บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1181: ยอมแพ้ได้หรือไม่?
ตอนที่ 1181: ยอมแพ้ได้หรือไม่?
เสียงดาบดังขึ้น ทุกคนในที่นั้นต่างก็ตื่นตระหนก
จากนั้นพวกเขาก็เห็นศีรษะของบุรุษผู้สวมชุดสีทองกลิ้งหลุดจากบ่า
รอยบาดแผลที่คอเป็นแนวเรียบ
ฟู่!
กลิ่นคาวเลือดอันเข้มข้นแผ่ขยายออกไป
จากนั้น ร่างของบุรุษผู้สวมชุดสีทองกับศีรษะที่กระเด็นลอยขึ้นฟ้าก็กลายเป็นเถ้าผงธุลี
สภาพการตายอันน่าสยดสยองเช่นนี้ ทำให้ทุกคนถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
“ผู้ใด!?”
ผู้บ่มเพาะฝ่ายโรงวาดฤทัยเหล่านั้นเดือดดาลและระมัดระวังตัวเองขึ้น
บุรุษในชุดสีทองเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลาง ทว่าจู่ ๆ กลับต้องมาดับชีวิตต่อหน้าผู้คนหน้าตาเฉย จะไม่ให้ตื่นตระหนกได้เช่นใด?
สีหน้าของผู้เฒ่าผู้สวมชุดผ้ากระสอบเคร่งเครียดขึ้น เขากวาดสายตาอันเฉียบคมมองไปโดยรอบ
บนหินใหญ่ที่อยู่ริมทะเลสาบก้อนนั้น บุรุษผู้สวมชุดสีแดงถือเบ็ดสีทอง นั่งอยู่บนแท่นตกปลาอย่างสงบ ทว่าสายตากลับดุดันเกรี้ยวกราด
มีคนบังอาจลอบทำร้ายพวกเขาเช่นนั้นหรือ?
อยากตายเสียแล้ว!!
ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ เสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“ด่าข้าซูเสวียนจวินเป็นคนสารเลว ต้องชดใช้ด้วยความตายเท่านั้น”
ซูเสวียนจวิน!?
ทุกคนในที่นั้นต่างระส่ำระสาย ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสี
หญิงสาวที่พยายามหนีจากความตายคนนั้นเบิกตาโพลง
จากนั้นนางก็ร้องด้วยความตื่นเต้นยินดี “ใต้เท้าซู! ข้าเคยเห็นความงามสง่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ของใต้เท้าซูตอนที่สังหารเหล่าศัตรู ไม่มีทางผิดตัวอย่างแน่นอน!”
ผู้ฝึกตนที่ถูกจับตัวเหล่านั้นพากันตื่นตัวขึ้นมา
ใต้เท้าซู!!
พวกเขาในยามนี้ไม่ต่างกับนักโทษผู้สิ้นหวังที่มองเห็นแสงสว่างอันเรืองรอง!
“เขาคือซูเสวียนจวินเช่นนั้นหรือ? เป็นทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่เช่นนั้นหรือ?”
ผู้บ่มเพาะของกองทัพโรงวาดฤทัยต่างก็ดูจะไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวในเวลานี้
“พวกเจ้าดีใจเร็วเกินไป คิดว่าซูเสวียนจวินมาแล้ว จะสามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?”
บนหินใหญ่ริมทะเลสาบ บุรุษผู้สวมชุดสีแดงหันหลังให้คนอื่น ๆ จากนั้นเขาก็กล่าวเนิบ ๆ ช้า ๆ “ฆ่าคนที่จับมาเหล่านั้นก่อน ให้ซูเสวียนจวินได้เห็น”
แค่ประโยคเดียว ผู้ฝึกตนที่ถูกจับตัวเหล่านั้นล้วนมีอาการตื่นกลัวจนหน้าซีดในทันใด
ผู้เฒ่าในชุดผ้ากระสอบกวาดตามองผู้บ่มเพาะของฝ่ายโรงวาดฤทัย ก่อนจะตะคอกสั่ง “ลงมือ!”
ครืน!
ผู้บ่มเพาะฝ่ายโรงวาดฤทัยเหล่านั้นมีด้วยกันทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน เวลาถัดมา พวกเขาเริ่มลงมือทันที
ทว่ายังมีสิ่งที่รวดเร็วยิ่งกว่า นั่นคือพลังดาบที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นจนเต็มฟ้า จากนั้นมันก็ร่วงหล่นลงมาราวกับน้ำฝนที่เทสาด ลงมายังทั่วหล้า
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ตัวตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำทั้งสิบเจ็ดคนก็ตายไม่เหลือ!
น่ากลัวเหลือเกิน
ผู้ฝึกตนที่ถูกจับตัวเหล่านั้นตื่นตระหนกอย่างแรงจนได้แต่นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ใต้เท้าซู… รุนแรงเหลือเกิน!!!
“นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าอยากจะให้ข้า… เห็น? หึ ๆ…”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเขาก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนที่ถูกจับตัวเหล่านั้น
“ไม่ได้เรื่องสักคน!”
บุรุษผู้สวมชุดสีแดงที่อยู่บนหินใหญ่สบถเสียงฮึขึ้นจมูก เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจมากแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้น พลางหันหน้ามองไปที่ซูอี้ สายตาร้อนแรงกับแสงตะวัน “ข้าได้ยินว่า เมื่อหลายชั่วยามก่อน หลัวจื่อหงพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า แต่เพราะเหตุใดจึงไม่ฆ่าเขาเสียเล่า?”
ซูอี้ตอบ “เจ้าคิดว่าข้าไร้ความสามารถเช่นนั้นหรือ?”
บุรุษผู้สวมชุดสีแดงส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่เลย ข้าเพียงแต่คิดว่า ทัศนาจารย์กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว คงจะไม่ได้ร้ายกาจเหมือนกับที่เล่าลือกัน”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา ฝ่ามือประดุจคมดาบ ตวัดเพียงเบา ๆ
เอื๊อก!
ศีรษะของผู้เฒ่าในชุดผ้ากระสอบที่ยืนห่างไปหลายสิบจั้งก็กระเด็นลอยขึ้นฟ้า
ก่อนตาย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย กำลังลองเชิงและเจรจากันอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดบทจะลงมือก็ลงมือเลย!?
ซูอี้ตอบน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าดูสิ ข้าฆ่าทุกคนรอบตัวเจ้าหมดแล้ว หากเจ้าคิดว่าข้ายังร้ายกาจไม่พอ จะลองทดสอบดูด้วยตนเองก็ได้”
สีหน้าของบุรุษผู้สวมชุดสีแดงคร่ำเคร่งขึ้น ในสายตามีประกายเคียดแค้นอาฆาต
ทว่าสุดท้าย เขายังคงระงับไฟโกรธในใจลง และกล่าวทีละคำช้า ๆ ชัด ๆ “พบกันอีกทีครั้งหน้า ข้าจะสับเจ้าให้เป็นหมื่นชิ้น!”
สวบ!
เสียงเพิ่งดังขึ้น ทว่าร่างของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสายรุ้งเทวะพุ่งทะลุอากาศออกไปแล้ว
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึง
เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า ตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิของโรงวาดฤทัยผู้ที่ก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีเย็นชาและแข็งกระด้าง พอได้มาประจันหน้ากับซูอี้จริง ๆ กลับหนีไปหน้าตาเฉย ไม่กล้าสู้ด้วย!
“ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
ร่างของซูอี้หายวับไปจากที่เดิม
สวบ!
พลังดาบเล่มหนึ่งฟันออกไป
ทันใดนั้นฟ้าดินก็ตกอยู่ในความมืดมิด เงาเลือนรางของวัฏสงสารหกวิถีปรากฏตัวบนผืนแผ่นดินแห่งนี้
ราวกับมีม่านขนาดใหญ่บดบังแสงตะวัน
บุรุษในชุดสีแดงหยุดฝีเท้าห่างออกไปหลายพันจั้งและปล่อยหมัดออกไป
ครืน!
แรงหมัดดั่งคลื่นใหญ่ในมหาสมุทร พลังกฎเกณฑ์นำพาการทำลายล้างซัดออกไป
ทว่าเพียงแค่ชั่วครู่เดียว แรงหมัด ๆ นี้ก็ถูกกฎเวียนวัฏสงสารอันมืดมิดดับสลายหายไปสิ้น
“นี่…”
สีหน้าของบุรุษผู้สวมชุดสีแดงเปลี่ยนไป
เขาไม่ลังเลชักช้าอีก ชักดาบรบสีทองที่มีความยาวฉื่อกว่า ๆ ออกมาและฟาดฟันออกไปในทันใด
ครืน!
มังกรสีทองยาวถึงร้อยจั้ง กลายร่างมาจากกฎเกณฑ์เดือดระห่ำ มีความคล่องแคล่วว่องไว
“ก็แค่มดตะนอยตัวจ้อย”
ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์นำพาภาวะดาบอันไร้เทียมทานบดขยี้มังกรสีทองตัวนั้นได้ภายในดาบเดียว
ราวกับเซียนเสด็จสู่โลก สังหารมังกรร้ายจนสิ้น!
บุรุษผู้สวมชุดสีแดงกระอักเลือด เขาทั้งโกรธและตกตะลึง
ฟ้าดินแถบนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังกลับชาติอันมืดมิด ทำให้เขาไม่มีที่ให้หลบหนี
“กล่าวได้อย่างไม่อาย ทัศนาจารย์ในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ร่างที่กลับชาติมาเกิดเท่านั้น แม้กระทั่งหลัวจื่อหงก็ยังฆ่าไม่ตาย จะบอกว่ากล้าหาญชาญชัยได้อย่างไร?”
บุรุษผู้สวมชุดสีแดงกัดฟันขณะกวัดแกว่งดาบรบสีทอง พุ่งเข้าใส่ซูอี้ก่อน
กระทั่งหลัวจื่อหงยังหนีเอาตัวรอดไปได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะทำไม่ได้!
“บอกว่ากล้าหาญชาญชัยได้อย่างไร? ดี เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ดู”
ซูอี้ยิ้มบาง ๆ ถือดาบเข้าประจันหน้า
ครืน!
ศึกใหญ่ปะทุขึ้น
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น บุรุษผู้สวมชุดสีแดงได้รับบาดเจ็บเต็มตัว เลือดไหลซิบ ๆ ออกมาจากบาดแผล
เขาไม่อยากจะเชื่อแม้แต่น้อย
ตามที่รู้กันดีว่า หากพูดถึงระดับการฝึกตน เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลัวจื่อหงผู้ฝึกตนขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นกลางเลย พูดถึงกำลังการต่อสู้ที่แท้จริง ยังเหนือกว่าหลัวจื่อหงเสียด้วยซ้ำ
ทว่าเวลาที่ต่อสู้กับซูอี้ผู้อยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นกลาง กลับอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าตั้งแต่เริ่ม แทบไร้เรี่ยวแรงกำลังจะทัดทาน!
“เป็นหินลับมีดก็ควรจะมีจิตสำนึกของหินลับมีด หากไม่ใช่เพราะข้าในตอนนี้มีระดับการฝึกตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ ตัวตนเช่นเจ้ายังไม่มีคุณค่าพอให้ข้าชักดาบเสียด้วยซ้ำ”
เสียงของซูอี้ราบเรียบบางเบา
ทว่าบุรุษผู้สวมชุดสีแดงได้ยินแล้วกลับรู้สึกอับอายอย่างใหญ่หลวง
เช่นนี้สร้างแรงกดดันอย่างหนักให้แก่ซูอี้
แต่ก็ทำให้ซูอี้รู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุดเช่นกัน
ตอนนี้ สิ่งที่เขาขาดก็คือคู่ต่อสู้เช่นนี้ สามารถฆ่าสังหารได้อย่างสาแก่ใจ อาศัยการต่อสู้เพื่อฝึกฝนขัดเกลาระดับวิถีของตัวเอง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ไม่นานเท่าไรบุรุษผู้สวมชุดสีแดงก็ไม่อาจฝืนต้านทานได้อีก
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว คิดจนสมองแตกก็คิดไม่ออกว่า เพียงแค่ตัวตนขอบเขตสานพันธะลึกล้ำคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดจึงร้ายกาจได้ถึงขั้นนี้
“ใต้เท้าทัศนาจารย์ ข้าขอยอมแพ้ตอนนี้ได้หรือไม่?”
ทันใด บุรุษผู้สวมชุดสีแดงก็ร้องตะโกนเสียงสั่น
เขาไม่อยากจะตาย ยอมเป็นฝ่ายขอยอมแพ้โดยไม่สนใจหน้าตาและศักดิ์ศรี
ห่างออกไป ผู้ฝึกตนของมหาแดนดินที่ถูกจับตัวเหล่านั้นถึงกับอ้าปากตาค้าง ราชันแห่งภูมิแท้ ๆ กลับลดตัวยอมแพ้อ้อนวอนขอไว้ชีวิต!?
“ข้ายินดีจะมอบสมบัติทั้งหมดที่ติดตัวให้ ยอมเป็นหินลับมีดให้กับใต้เท้า พร้อมทำตามคำสั่งทั้งหมดของใต้เท้า!”
บุรุษผู้สวมชุดสีแดงกล่าวขอร้อง
“จริงหรือ?”
ซูอี้เก็บดาบทันใด
“แน่แท้อย่างที่สุด!”
บุรุษผู้สวมชุดสีแดงพยักหน้าติดต่อกันหลายที
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงไปตายเสีย” ซูอี้ออกคำสั่ง
บุรุษผู้สวมชุดสีแดง “…”
ตอนนี้เขาจึงรู้ตัวแล้วว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งเข้าแล้ว ถึงกับแผดเสียงร้องตะโกน “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ท่านจะฆ่าไม่เว้นจริง ๆ หรือ!? ข้าขอบอกไว้ก่อน หลัวจื่อหงเริ่มติดต่อกับคนอื่น ๆ แล้ว อีกไม่นานเท่าไร จะต้อง…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ประกายดาบเวียนวัฏก็ปรากฏ เชือดคอหอยของเขาตายในดาบเดียว!
ตัวของเขาราวกับถูกหุบเหวลึกดูดกลืนตามแรงระเบิดของกฎเวียนวัฏสงสาร ร่างกายและจิตวิญญาณล้วนหายสาบสูญไปในชั่วพริบตา
“เมื่อไรที่ไม่ใช้กฎเวียนวัฏสงสาร บางทีก็อาจจะสามารถบดขยี้ตัวตนอสงไขแท้เที่ยงขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย”
ซูอี้ถอนใจยาว ๆ
ขณะที่ต่อสู้ในครั้งนี้ เขากลัวว่าบุรุษผู้สวมชุดสีแดงจะหนีไป จึงใช้กฎเวียนวัฏสงสารเต็มกำลัง จึงสามารถขจัดฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จ
แต่ซูอี้รู้ดีว่า หากตัวเองโดนกลุ่มราชันแห่งภูมิโอบล้อม ตนคงทำได้แต่เพียงต้องหลบหนีไปก่อน
ช่วยไม่ได้ ระดับการฝึกตนของพวกเขามันแตกต่างกันมากเกินไป
สู้กันตัวต่อตัวยังพอไหว
หากคนเดียวสู้กับคนเป็นหมู่ นอกเสียจากใช้พลังของดาบเก้าคุมขัง มิเช่นนั้น โอกาสพ่ายแพ้มีมากกว่าชนะ
ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้ก็หมุนตัวกลับไปยังริมธารศิลาหลอมแห่งนั้น
“ขอบพระคุณใต้เท้าซูที่ช่วยชีวิต”
“บังเอิญมาเจอ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “ถือโอกาสนี้ พวกเจ้ารีบไปกันเถอะ ออกไปจากเขตต้องห้ามเซียนอับโชคแห่งนี้โดยเร็วจะเป็นการดีที่สุด”
“เช่นนี้…”
ผู้ฝึกตนจากมหาแดนดินเหล่านั้นต่างก็มีสีหน้าสลด
ผู้เฒ่าคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวน้ำเสียงขมขื่น “เรียนใต้เท้าซูตามตรง ต่อให้ไม่มีผู้บ่มเพาะจากจักรวาลพร่างดาว ด้วยพลังของพวกเรา ก็คงไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี…”
ตอนนั้น พวกเขาวู่วามเกินไป เพื่อเสาะหาโอกาสวาสนาจึงบุ่มบ่ามบุกเข้ามา
เมื่อมาถึงเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเข้าจริง ๆ พวกเขาจึงเข้าใจแล้วว่า เขตต้องห้ามอันดับหนึ่งของมหาแดนดินแห่งนี้เป็นสถานที่อันตรายและน่ากลัวเพียงใด
“เอาล่ะ พวกเจ้าถือหยกชิ้นนี้ไว้ เดินตามเส้นทางที่แสดงบนนั้นก็ได้แล้ว”
ซูอี้หยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมา ยื่นไปให้ในระยะห่าง
“ขอบคุณใต้เท้าซู ขอบคุณใต้เท้าซูมาก!”
ผู้ฝึกตนจากมหาแดนดินเหล่านั้นส่งเสียงขอบคุณด้วยความยินดี บางคนยังถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นโขกศรีษะ!
“รีบกลับออกไปเถอะ”
ซูอี้โบกมือ
ผู้ฝึกตนจากมหาแดนดินเหล่านั้นก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ที่ทำให้ซูอี้รู้สึกตกใจก็คือ ตอนที่คนเหล่านี้จะจากไป ยังเก็บศพของผู้ฝึกตนจากมหาแดนดินที่ถูกผู้บ่มเพาะของโรงวาดฤทัยเหล่านั้นฆ่าตายกลับไปด้วย บอกว่าจะนำศพเหล่านี้ส่งกลับไปที่บ้านของพวกเขาแต่ละคน เพื่อทำพิธีส่งศพไปสู่สุคติ
‘จิตใจดีงามเช่นนี้ หากันได้ไม่ง่าย ไม่เสียแรงที่ข้าช่วยพวกเขา’
ซูอี้แอบคิดในใจ
ลำดับถัดมา เขาก็มาอยู่บนหินใหญ่ริมธารศิลาหลอมแห่งนั้น
เบ็ดตกปลาสีทองยังคงวางอยู่ตรงนั้น
ด้านหนึ่งของหินใหญ่ มีโต๊ะเก้าอี้กับข้องจับปลาตั้งอยู่
ในข้องปลา มีปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายสามตัวแหวกว่าย
ซูอี้ชำเลืองมองเพียงแค่แวบเดียวก็หันไปมองธารศิลาหลอมแห่งนั้น
ธารศิลาเดือดพล่าน เพลิงปะทุขึ้น ช่วงใจกลางทะเลสาบมีบงกชเทวะเก้าสีขึ้นอยู่กอหนึ่ง งดงามหลากสีสัน ประกายวิถีสว่างสดใส
ที่ข้างใต้บงกชเทวะเก้าสีกอนั้น สามารถมองเห็นราง ๆ ว่ามีฝูงปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายกำลังแหวกว่ายผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในธารศิลาหลอม
“โอกาสนี้เป็นของข้าแล้ว”
ริมฝีปากของซูอี้เผยรอยยิ้มน้อย ๆ
ครั้งนี้ ไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ
อาศัยโอกาสนี้ ไม่แน่ระดับการฝึกตนอาจจะสามารถบรรลุไปอีกขั้นหนึ่งก็ได้!
………………..