บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1184: เชิญเข้าสู่ข้อง
ตอนที่ 1184: เชิญเข้าสู่ข้อง
ทันใด สาส์นทองสื่อวิญญาณปรากฏข้อความตอบกลับ
หลัวจื่อหง ‘จริงหรือ?’
เฉียนชวน ‘ฮ่า ๆๆ นี่เป็นข่าวดีจริง ๆ เสียด้วย ทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่หนีไม่พ้นแน่!’
หวังหมี ‘ครั้งนี้ หากว่าฆ่าซูอี้ได้ ไม่เพียงแต่สามารถแก้แค้นให้คนในสำนักที่ตายในการต่อสู้แห่งทะเลดาวตกเท่านั้น ทั้งยังสามารถแย่งความลับแห่งวัฏสงสารมาได้อีก ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว!’
เหวินเฟิง ‘ข้าฆ่าวิญญาณชั่วหลุมแสงดำตายแล้ว จะออกเดินทางไปแดนรกร้างพันกระแสในตอนนี้’
โม่หรงซาน ‘ทุกท่านรอข้าหน่อยได้หรือไม่? ผู้พิทักษ์คนนั้นรับปากแล้วว่าจะให้โอกาสแก่ข้า ไม่ช้าก็จะได้รับการยอมรับจากเขา’
‘โอกาสดีมิอาจเสีย เสียไปแล้วจะไม่มีอีก สัตว์ประหลาดเฒ่าโม่ เจ้าจงตัดใจเสียเถอะ!’
‘ไม่ผิด พวกเราต้องรีบลงมือ!’
หลังจากเห็นข้อความตอบกลับเหล่านี้แล้ว ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้
เดิมทีเขายังตั้งใจว่าจะต้องล่อหลอกให้มากกว่านี้ แต่ดูท่าตอนนี้คงไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะแต่ละคนใจร้อนกันเสียเหลือเกิน!
เมื่อเห็นรอยยิ้มของซูอี้แล้ว เมิ่งฉางอวิ๋นก็อดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ ในใจรู้สึกสมเพชขึ้นมา
หากว่าตาเฒ่าเหล่านี้รู้ว่าทั้งหมดนี้คือกลลวง คงจะกระอักเลือดตายให้ได้…
หลัวจื่อหงกล่าวขึ้นมาในเวลานี้ ‘สหายเต๋าเมิ่ง เจ้ากับสหายเต๋าเหวินเป่ยจะต้องระวังตัวด้วย ถึงแม้ซูอี้คนนั้นจะอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ แต่จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด อย่าลืมว่า อดีตชาติเขาเป็นทัศนาจารย์ เป็นศัตรูที่ร้ายกาจอย่างที่สุด!’
ซูอี้รีบตอบในทันใด ‘ขอบคุณสหายเต๋าหลัวที่เตือน’
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบตอบกลับตามหลัง ‘อย่าพูดมากอีกเลย ความลับแห่งวัฏสงสารอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมแล้ว เร็ว ๆ หน่อย!!’
หลัวจื่อหง ‘พวกเราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าอย่าได้ผลีผลามลงมือเด็ดขาด หากว่าแหวกหญ้าให้งูตื่น อยากจะจับคนคนนี้อีกไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป’
โม่หรงซาน ‘ทุกท่านรอข้าหน่อยไม่ได้หรือ?’
เขาแลดูร้อนใจเป็นอย่างมาก และอิจฉามากด้วย
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา กล่าว “คนผู้นี้ใจร้อนจริง ๆ”
เมิ่งฉางอวิ๋นหัวเราะแห้ง ๆ “หากว่าเขารู้ ครั้งนี้โชคดีรอดตายมาได้ คงไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์กับใต้เท้าอีกเป็นแน่”
ซูอี้กล่าว “เจ้าเคยติดต่อกับผู้พิทักษ์หรือไม่?”
ตามที่กระเรียนฟ้าผู้กลายร่างมาจากกฎเกณฑ์ครอบฟ้ากล่าว รอบนอกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชค มีผู้พิทักษ์สิบท่านคอยคุ้มกันดูแล
หากได้รับความเห็นชอบจากผู้พิทักษ์ ไม่จำเป็นต้องเสาะหาป้ายประกาศิตฟ้าดินทั้งสิบแปดชิ้นก็สามารถเข้าสู่แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์เพื่อฝ่าด่านต่อไปได้
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเสียงเครียด “เรียนใต้เท้า เมื่อครึ่งเดือนก่อน ผู้น้อยเคยพบกับผู้พิทักษ์ท่านหนึ่ง”
ซูอี้กล่าวด้วยความสนใจ “ลองเล่ามา”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าว “ผู้พิทักษ์ที่ข้าเจอนั้นเป็นเซียนกระเรียนที่มีขนสีขาวราวกับหิมะ ข้าเรียกเขาว่าเซียนกระเรียน ว่ากันว่าเมื่อตอนเริ่มแรกสุด เขาเฝ้าประจำอยู่ที่เขตต้องห้ามเซียนอับโชคแห่งนี้ เพื่อปกป้องหนทางที่มุ่งตรงไปยังแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์”
ตามที่เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าว เซียนกระเรียนนี้อาวุโสมาก ระดับวิถีอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นต้น แต่สามารถควบคุมพลังกฎเกณฑ์ของเขตต้องห้ามฟ้าดินได้ มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ผู้พิทักษ์ที่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์ครอบฟ้าได้อย่างเช่นเซียนกระเรียน ไม่ต่างอะไรไปจากผู้ชี้ชะตาเลย
เมิ่งฉางอวิ๋นเคยหวังไว้ว่าจะได้รับความเห็นชอบจากเซียนกระเรียน และเข้าสู่แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์เพื่อฝ่าด่าน
แต่เสียดายที่ถูกเซียนกระเรียนปฏิเสธไป
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเซียนกระเรียนคิดว่าถึงแม้เมิ่งฉางอวิ๋นจะอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง แต่มีศักยภาพไม่เพียงพอ ชั่วชีวิตนี้คงแสวงวิถีขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้ยากยิ่ง ดังนั้นจึงปฏิเสธไป
“ก็หมายความว่า หากต้องการได้รับความเห็นชอบจากเซียนกระเรียน ในด้านมหาวิถีจะต้องมีศักยภาพที่ทำให้ใคร ๆ ต้องหวาดกลัวจึงจะได้เช่นนั้นน่ะหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิด
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวด้วยความแบ่งรับแบ่งสู้ “ข้ารู้เพียงแค่ว่า เซียนกระเรียนให้ความสำคัญกับศักยภาพมาก ผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ จะให้ความสำคัญกับอะไร ไม่อาจทราบได้ขอรับ”
“เซียนกระเรียนนี้อยู่ที่ใด?”
ซูอี้ถาม
เขาไม่คิดจะได้รับการเห็นชอบจากผู้พิทักษ์ เพียงแค่อยากจะทดสอบดูว่าจะสามารถรู้ความลับอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจากปากของฝ่ายตรงข้ามบ้าง
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบตอบ “เรียนใต้เท้า สถานที่ที่ข้าเจอกับเซียนกระเรียน คือในอารามร้างของซากสถานโลหิตทมิฬขอรับ”
ซากสถานโลหิตทมิฬ?
ซูอี้ตะลึง นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ตัวเองนัดเจอกับจักรพรรดิมารสวรรค์หรอกหรือ?
ต่อมา ซูอี้ไม่ได้ถามถึงเรื่องอื่นอีก ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “เมื่อราชันแห่งภูมิเหล่านั้นมาถึงแล้ว เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะลงมือพร้อมกับพวกเขาหรือไม่”
เมิ่งฉางอวิ๋นสะดุ้ง และรีบส่ายหน้าโดยไม่ลังเล ก่อนกล่าวว่า “ใต้เท้า ผู้น้อยไม่มีทางทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นแน่!”
ซูอี้ทำสีหน้าเหมือนอยากจะหัวเราะ “หากว่าข้าให้เจ้าช่วยเก็บคนเหล่านั้นด้วยกันเล่า?”
เมิ่งฉางอวิ๋นตัวแข็งกระด้าง สีหน้าสับสน หลังจากเงียบไปนาน เขาสูดหายใจลึก ๆ กำลังจะอ้าปากพูด
ซูอี้ก็เอ่ยห้ามขึ้นมา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร แต่ข้าไม่ไว้ใจเจ้า”
เมิ่งฉางอวิ๋น “?”
เขาน้อยเนื้อต่ำใจนัก ตัวเองอุตส่าห์ตัดสินใจช่วยโดยไม่คำนึงถึงชีวิตแล้ว แต่ใต้เท้าทัศนาจารย์กลับไม่ไว้ใจ!
ซูอี้มองดูเมิ่งฉางอวิ๋นด้วยสายตาลุ่มลึก “คนอย่างเจ้า หน้าหนาไร้ยางอาย ไม่มีศักดิ์ศรี เกาะผู้มีอำนาจ โลเลไม่แน่นอน ให้เจ้ามาประจบเอาใจนั้นได้ แต่จะให้เจ้าถวายชีวิตไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้น จะถูกย้อนกลับเมื่อไรก็ยังไม่แน่”
เมิ่งฉางอวิ๋นหน้าสลดไปในทันใด ทว่าก็ยังอดเถียงขึ้นมาไม่ได้ “ใต้เท้า ผู้น้อยเป็นเช่นนี้เวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ …ยังไม่มีคุณสมบัติให้ผู้น้อยเคารพนบนอบด้วยเช่นนี้!”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวเจ้าไปหาสถานที่เพื่อคอยดูการต่อสู้ก็พอแล้ว”
เมิ่งฉางอวิ๋นนิ่งเงียบ
ซูอี้ยกกาสุราขึ้นดื่มโดยมีเนื้อปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายสีขาวเนียนละเอียดประดุจหิมะเป็นกับแกล้ม
“ใต้เท้า ให้ข้าช่วยรินให้นะขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบเดินไปข้างหน้า ช่วยซูอี้แล่เนื้อปลาด้วยความช่ำชอง และยังไม่ลืมรินสุราให้ซูอี้ บ่าวธรรมดาทั่วไปที่ไหนก็ไม่ขยันขันแข็งเอาอกเอาใจเท่ากับเขาเช่นนี้
ซูอี้ไม่ว่าอะไร
“ใต้เท้า ประเดี๋ยวพวกศัตรูเหล่านั้นก็จะมาถึงกันแล้ว ท่าน… ไม่ต้องเตรียมตัวสักหน่อยหรือขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นไม่เข้าใจ
ในความคิดของเขา ในเมื่อจะหลอกฆ่าศัตรู ก็ต้องเตรียมกับดักไว้ก่อนล่วงหน้า
แต่ซูอี้กลับไม่ทำอะไรเลย ได้แต่ดื่มกินอย่างสุขสบายใจ
“มี ‘ค่ายกลจิตวิปลาส’ แห่งนั้นก็เพียงพอแล้ว”
ซูอี้ตอบแบบไม่แยแส
“ค่ายกลจิตวิปลาส…”
เมิ่งฉางอวิ๋นพูดซ้ำอีกครั้ง และเข้าใจขึ้นมาในทันใด ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลใหญ่ที่ขัดขวางการหลบหนีของเขาเมื่อสักครู่นั่นเอง
“ค่ายกลนี้มีความมหัศจรรย์ยิ่ง แยบยลยิ่งนัก ก่อนหน้านี้แม้กระทั่งผู้น้อยก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ สมแล้วที่เป็นค่ายกลสุดยอดที่ใต้เท้าสร้างขึ้น!”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวด้วยความนับถืออย่างล้นพ้น
ความจริงในใจของเขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างแรง เพราะเข้าใจความหมายของซูอี้ ว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้กลอุบายแผนลวงอันใด ต้องการจะสู้กับตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิเหล่านั้นอย่างซึ่ง ๆ หนึ่ง!!
ส่วนค่ายกลจิตวิปลาสนั้นเป็นเพียงแค่ป้องกันไม่ให้ศัตรูหนีไปเท่านั้น ไม่ใช่ค่ายกลพิฆาตน่ากลัวแต่อย่างใด!
‘ดูท่าแล้ว ความสามารถของใต้เท้าทัศนาจารย์หลังจากกลับชาติมาจะไม่อาจใช้ขอบเขตมาวัดได้อีกแล้ว หากใครกล้าประมาท ไม่มีทางรอด’
เมิ่งฉางอวิ๋นแอบคิด
เขานึกถึงหลัวจื่อหงที่เคยพ่ายแพ้
และนึกถึงเหวินเป่ยที่ก่อนหน้านี้นั่งตกปลกเพื่อคอยตัวเองอยู่ที่นี่…
ชั่วครู่เดียว เขาก็รู้สึกโชคดียิ่งนักที่เมื่อสักครู่ไม่ได้หนี มิเช่นนั้น ตนเองก็คงจะต้องดับชีวิตอยู่ใต้คมดาบของทัศนาจารย์เช่นกัน!
ลังเลสักครู่ เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเบา ๆ “ใต้เท้า ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง ให้ผู้น้อยหลบไปตอนนี้ได้หรือไม่ขอรับ?”
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “เจ้ากลัวว่าหากให้พวกเขามาเห็น จะมองเจ้าว่าเป็นผู้ทรยศเช่นนั้นหรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “หากว่าเป็นไปได้ ผู้น้อยอยากจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขายอมแพ้ไปเสีย เช่นนี้บางที…”
ซูอี้ตัดบท “หากว่าเจ้าเกลี้ยกล่อม ข้าจะฆ่าเจ้าก่อนเป็นคนแรก”
อุตส่าห์รอจนเหยื่อมาหาถึงที่แล้ว จะปล่อยให้พวกเขายอมแพ้ง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
หากว่าเป็นเช่นนี้ จะลับดาบเช่นใดได้อีก?
เมิ่งฉางอวิ๋น “…”
“เจ้าสามารถหลบไปได้แล้ว”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
เมิ่งฉางอวิ๋นไม่รอช้าอีก ก่อนจะรีบจากไปโดยเร็ว โดยครานี้ตั้งใจจะเลือกสถานที่ซ่อนอำพรางตัวอย่างมิดชิด
ซูอี้ยังคงนั่งตกปลา ดื่มสุรา และกินปลาต่อด้วยท่าทางสบายอารมณ์
เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อกินปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายไปมากขึ้น การพัฒนาของระดับการฝึกตนก็เริ่มลดลง
อย่างไม่ต้องสงสัย ผลการเสริมบำรุงระดับวิถีของปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายกำลังลดลง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ซูอี้ก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว
ระดับการฝึกตนของเขา เข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลายแล้ว และกำลังจะก้าวสู่สมบูรณ์พร้อมอย่างช้า ๆ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ครั้งนี้ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค สามารถทำให้เขามีโอกาสได้ทดลองแสวงวิถีขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
กินปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายไปอีกเจ็ดตัวและตกมาได้อีกเก้าตัวแล้ว สาส์นทองสื่อวิญญาณในมือซูอี้ก็สั่น มีอักษรปรากฏขึ้นหนึ่งบรรทัด
นั่นเป็นข้อความที่หลัวจื่อหงส่งมา บอกเมิ่งฉางอวิ๋นกับเหวินเป่ยว่าพวกเขาทั้งหมดมาถึงแดนรกร้างพันกระแสแล้ว
ซูอี้ตอบกลับไป ‘ซูอี้อยู่ข้างในริมฝั่งธารศิลาหลอม!’
เมิ่งฉางอวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่เห็นคำตอบของซูอี้แล้ว หัวใจสั่นระริก เป็นดังคาด ใต้เท้าทัศนาจารย์ไม่คิดจะปกปิดอำพรางแม้แต่น้อย แต่ต้องการจะประมือกับราชันแห่งภูมิที่นี่เลย!
คิดสักครู่ เมิ่งฉางอวิ๋นหยิบสาส์นทองสื่อวิญญาณออกมาด้วยเช่นกัน และตอบกลับไปสองคำว่า
‘รีบมา!!!’
คำพูดเรียบง่ายสองคำ แสดงให้เห็นถึงความร้อนใจอย่างเต็มที่
ซูอี้เกือบจะหัวเราะออกมา เพื่อความอยู่รอด เมิ่งฉางอวิ๋นคนนี้ทำได้ทุกอย่าง ช่างน่าซาบซึ้งใจเหลือเกิน
อย่างรวดเร็ว ใต้ท้องฟ้าที่ห่างไกล คลื่นมิติถูกขับเคลื่อนอย่างไร้สุ้มเสียง
ร่างคนทยอยปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ และมุ่งตรงมาทางนี้
พวกเขามีกันทั้งสิ้นสี่คน คนที่นำหน้าคือหลัวจื่อหงผู้ถือธนูกระดูกสีขาว
ส่วนคนอื่นอีกสามคน คือเฉียนชวน หวังหมี เหวินเฟิง
พวกเขาเก็บกลิ่นอายพลังในตัว มุ่งหน้าเข้ามาใกล้ธารศิลาหลอมทางนี้เงียบ ๆ ทำท่าไม่อยากจะแหวกหญ้าให้งูตื่น
หรือกล่าวได้ว่า ในสายตาของพวกเขา ซูอี้ก็คือเหยื่อ กลัวว่าเหยื่อจะหนีไป จึงจำเป็นต้องเก็บกลิ่นอายพลังในตัว และเข้ามาใกล้อย่างเงียบ ๆ…
เมิ่งฉางอวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่มีสีหน้าสลด คนเหล่านี้เอ๋ย ตัวเองเป็นเหยื่อมาหาถึงที่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ช่างน่าขันเหลือเกิน!
ชั่วขณะนี้ เมิ่งฉางอวิ๋นเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า ‘เข้าหากับดักเอง’ หมายความว่าเช่นใด
“รีบดูสิ เด็กนั่นยังนั่งทึ่มตกปลาอยู่ตรงนั้น น่าขันยิ่งนัก”
“ในที่สุดก็จับเด็กนั่นได้เสียที ครั้งนี้ ความลับแห่งวัฏสงสารจะต้องเป็นของพวกเรา!”
หวังหมีกระหยิ่มยิ้มย่อง ในสายตาเต็มไปด้วยความหวัง
“เมิ่งฉางอวิ๋นกับเหวินเป่ยเก็บตัวได้เก่งถึงเพียงนี้เลยหรือ? ไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้เลยว่าเวลานี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด”
เหวินเฟิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“พวกเขาต้องอยู่แถวนี้แน่ เวลาที่พวกเราลงมือ พวกเขาก็จะบุกเข้ามาต่อสู้กับซูอี้พร้อมกับพวกเราเอง”
หลัวจื่อหงที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยความมั่นใจเต็มที่
ชั่วขณะนี้ เขารู้สึกอยากจะบุกใจจะขาดอยู่แล้ว
เหยื่ออยู่ใกล้แค่เอื้อม การล้างแค้นจะเกิดขึ้นแล้ว!!