บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1183: กลัว!
ตอนที่ 1183: กลัว!
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ซูอี้ก็อดตะลึงไม่ได้ ตาเฒ่าคนนี้หนีเร็วเสียเหลือเกิน
แต่เสียดาย หนีไปก็ไม่เกิดประโยชน์
ปัง!
ใต้ท้องนภาที่ห่างไกล เกิดเสียงดังหนัก ๆ ขึ้น
ศีรษะของเมิ่งฉางอวิ๋นกระแทกเข้ากับผนังมิติที่หนาและหนักอย่างแรงจนหน้าผากปูด ดาวสีทองขึ้นเต็มหน้า
“ค่ายกล!?”
ใบหน้าของเมิ่งฉางอวิ๋นเปลี่ยนสี สถานที่แห่งนี้เป็นกับดักจริง ๆ เสียด้วย!
เขาล้วงเอาตราประทับออกมา จากนั้นซัดออกไปอย่างแรง
ครืน!
ผนังกั้นมิตินั้นสั่นสะเทือนอย่างแรง จนกระทั่งแตกกระจายกลายเป็นสะเก็ดแสงค่ายกลต้องห้ามนับไม่ถ้วน
เมิ่งฉางอวิ๋นบุกไปข้างหน้าในทันใด
ทว่าครู่ถัดมา เกิดเสียงกระแทกดังรุนแรง เมิ่งฉางอวิ๋นกระแทกโดนผนังมิติอีกชั้น หน้าที่ปูดโนขึ้นมามีเลือดไหล เจ็บจนเขาต้องกัดฟันแน่น
“ยังมีอีกหรือ?!”
เมิ่งฉางอวิ๋นโกรธจัด ขณะเดียวกันยิ่งตื่นตระหนกขึ้นในใจ
เขาเป็นถึงราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง แต่ไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นอายของค่ายกลนั้นเลยแม้แต่น้อย ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!
“เปิด!”
เมิ่งฉางอวิ๋นขับดับตราประทับวิถีโดยไม่รอช้า และทลายผนังมิติชั้นที่สองโดยทันที
อีกทั้งเขายังระมัดระวังตัวมากขึ้น ขณะขับดันตราประทับวิถีพังทลายทุกสิ่งตรงหน้าตลอดทาง
ตามความคาดหมาย ผนังมิติปรากฏขึ้นตลอดทางชั้นแล้วชั้นเล่า สุดท้ายถูกพังทลายยับ
เมิ่งฉางอวิ๋นแอบโล่งใจ
ทว่าเมื่อพังทลายผนังมิติไปแล้วอีกครั้ง เมิ่งฉางอวิ๋นกลับตื่นตระหนกอย่างแรง ลูกตาแทบถลนออกมา
ตรงหน้ากลับเป็นธารศิลาหลอม!
“ค่ายกลนี้สร้างความตาลปัตร ทำให้มิติสับสน!”
เมิ่งฉางอวิ๋นเข้าใจได้ในทันใด ทั้งตื่นตระหนกทั้งโกรธแค้น
บนหินใหญ่ก้อนนั้น ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย หัวเราะพลางกล่าว “สหายเต๋า เจ้ากลับมาแล้ว”
สีหน้าของเมิ่งฉางอวิ๋นซีดขาว เขาหมุนตัวเพื่อจะหนีไปอีกครั้ง
ครืน!
ระดับวิถีในตัวเขาถูกขับเคลื่อนจนเต็มกำลัง ขับดันตราประทับวิถี บุกออกไปอย่างเต็มที่
ฟ้าดินในแถบนี้สั่นสะเทือน มิติสับสน สะเก็ดแสงแห่งค่ายกลกระจัดกระจาย
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เมิ่งฉางอวิ๋นก็ทลายสิ่งกีดขวางมิติลงชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างกล้าหาญดุดัน
“โง่เขลาดักดาน คงจะเป็นเช่นนี้เอง”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ ขณะพุ่งตัวไปกลางอากาศ
ชิ้ง!
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์พุ่งออกไปพิฆาตเมิ่งฉางอวิ๋น
เรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่เต็มไปด้วยภาวะดาบอันคมกริบที่แทงทะลุทุกอย่างที่ขวางหน้า
เมิ่งฉางอวิ๋นหมุนตัวกลับมารับมืออย่างรวดเร็ว
ทว่าเพียงแค่ไม่กี่พริบตาเท่านั้น ตราประทับวิถีในมือของเขาก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ บนตัวมีรอยแผลที่เกิดจากคมมีดกรีดเลือดไหลเป็นทาง
เขาไม่ลังเลชักช้าอีก ร้องตะโกนเสียงดัง “ข้ายอมแพ้แล้ว ใต้เท้าทัศนาจารย์ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
พูดจบ เขาก็ไม่หลบหนีไปไหนอีก คุกเข่าลงในทันใด!
ซูอี้ “…”
เท่านี้ก็คุกเข่าแล้ว!?
ซูอี้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขาเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลาย ตั้งใจว่าจะใช้ตาเฒ่าคนนี้มาซ้อมมือ ใครเลยจะคิดว่า ตาเฒ่าคนนี้จะยอมแพ้หน้าตาเฉยเช่นนี้
“เจ้าจำข้าได้ตั้งนานแล้วหรือ?” ซูอี้ถาม
ฉางเมิ่งอวิ๋นตอบด้วยสีหน้าขมขื่นและเศร้าหมอง “เรียนใต้เท้าตามตรง ก่อนหน้านี้ผู้น้อยเพียงแค่สงสัย รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลเท่านั้น แต่ตอนนี้… มั่นใจถึงสถานะของใต้เท้าแล้ว จึงไม่กล้าทำอะไรเหลวไหลอีกเป็นธรรมดา”
เป็นถึงราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง แต่กลับมาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ทั้งยังทำท่าสำนึกผิดอีก หากให้คนอื่นมาเห็นเข้า คงตกใจจนคางร่วงติดกับพื้นไปแล้ว
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นกลับไม่รู้สึกแย่
เขาเดาออกแล้วว่า เหวินเป่ยกับผู้บ่มเพาะฝ่ายโรงวาดฤทัยคนอื่น ๆ คงจะตายกันไปหมดแล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เขาเผชิญหน้าด้วยในตอนนี้ เป็นถึงทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่!
ต่อให้ต้องคุกเข่ายอมแพ้ ก็ไม่ขายหน้า!
“ก่อนหน้านี้เจ้าตั้งใจจะร่วมมือกับพวกของหลัวจื่อหง เพื่อจัดการกับข้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงกลัวขึ้นมาเสียเล่า?”
ซูอี้รู้สึกไม่พอใจ ชายตามองเมิ่งฉางอวิ๋นด้วยสายตาเย็นชา
เมิ่งฉางอวิ๋นหมอบกราบอยู่ตรงนั้น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพหวาดกลัว “ต่อให้ผู้น้อยใจกล้าสักแค่ไหน ก็ไม่กล้าล่วงเกินใต้เท้า หวังเพียงแค่ว่าใต้เท้าจะเห็นแก่ความสำนึกผิดอย่างจริงใจของผู้น้อย ละเว้นชีวิต ให้ผู้น้อยได้มีโอกาสไถ่โทษ!”
พูดจบ เขาโขกศีรษะติดต่อกันหลายที
ซูอี้ “…”
หากไม่มีความทรงจำและประสบการณ์ของทัศนาจารย์ ซูอี้คงรู้สึกตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้เป็นแน่ นึกไม่ออกเลยว่าตัวตนขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงจะหัวหดได้ถึงเพียงนี้
ทว่าเมื่อเขามีความทรงจำของทัศนาจารย์ จึงทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับทัศนาจารย์ได้มากขึ้น เข้าใจว่าในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว ทัศนาจารย์เป็นตัวตนที่มีความน่ากลัวมากมายถึงเพียงใด
ในช่วงที่ทัศนาจารย์รุ่งโรจน์สูงสุด แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ระดับสุดยอดในจักรวาลพร่างดาวอย่างช่างเสื้อ จิตรกร กับชาวประมงเฒ่าก็ยังไม่กล้าล่วงละเมิด!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นเมิ่งฉางอวิ๋นคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแล้ว ซูอี้จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ
เขารู้สึกเพียงแค่… หมดสนุก!
“เป็นถึงราชันแห่งภูมิ แต่กลับไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ หากไม่อยากให้ข้าดูแคลน จงลุกขึ้น และมาสู้กับข้า!”
ซูอี้ร้องเอ็ด
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นกลับคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ยอมขยับ พลางร้องเสียงสั่น “ถึงแม้ผู้น้อยจะมีฐานการบ่มเพาะขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าใต้เท้า ก็เป็นเพียงแค่มดตะนอยตัวจ้อยผู้ต้อยต่ำตัวหนึ่งเท่านั้น ใต้เท้าจะดูแคลนผู้น้อยอย่างไรก็ได้ แต่ขอเพียงใต้เท้าโปรดไว้ชีวิตผู้น้อยด้วย”
พูดจบ เขาก็ทำท่าอ่อนแรงอยากจะร้องไห้ออกมา
ทั้งหมดนี้ใช่ว่าจะเสแสร้งแกล้งทำ หลัวจื่อหงพ่ายแพ้และเหวินเป่ยก็อาจจะดับชีวิตไปแล้ว เมิ่งฉางอวิ๋นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า หากตัวเองอยากจะมีชีวิตรอด ต้องแสดงท่าทีต่ำต้อยที่สุดออกมา?
ซูอี้ได้แต่นวดหัวคิ้ว ก่อนกล่าวออกมาตรง ๆ “หากว่าเจ้าอยากจะมีชีวิตรอด ก็จงเอาความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาต่อสู้กับข้า มิเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งตอนนี้”
เมิ่งฉางอวิ๋นตัวแข็งทื่อ รีบลุกพรวดพราดขึ้นมา กล่าวติดอ่าง “สามารถประลองกำลังกับใต้เท้าได้ เป็นความภาคภูมิใจอย่างใหญ่หลวงของผู้น้อย!”
เขาเชื่อคำของทัศนาจารย์ ในเมื่อบอกมาแล้วว่าจะไว้ชีวิตตัวเอง จะต้องรักษาคำพูดอย่างแน่นอน
ที่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว มีใครบ้างไม่รู้ว่าทัศนาจารย์ยึดมั่นในสัจจะ?
“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มกันเลยดีกว่า”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
ทว่าเมื่อเปิดศึกขึ้นมาจริง ๆ เพียงแค่ชั่วครู่เดียวซูอี้ถึงก็ต้องขมวดคิ้ว
ตาเฒ่าคนนี้ ไม่เพียงแค่เอาแต่รับไม่ยอมลุก แม้กระทั่งจิตใจที่จะต่อสู้ก็ยังไม่มี เหมือนกับเอาตัวเป็นแป้นรับเพียงอย่างเดียว ไร้ซึ่งภัยอันตรายใด ๆ
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่ซูอี้อยากจะแทงตาเฒ่าคนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด เคยเห็นคนขี้กลัวมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นคนที่ขี้กลัวได้ถึงเพียงนี้มาก่อน!
ต่อสู้กันอย่างเต็มความสามารถเต็มภาคภูมิ คนอื่นเห็นแล้วยังรู้สึกนับถือ
ทว่าตอนนี้…
เห็นแล้วอยากจะอาเจียน!
ปัง!
ซูอี้ถีบตาเฒ่ากระเด็นออกไป เก็บดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เสร็จกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจ “ขายขี้หน้า!”
ห่างออกไป เมิ่งฉางอวิ๋นฝืนหัวเราะอันแข็งกระด้างออกมา กล่าวเอาใจ “ต่อหน้าใต้เท้า ผู้น้อยขายหน้าไม่เป็นไร ขอเพียงใต้เท้าสบายใจก็คุ้มค่าแล้ว”
ซูอี้ “…”
เขาหมดสนุกทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น จึงย้อนกลับไปที่ริมธารศิลาหลอม นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างอ่อนแรงกำลัง จากนั้นจึงกล่าว “เล่าเรื่องที่เจ้ารู้มาให้หมด แล้วข้าจะชี้หนทางรอดให้แก่เจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉางอวิ๋นตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นระริกแทบจะเต้นรำเริงระบำขึ้นมา
เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่า ครั้งนี้ตัวเองโชคดีรอดชีวิตมาได้แล้ว?
เขารีบสูดหายใจลึก ๆ น้อมคารวะพลางกล่าว “ใต้เท้าจิตใจกว้างขวางเปรียบได้ดั่งดวงเดือนดวงตะวัน ใต้เท้ามีความโอบอ้อมเปรียบได้ดั่งทะเลมหาสมุทร วันข้างหน้าผู้น้อยจะกลับตัวกลับใจ แก้ไขสิ่งผิดพลาด ไม่ให้เสียแรงที่ใต้เท้าให้อภัยในวันนี้!”
จากนั้นเขาจึงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เขยิบมาใกล้ ๆ อย่างระมัดระวัง ยืนค่อมหลังก้มหน้านิ่งอยู่ห่างจากซูอี้ไม่ไกลนัก กล่าว “ขอเรียนถาม ใต้เท้าต้องการทราบเรื่องอันใดขอรับ? ผู้น้อยจะเล่าทุกสิ่งที่ผู้น้อยรู้โดยไม่มีปิดบังซ่อนเร้น!”
พูดจบ เขายังก้าวเดินมาข้างหน้าหยิบกาสุรารินสุราให้ซูอี้จอกหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบเอาใจ
ซูอี้เห็นแล้วรู้สึกนับถือคนผู้นี้เสียจริง ๆ
คนอื่นไม่ยึดติดรู้จักปล่อยวาง อย่างน้อยก็ยังคำนึงถึงเกียรติยศและหน้าตา
แต่ตาเฒ่าคนนี้ไม่ต้องพูดถึงเกียรติและศักดิ์ศรีอันใดทั้งสิ้น!
“บอกมาว่าในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคในตอนนี้มีตัวตนที่มาจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอย่างเจ้าจำนวนเท่าใด”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นลังเลสักครู่จึงกล่าวทุกสิ่งออกมาจนหมดเปลือกราวกับเทเมล็ดถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่
ซูอี้ก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าขุมกำลังจักรวาลพร่างดาวที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนอับโชคในครั้งนี้ยังคงมาโรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์ ลัทธิทางช้างเผือก กับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ สี่ขุมกำลังยักษ์ใหญ่เป็นแกนนำ
แต่ละขุมกำลังยักษ์ใหญ่หมู่ดาราล้วนมีผู้บ่มเพาะจากขุมกำลังในบัญชาเข้าสมทบ
ดังเช่นเมิ่งฉางอวิ๋นผู้มาจากภูมิดาราวอนสวรรค์ สมทบกับฝ่ายของหอเก้าสวรรค์
ตามที่เขาบอกมา ตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิของกองทัพใหญ่ทั้งสี่นี้มีด้วยกันทั้งสิ้นถึงสิบสองคน!
ในจำนวนนี้ ผู้บวงสรวงเฒ่าของโรงวาดฤทัย จ้าวเรือนจำที่สองของหอเก้าสวรรค์ จ้าวตำหนักดาราของลัทธิทางช้างเผือก และผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เมื่อไม่นานมานี้ล้วนเก็บรวบรวมป้ายประกาศิตฟ้าดินได้มามากเพียงพอ จึงไปแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคด้วยกัน!
ส่วนตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิอีกแปดคนยังคงวนเวียนอยู่รอบนอก ด้านหนึ่งเพื่อสืบหาโอกาส ส่วนอีกด้านหนึ่งเก็บรวบรวมป้ายประกาศิตฟ้าดิน
และเวลานี้เช่นกัน ซูอี้จึงเข้าใจได้ในที่สุดว่ายักษ์ใหญ่จักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นส่งกำลังคนมาเยอะแยะมากมายถึงเพียงไหน
ผู้บ่มเพาะที่ตายในการต่อสู้แห่งทะเลดาวตกเหล่านั้น มีจำนวนเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น!
ในสายตายักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว การเก็บรวบรวมปราณมารดาฟ้าดินก็มีความสำคัญมากเช่นกันอย่างไม่ต้องสงสัย
ลำดับถัดมา ซูอี้ก็ทำความเข้าใจกับเรื่องราวของพวกหลัวจื่อหง เหยียนเฟิง โม่หรงซาน เฉียนชวน กับหวังหมี
ราชันแห่งภูมิเหล่านี้ร่วมมือกันภายใต้การชักนำของหลัวจื่อหง ต้องการจะเอาเรื่องกับซูอี้
พวกเขามาจากจักรวาลพร่างดาวที่ต่างกัน ซึ่งต่างก็กระจายตัวอยู่ในความปกครองของสี่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว
ในจำนวนนี้ เฉียนชวน หวังหมี กับโม่หรงซานทั้งสามคนนี้ล้วนมีระดับการฝึกตนขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นต้น ส่วนคนอื่น ๆ อีกห้าคนล้วนอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นกลาง
ทว่าเหวินเป่ย ผู้ชายที่สวมชุดสีแดงถูกซูอี้ฆ่าตายไปแล้ว เมิ่งฉางอวิ๋นก็ยอมแพ้อย่างราบคาบ
ในตอนนี้ ราชันแห่งภูมิที่ต้องการจะต่อสู้กับซูอี้จึงยังมีอีกหกคน
ส่วนจักรพรรดิผู้ติดตามข้างกายราชันแห่งภูมิเหล่านั้น ไม่ว่ามีจำนวนเท่าใด สำหรับซูอี้แล้วไม่ต้องใส่ใจอะไรมากนัก
“โทษตายละเว้นได้ แต่โทษกายไม่อาจเว้น เจ้าคิดว่า ข้าควรจะลงโทษเจ้าเช่นใด?”
ซูอี้ดื่มสุราไปอึกหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นมา
เมิ่งฉางอวิ๋นตัวสั่นสะท้าน จากนั้นหยิบเอาสมบัติล้ำค่าที่ติดตัวออกมาวางเรียงตรงหน้าซูอี้
จากนั้นเขาก็คุกเข่าหมอบกราบ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “สุดแล้วแต่ใต้เท้าขอรับ!”
ซูอี้ชี้นิ้วไปที่สาส์นทองสื่อวิญญาณที่เมิ่งฉางอวิ๋นนำออกมาวาง ก่อนกล่าวว่า “ใช้สิ่งนี้ส่งข้อความ บอกว่าเจ้าอยู่กับเหวินเป่ยแล้ว พบเบาะแสของข้า ให้พวกเรารีบมาที่นี่เร็วไว”
“หา? เช่นนี้…”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึง
เขารู้สึกว่าสิ่งที่น่ารันทดที่สุดที่ตัวเองเจอในครั้งนี้ก็คือโดนซูอี้ใช้วิธีตกเบ็ดเช่นนี้หลอกล่อให้คนอื่น ๆ มา…
“ไม่อยากส่ง?” ซูอี้ถาม
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบส่ายหน้า และหยิบสาส์นทองสื่อวิญญาณชิ้นนั้นขึ้นใช้จิตสัมผัสสลักอักษรลงไปโดยเร็ว
ส่วนซูอี้หยิบสาส์นทองสื่อวิญญาณของเหวินเป่ยขึ้นมา อ่านเจอ
‘สหายเต๋าทั้งหลาย ข่าวดีอย่างที่สุด! ข้ากับสหายเต๋าเหวินเป่ยพบเบาะแสของซูอี้แล้ว พวกเรายังไม่ได้ลงมือ เพราะเกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น โอกาสหายากครั้งนี้จะพลาดไม่ได้ ขอเชิญสหายเต๋าทุกท่านรีบมาโดยด่วน!’
………………..