่หนีเฮ่า ข้าเพียงกล่าวความจริงตามท่านลุงโจว และไม่ต้องการให้สถานการณ์ตึงเครียด สุดท้ายแล้ว หากเกิดความขัดแย้งขึ้นคงไม่ใช่เรื่องดี”
“หากขัดแย้งแล้วจะทำไม?”
ทันใดนั้น ฮัวหลงอดไม่ได้จะกล่าวออก “ในสำนักดาบชิงเหอ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับซูอี้? ข้ายอมรับว่าตอนนี้เขาพัฒนามากจนมีคุณสมบัติที่จะนั่งบนชั้นเก้าเพื่อจัดงานเลี้ยง แต่ข้าไม่อาจก้มหัวให้เขาได้!”
หลังกล่าวจบ โจวฮวายชิวโกรธเคืองมากจนอยากตบเขาให้ตาย
คำเตือนของข้ายังไม่ชัดเจนพออีกรึ?
ทั้งยังเห็นเฉียนอวิ๋นจิว หลิวอิ๋ง หยางฉี และคนอื่นต่างเห็นด้วย แต่ละคนล้วนเผยท่าทีหยิ่งผยอง
อย่างไรก็ตามซูอี้ยังคงไม่ปริปากพูดสิ่งใด เขาเทสุราลงอีกหนึ่งจอก
ด้านหน้า มีจอกสุราแล้วถึงหกจอก
สำหรับหวงเฉียนจวิน เขานั่งมองอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ สายตาที่เหลือบมองเฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นเป็นครั้งคราวเต็มเปี่ยมด้วยความสังเวช
เขาเข้าใจความคิดเหล่าทายาทตระกูลใหญ่กลุ่มนี้ดีที่สุด หากอยากให้พวกเขายอมก้มศีรษะ มีเพียงวิธีเดียวคือสั่งสอนให้หนัก
และหากต้องการให้พวกเขาเคารพอย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลพวกเขายอมศิโรราบ
มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีทางสำนึก โดยคิดว่าอำนาจของตระกูลสามารถกู้คืนใบหน้าที่เสียไปได้เสมอ
ยิ่งต้นกำเนิดสูงส่ง ก็ยิ่งหลงตนว่าพิเศษเหนือใคร
กล่าวอีกนัย นี่เป็นเรื่องปกติสามัญของโลกนี้
น่าเสียดาย ตัวตนที่พวกเขาเผชิญหน้าครั้งนี้ เป็นชายผู้อยู่เหนือกฎเกณฑ์มากที่สุดในโลกหล้า!
“งานเลี้ยงนี้ช่างน่าขยะแขยง ท่านลุงโจว เช่นนั้นข้าขอลา”
เฉียนอวิ๋นจิวลุกขึ้นยืน ไม่คิดหันมองซูอี้อีกครั้ง
“อืม พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ฮัวหลงและคนอื่นต่างลุกขึ้นตามไปเช่นกัน
แต่ละคนหันมองอย่างเหยียดหยาม
ในเวลานี้ ซูอี้เทสุราลงจอกที่เจ็ด ถ้อยคำเฉยเมยกล่าวออก “อย่าได้กังวลเลย หากข้าพูดจบแล้ว ข้าจะเป็นคนปล่อยพวกเจ้าไปตามทางที่ควรเป็น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เฉียนอวิ๋นจิวหันกลับ กล่าวออกด้วยรอยยิ้ม “ซูอี้ เจ้ายังคิดให้พวกเราอยู่ที่นี่อีกงั้นหรือ!?”
ฮัวหลงและคนอื่นหยุดเดิน หันกลับมามองซูอี้ด้วยสายตาเย็นชา
บรรยากาศโดยรอบพลันอึมครึม
ใบหน้าโจวฮวายชิวแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบกล่าวถ้อยคำ “ซูอี้ อย่าหุนหันพลันแล่น เห็นแก่หน้าข้าแล้วปล่อยพวกเขาไป”
ซูอี้ลุกขึ้นยืน ดวงตาไม่แยแสพลางกล่าวออก “ท่านลุงโจว ครั้งที่อยู่ในสำนักดาบชิงเหอ ท่านเองก็ทราบว่าพวกเขารังแกข้าอย่างไร แต่ในเวลานั้น ไม่มีใครในสำนักดาบชิงเหอที่มอบความยุติธรรมแก่ข้า”
“ตอนนี้ ข้าอยากยุติความคับข้องใจในอดีต แต่ท่านกลับต้องการหยุดข้า มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
โจวฮวายชิวตกตะลึง หัวใจสั่นสะท้าน ชัดเจนแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้วางแผนใช้งานเลี้ยงเพื่อแก้แค้นอย่างแท้จริง
“ศิษย์พี่ซู นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ไม่ใช่สถานที่ที่ก่อเรื่องได้”
หนานอิ่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวออก
เฉียนอวิ๋นจิวและฮัวหลงพลันยิ้มเยาะ
หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยว่า ผู้ที่ก่อปัญหาในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์จะมีจุดจบที่ดี!
ฮัวหลงกล่าวเสริม “ซูอี้ เจ้าคงไม่รู้ว่าเมื่อราวสองถึงสามวันก่อน เหนียนอวิ๋นเฉียวและเหยียนเฉิงหรงมาที่นี่ จากนั้นก็ถูกมู่จงถิงผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอฆ่าตายเพราะพวกเขาก่อปัญหา และหลังจากที่ตระกูลของพวกเขารับรู้ข่าวคราว ทั้งตระกูลเหนียนและตระกูลเหยียนต่างไม่กล้าแม้แต่จะขมวดคิ้วขุ่นเคือง เวลานี้เจ้าอยากจะลองดูสักหน่อยหรือ?”
“เหนียนอวิ๋นเฉียวและเหยียนเฉิงหรงเสียชีวิตแล้ว?”
หนานอิ่งประหลาดใจ เท่าที่นางรู้ สองคนนี้เป็นศัตรูของซูอี้ในอดีต
“ใช่! พวกเขาเสียชีวิตในโถงธารคีรีที่เราอยู่ขณะนี้!” เสียงของฮัวหลงดังก้องโถง
ได้ยินเช่นนั้น โจวฮวายชิวและหนีเฮ่าอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“หากเจ้ากล้าทำ ข้าจะขอนับถือเจ้าในฐานะลูกผู้ชาย!” ฮัวหลงยกมือชี้ตรงไปยังซูอี้ด้วยความดูแคลน
ความหมายอีกนัยหนึ่ง หากเจ้าไม่ทำก็ควรไปสวมกระโปรงซะ
เฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นอดหัวเราะออกมาไม่ได้
รสชาติการยั่วยุช่างหอมหวาน
รับชมภาพนี้ ริมฝีปากของหวงเฉียนจวินกระตุก เขาแทบกลั้นขำไว้ไม่ได้
หากทราบว่าพี่ซูอี้เป็นผู้สังหารสองคนนั้น พวกเขาจะยังกล้ายั่วยุพี่ซูเช่นนี้อยู่อีกหรือ?
ช่างโง่เขลาอย่างแท้จริง!
แลเห็นเรื่องราววุ่นวายยิ่งขึ้น โจวฮวายชิวขมวดคิ้วมุ่นลอบถอนหายใจ ก่อนตั้งมั่นไกล่เกลี่ยเรื่องราวนี้
แต่ในเวลานั้นเอง
ชิ้ง!
เสียงดาบคำรามดังกังวานทั่วโถงธารคีรี!!