บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1185: ซูเสวียนจวินผู้ตรงไปตรงมา
ตอนที่ 1185: ซูเสวียนจวินผู้ตรงไปตรงมา
ตอนที่ 1185: ซูเสวียนจวินผู้ตรงไปตรงมา
ทว่าหลัวจื่อหงเก็บอาการไปได้อย่างรวดเร็ว
เขากำชับ “อย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามก็เป็นทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ เมื่อชาติก่อนเคยมีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วจักรวาลพร่างดาว อันตรายอย่างที่สุด เวลาที่ลงมือ จะต้องแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ลังเลชักช้าไม่ได้”
ผู้บ่มเพาะอีกสามคนต่างก็พยักหน้า
พวกเขารู้แล้วว่า เมื่อก่อนหน้านี้หลัวจื่อหงเคยพ่ายแพ้แก่ให้ซูอี้ แขนข้างหนึ่งถูกตัดขาด จึงไม่กล้าประมาทดูแคลนแต่อย่างใด
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงตัดสินใจลงมือพร้อมกัน
“มีสหายเต๋าเมิ่งฉางอวิ๋นกับเหวินเป่ยอีกสองคน พวกเราทางนี้มีราชันแห่งภูมิด้วยกันหกคน จู่โจมแบบไม่คาดคิดเช่นนี้ ไม่น่าจะพลาด”
เฉียนชวนกล่าวรวดเร็ว
“ในเมื่อลงมือแล้วก็ต้องให้อยู่หมัด ออกแรงเต็มที่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจับคนกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้!”
เหวินเฟิงเลือดร้อน
ขณะที่พูดคุยกัน พวกเขาเข้ามาใกล้ธารศิลาหลอมมากขึ้นทุกทีแล้ว
“ฮ่า ยังคงนั่งตกปลา ข้าว่าเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่ง ประเดี๋ยวก็ต้องถูกพวกเราเชือด”
หวังหมีอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ในสายตาของเขา ซูอี้นั่งริมธารศิลาหลอมคนเดียวเพียงลำพัง ยังหันหลังให้พวกเขา ท่าทางเหมือนกับแพะที่รอถูกเชือด
และเวลานี้ พวกเขาเตรียมตัวพร้อมที่จะโจมตีแล้ว!
ง้าวสั้นสีทองปรากฏขึ้นในมือเฉียนชวน
หวังหมีถือดาบวิถีในมือแน่น
สมบัติล้ำค่าของเหวินเฟิงพิเศษที่สุด เป็นแส้เหล็กยาว แบ่งเป็นเก้าท่อน แต่ละท่อนมีลายลึกลับอสูรเทพปกคลุม
ส่วนหลัวจื่อหงถือธนูกระดูกขาวเตรียมพร้อมแล้ว
เพียงแต่ว่า ขณะที่พวกเขากำลังจะลงมือ ซูอี้ที่นั่งบนเก้าอี้หวายห่างออกไปก็เอ่ยพูดขึ้นมา “ช้าก่อน”
ช้า ๆ เบา ๆ เสียงสองคำ และดูประหลาดนักในบรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้
พวกหลัวจื่อหงต่างพากันตะลึง โดยไม่ทันระวัง พวกเขาเกือบจะลงมือไปแล้ว!
ซูอี้วางเบ็ดสีทองในมือลง หลังจากที่ลุกขึ้นยืนเสร็จก็เก็บข้องปลากับเก้าอี้หวาย จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมา
“เสร็จแล้ว”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว
เขาก้าวไปบนอากาศราวกับกำลังเดินชมสวน เมื่อมาถึงใต้ฟ้า ชุดสีเขียวก็ถูกสะบัด ท่าทีราบเรียบไม่แยแส
ภาพเหตุการณ์ที่ผิดความคาดหมายเช่นนี้ ทำให้หลัวจื่อหงกับคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบามาพล
“เจ้า… เดาออกก่อนแล้วว่าพวกเราจะมา?”
หลัวจื่อหงถามขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว
ซูอี้หัวเราะพลางตอบ “ข้าเป็นคนเชิญพวกเจ้ามาเอง”
คนอื่น ๆ “?”
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!?
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
ซูอี้ชูสาส์นทองสื่อวิญญาณในมือขึ้นแล้วโบกไปมา
ชั่วครู่เดียว พวกหลัวจื่อหงก็ใจสั่น ตอนนี้พวกเขาเข้าใจเหตุการณ์แล้ว สีหน้าของแต่ละคนจึงแทบจะเปลี่ยนสีในบัดดล
หลงกลแล้ว!
แผนการณ์ในครั้งนี้ พวกเขาถูกจูงจมูกเดินมาโดยตลอด!
“ชั่วช้า!”
หวังหมีร้องด่า
“เป็นถึงทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิด กลับใช้วิธีชั่วช้าเช่นนี้ล่อให้พวกเรามาติดกับ หากคนอื่นรู้ จะต้องโดนคนทั้งแผ่นดินหัวเราะเยาะเป็นแน่!”
เหยียนเฟิงสีหน้าคร่ำเคร่ง
“กล่าวเช่นนี้ เมิงฉางอวิ๋นกับเหวินเป่ยตายกันหมดแล้วเช่นนั้นหรือ?”
เฉียนชวนพึมพำด้วยความสับสน
ความจริงเช่นนี้เหมือนกับโดนคนอื่นฟาดหัวอย่างแรง พวกเขาแต่ละคนทั้งโกรธและตื่นตระหนก
“ไม่ต้องร้อนใจ ข้าเชิญพวกเจ้ามา เพราะต้องการจะต่อสู้อย่างเปิดเผยเท่านั้น”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “ไม่มีกับดักอันใดอย่างแน่นอน ที่จริงแล้ว ข้าไม่คิดสักนิดว่าจะหลอกพวกเจ้ามาฆ่า”
“จริงหรือ?”
ดวงตาของหลัวจื่อหงส่อประกายแวววาว
“ลูกผู้ชายต้องมีสัจจะ ข้าเป็นคนเช่นใดเมื่อในอดีตชาติ คิดว่าพวกเจ้าคงจะรู้กันดี แม้กระทั่งคนเจ้าเล่ห์อย่างช่างเสื้อก็ยังไม่กล้าทำลายภาพลักษณ์ของข้า”
ซูอี้กล่าวราบเรียบ “ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องการจะลอบทำร้ายพวกเจ้าจริง ไม่จำเป็นต้องเผยร่องรอยให้เห็นเลย สร้างค่ายกลในที่แห่งนี้ ใช้วิธีอำพราง ก็สามารถจับตัวพวกเจ้าได้ทุกคนแล้ว”
พูดจบ เขาชี้ไปบริเวณใกล้ ๆ “ที่ตรงนั้น มีเพียงแค่ค่ายกลที่มีชื่อว่าจิตวิปลาสเท่านั้น ประโยชน์ของค่ายกลนี้ก็ง่าย ๆ เพียงแค่ป้องกันไม่ให้ทุกคนหนีไปโดยไม่สู้ก็เท่านั้น”
หลัวจื่อหงกับคนอื่นต่างก็มองหน้ากัน
ซูอี้ช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน!
เช่นนี้ยิ่งทำให้พวกเขาระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น ตัวเกร็งไปหมด
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ซูอี้ก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนกล่าวจริงจัง “ทุกคนปล่อยตัวให้สบาย ที่ข้าพูดไปเยอะแยะเช่นนี้ เพราะต้องการจะต่อสู้กับพวกเจ้าอย่างเต็มที่ ทั้งรู้ผลแพ้ชนะ และรู้ผลอยู่หรือตาย”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เขากล่าวต่อ “เอาชนะข้าได้ ความลับแห่งวัฏสงสารก็จะเป็นของพวกเจ้า อีกทั้งยังสามารถชำระความแค้นให้แก่คนในสำนักของพวกเจ้าแต่ละคนได้อีกด้วย เหตุใดจึงไม่สู้?”
เมิ่งฉางอวิ๋นที่ซ่อนตัวห่างออกไปรู้สึกงง
เหตุใดเขายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าทัศนาจารย์กำลังเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้ามให้ลงมือจนปากเปียกปากแฉะ
อีกทั้งยังจริงใจมากด้วย ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย!
คนเช่นนี้เป็นคนจิตใจกว้างขวางถึงเพียงใดกัน?
หลัวจื่อหงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวโพล่งออกมา “ทุกท่าน พวกเราไม่มีทางเลือกแล้ว หากไม่ลงมืออย่างเต็มกำลัง คงจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
พูดถึงตรงนี้ เขาสูดหายใจลึก ๆ สายตาเป็นประกายคมกริบ “เหตุใดจึงไม่ลงมือให้เต็มที่เล่า!?”
เสียงก้องสะเทือนถึงชั้นเมฆ ดุดันน่ากลัว
เฉียนชวน เหวินเฟิง หวังหมีมองตากัน จากนั้นก็พยักหน้าให้กัน ความดุดันผุดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา เมื่อสงบใจลง จิตต่อสู้พลันปะทุขึ้นราวกับเพลิงไฟโหมลุกไหม้
ซูอี้ที่อยู่ห่างออกไปชื่นชมพร้อมกับปรมมือชมเชย “ลูกผู้ชาย ควรจะเป็นเช่นนี้!”
หลัวจื่อหงกับคนอื่น ๆ ได้ยินคำชมเชยเช่นนี้แล้วรู้สึกทะแม่ง ๆ
“ลูกผู้ชายอะไรกัน ลงมือ!”
หลัวจื่อหงกัดฟันพลางแผดเสียงร้องตะคอก
เขายกคันธนูขึ้นในทันใด ยิ่งลูกธนูสีเงินออกไป
ครืน!
เสียงวิถีดังกึกก้อง ฟ้าดินโกลาหล
ลูกธนูสีเงินแหวกอากาศพุ่งตรงไปหาซูอี้ราวกับสายรุ้งเทวะที่ไร้เทียมทาน
แทบจะเวลาเดียวกัน หวังหมี เฉียนชวน กับเหวินเฟิงต่างลงมือต่อสู้ ปิดล้อมตัวซูอี้จากสามทิศทาง
บนหนทางด้านหน้า พวกเขาได้ปรึกษาแผนการลงมือไว้ก่อนแล้ว เวลานี้เพิ่งจะเปิดศึก ต่างก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี
“ฆ่า!”
หวังหมีชักดาบวิถีออกมา ปล่อยพลังดาบสว่างไสวยาวนับร้อยจั้งในทันใด
“เชือด!”
เฉียนชวนส่งเสียงตะโกน ง้าวสั้นสีทองในมือฟาดกระหน่ำ จากนั้นอัสนีสีทองพลันปรากฏขึ้นเต็มท้องฟ้า พลังกฎเกณฑ์ส่งเสียงดังอึกทึก กลิ่นอายแห่งการทำลายช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เพียะ!
เหวินเฟิงตวัดแส้เหล็กเส้นยาวในมือ แรงฟาดรุนแรงเช่นนั้นอากาศตรงหน้าแตกระเบิด กฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนแตกซ่าน
ราชันแห่งภูมิทั้งสี่คนมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน พอได้ลงมือก็ลงมืออย่างเต็มที่ราวกับหมื่นอัสนีพิฆาต!
ทว่า เร็วที่สุดยังคงเป็นลูกธนูสีเงินที่หลัวจื่อหงยิงออกไปดอกนั้น มันเล็งไปยังร่างของซูอี้อย่างแม่นยำ
ต่อให้ลูกธนูดอกนี้ยิงไม่โดน ก็ยังโดนราชันแห่งภูมิทั้งสี่ปิดล้อมเพื่อฆ่าอยู่ดี!
และทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา!
ซูอี้ตาลุกวาว
ราชันแห่งภูมิทั้งสี่คนแสดงความสามารถอย่างเต็มที่เช่นนี้ เป็นการจุดประกายความต้องการสู้รบของเขาให้ลุกโชติช่วง
ชิ้ง!
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ถูกชักออกมา คมดาบสั่นสะเทือนราวกับถูกชักออกมาพร้อมกับลมพายุเดือดระห่ำ เมื่อคมดาบกับลูกธนูสีเงินดอกนั้นปะทะเข้าด้วยกัน เกิดเสียงดังกึกก้อง
ราวกับใช้กำลังน้อยนิดทัดทานกำลังมาก
และแทบจะในเวลาเดียวกัน ซูอี้ขยับข้อมือ ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ก่อม่านดาบกลมมนบดฟ้าบังตะวัน ผลักดันไปข้างหน้า
พลังดาบของหวังหมี ง้าวสั้นสีทองของเฉียนชวน แส้เหล็กยาวของเหยียนเฟิง ล้วนซัดตรงไปที่ม่านดาบกลมมนนั้น
ครืน!
อากาศแปรปรวน ประกายแสงเทวะสาดกระเซ็น
ม่านดาบกลมมนแตกระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ในทันใด
ซูอี้ฉวยโอกาสนี้กระโดดออกมาจากวงล้อม ปลายดาบคล่องแคล่วว่องไวราวกับสายฟ้า พุ่งตรงไปที่หวังหมีซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
หวังหมีควงดาบเข้าสู้
ชิ้ง!!!
ท่ามกลางเสียงปะทะดังกึกก้อง ร่างของหวังหมีถอยร่น สีหน้าของเขาตื่นตระหนก ‘เป็นพลังที่น่ากลัวมาก!’
“ฆ่า!”
เฉียนชวนกันเหวินเฟิงบุกเข้ามาจากด้านข้าง ซัดกำลังอย่างเต็มที่
แทบจะในเวลาเดียว หลัวจื่อหงที่อยู่ห่างออกก็ยิงธนูเข้าใส่อีกดอก
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน สภาพพื้นที่เสียหาย
ศึกใหญ่ปะทุขึ้น ราชันแห่งภูมิทั้งสี่บุกอย่างเต็มที่ ใช้วิธีรุนแรงที่สุดในการปิดล้อม แต่ละคนดุดันรุนแรง
ลำพังเพียงแค่คลื่นพลังการต่อสู้ก็ยังสามารถบดขยี้ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิได้!
ในการต่อสู้กันเช่นนี้ จิตต่อสู้ในตัวซูอี้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว ไฟต่อสู้ในใจโหมลุก หัวใจร่ำร้องด้วยความสาแก่ใจ
ก่อนหน้านี้ เขากินปลามัจฉามังกรจันทร์ฉายไปสิบกว่าตัว มีพลังมหาวิถีอันยิ่งใหญ่มากมายสั่งสมอยู่ในตัว เวลานี้เมื่อได้เปิดศึก พลังที่ถูกสะสมในตัวเหล่านี้จึงถูกหลอมอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นส่วนหนึ่งของระดับวิถีในตัวซูอี้ไป
ทันใด…
ร่างสูงโปร่งของเขาก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ทุกอณูผิวเปล่งประกายเรืองรอง พลังปราณในตัวส่งเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงสายฟ้าฟาด แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างที่สู้รบ ยกระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย
ทั้งตัวของเขาเปรียบดั่งเตาหลอม ราวกับจะแผดเผาแผ่นดินอันยิ่งใหญ่
ในมือของเขา อานุภาพของดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ก็แกร่งขึ้นตามไปด้วย สำแดงวิถีดาบอันแยบยลล้ำลึกออกมา
บางครั้งเหมือนดังพายุฝนกระหน่ำ บดบังผืนฟ้าผืนแผ่นดิน
บางครั้งเหมือนกับคลื่นในมหาสมุทร ถาโถมโหมกระหน่ำ
บางครั้งเหมือนดังแสงสว่าง เจิดจ้าส่องสว่าง
บางครั้ง…
พลังดาบในแต่ละแบบล้วนยิ่งใหญ่อลังการ เต็มไปด้วยความแยบยล
หากมองดูจากระยะไกล ซูอี้เปรียบดั่งเทพดาบแห่งสวรรค์ชั้นเก้า ทุกท่วงท่า ราวกับจะฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้า พิฆาตศัตรูทุกคนที่ขัดขวาง!
รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังการต่อสู้ในตัวซูอี้แล้ว หลัวจื่อหงกับคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นตระหนก ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
พวกเขาคาดเดาได้ถึงความแข็งแกร่งของทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิด!
แต่คาดไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งจนสุดยอดถึงขั้นนี้!
เพียงแค่ชั่วเวลาดีดนิ้วสิบครั้งเท่านั้น
การจู่โจมของราชันแห่งภูมิทั้งสี่ก็ถูกซูอี้ต้านทานไว้ได้ทั้งหมด!
กำลังการบุกโจมตีกลายเป็นการต่อสู้และไล่ล่าที่สูสีกัน
เวลาดีดนิ้วยี่สิบครั้งผ่านไป
เฉียนชวน เหยียนเฟิง กับหวังหมีก็ถูกจับตัวไว้ได้ อยู่ในสถานการณ์อันตราย
ลูกธนูที่หลัวจื่อหงยิ่งออกไปไม่อาจทำอะไรซูอี้ได้อีก
เวลาดีดนิ้วสามสิบครั้งผ่านไป
ปัง!!
ง้าวสั้นสีทองของเฉียนชวนหักเป็นชิ้น ๆ พลังดาบอันไร้เทียมทานซัดออกไป พิฆาตตัวเขาจนร่างแตกวิญญาณดับ
ครู่ถัดมา เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกก็ดังขึ้น ร่างของหวังหมีถูกพลังดาบอันยิ่งใหญ่ฟันขาดเป็นสองท่อน
ดาบวิถีในมือเขาแตกสลายตามไปด้วย
รวดเร็วเสียเหลือเกิน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นต้นอย่างเฉียนชวนกับหวังหมีก็ถูกสังหารตายคาที่
ภาพเหตุการณ์เช่นนั้น ทำให้เมิ่งฉางอวิ๋นที่ซ่อนตัวอยู่ถึงกับตื่นตระหนกจนหายใจแทบไม่ออก
และก็เป็นชั่วเวลานี้เช่นกัน เขารู้ซึ้งแล้วว่าตนเองสามารถรอดชีวิตจากเงื้อมมือของซูอี้มาได้ถือเป็นเรื่องที่โชคดีเพียงใด
“ไป!”
หลัวจื่อหงตะคอกด้วยดวงตาที่ปูดโปน
โดยไม่ต้องให้เขาเตือน เหวินเฟิงตื่นตระหนกจนปอดแทบจะแหกตั้งนานแล้ว ตอนที่เฉียนชวนกับหวังหมีโดนฆ่า เขาได้เคลื่อนย้ายมิติเพื่อหลบหนีแล้ว
ทว่าเขายังหนีได้แค่ครึ่งทาง ดาบของซูอี้ก็พุ่งตรงมาบดขยี้ราวกับลมฝนจากแปดทิศทาง
ปัง!!
มิติพันจั้งแตกสลาย
ร่างของเหวินเฟิงผู้ฝึกตนขอบเขตราชันแห่งภูมิขั้นกลางกลายเป็นเศษเนื้อนับจำนวนไม่ถูก
มิติที่แตกสลายนั้นถูกย้อมด้วยเลือดสีแดง
“ช่วย… ช่วยข้า…”
ที่ประหลาดก็คือ หลังจากที่เหวินเฟิงตายแล้ว เสียงร้องขอความช่วยเหลือที่เขาเปล่งออกมาก่อนจะตายจึงดังก้องขึ้น
ช่างน่าสยดสยองขนลุกขนพองยิ่งนัก