บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1186: ผู้พิทักษ์
ตอนที่ 1186: ผู้พิทักษ์
หนี!
หลัวจื่อหงหันหลังเผ่นหนี ไม่กล้าลังเลอีกต่อไป
เขายืนอยู่ที่ขอบสนามรบเสมอมา และยามหนีครานี้ก็ทุ่มทุกไพ่ตายที่มี
ทว่า เพียงพริบตา
เปรี้ยง!!
ร่างของหลัวจื่อหงก็ชนเข้ากับกำแพงมิติ
กำแพงมิตินี้แตกร้าว
ยามนี้ หลัวจื่อหงจึงตระหนักว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายหาได้โกหกไม่ มีค่ายกลผนึกมิติปกคลุมฟ้าดินทั่วบริเวณนี้ไว้ เพื่อป้องกันมิให้คนเหล่านี้หนีได้อยู่จริง ๆ
“เปิด!”
หลัวจื่อหงใช้คันธนูกระดูกขาวฟาดเข้าใส่เบื้องหน้าตรง ๆ
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
กำแพงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าพังทลายมิอาจขวางกั้น
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นไม่อาจทนมองได้ สีหน้าของเขาดูเวทนาสงสาร
เขาจำสิ่งที่เพิ่งเกิดกับเขาได้
จริงดังว่า หลัวจื่อหงซึ่งทำลายกำแพงมิติหนีออกไปปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ฝั่งทะเลสาบลาวาเดือด
“นี่…”
หลัวจื่อหงตกใจเสียจนตาแทบถลนจากเบ้า
“หยินหยางตาลปัตร อากาศแดนดินผกผัน!”
เขาเข้าใจแล้ว
น่าเสียดายที่เขาเข้าใจช้าไปก้าวหนึ่ง
เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้น ปราณดาบสายหนึ่งก็เข้าประชิด
ฉัวะ!
คันธนูใหญ่กระดูกขาวพังทลาย
ปราณดาบยังคงมิผ่อนแรง และสังหารหลัวจื่อหงลงคาที่
ถึงยามนี้ สี่ราชันแห่งภูมิตกตาย!
“หากเจ้ายังยืนกรานสู้ต่ออีกสักหน่อย ข้าจะไม่รีบฆ่าเจ้าหรอก”
ซูอี้ที่อยู่ไกลออกไปกระซิบพลางส่ายหน้าน้อย ๆ
ปราณพลุ่งพล่านทั่วร่าง แสงวิถีเจิดจรัส และหลังจากศึกนี้ เขาก็ปลุกศักยภาพทั้งหมดของตนขึ้นได้ การฝึกฝนแสดงสัญญาณราง ๆ ว่าใกล้เข้าถึงขั้นสมบูรณ์
“ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะสิ้นศัตรูของใต้เท้าซูด้วย!”
ไกลออกไป เมิ่งฉางอวิ๋นพุ่งมาหาพร้อมร่วมยินดี สีหน้าของเขาดูตกตะลึงหวั่นเกรงอย่างแจ่มชัด
“ก่อนหน้านี้ คงน่าสนใจยิ่งกว่าหากเจ้าเข้ามาร่วมประชันกับพวกเขาด้วย”
ซูอี้ว่า
เมิ่งฉางอวิ๋นชะงักค้าง หัวใจแทบสิ้นแรง
ก่อนหน้านี้ยามเขาซุ่มเร้นกาย เขาก็คิดเช่นนั้นจริง ๆ แต่ความคิดนั้นก็ถูกรีบเบียดออกไป และเขาก็ไม่กล้าคิดถึงมันอีก
“ใต้เท้าซู ตาเฒ่าผู้น้อยนี่…”
เมิ่งฉางอวิ๋นอ้าปากจะพูดบางอย่าง
ซูอี้โบกมือขัด และออกคำสั่ง “ไปเก็บสินสงครามสิ”
เขาเก็บดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ไป และมาทำสมาธิฝึกฝนที่ริมธารศิลาหลอม
ศึกนี้ไม่ได้เข้มข้น แต่การกดดันขัดเกลาในศึกนี้ทำให้การฝึกฝนของเขาเริ่มแสดงสัญญาณการเปลี่ยนแปลง
ยามนี้ สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือฉวยโอกาสนี้กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงให้มากขึ้น
ไม่ไกลนัก เมิ่งฉางอวิ๋นเริ่มเก็บเกี่ยวสินสงคราม
หากไม่ทราบมาก่อน เกรงว่าผู้อื่นคงเผลอมองเมิ่งฉางอวิ๋น ราชันแห่งภูมิผู้นี้เป็นบ่าวผู้ซื่อสัตย์ข้างกายซูอี้ไปเสียแล้ว…
หืม?
ทันใดนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นก็สังเกตเห็นว่าสาส์นทองสื่อวิญญาณของเขาเรืองแสง ปรากฏข้อความจากโม่หรงซานขึ้น
‘ทุกท่าน ศึกเป็นเช่นไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?’
เมิ่งฉางอวิ๋นลอบถอนใจ นี่เรียกว่าโชคของผู้ไม่รู้หรือไม่?
เขาเหลือบขึ้นมองซูอี้ซึ่งกำลังฝึกฝนอยู่ไกล ๆ และสุดท้ายก็มิได้ทำสิ่งใด
เขามิอาจเตือนโม่หรงซานอย่ามาที่นี่อย่างเมตตาได้
เขาจะไม่มีวันบอกผู้ใดถึงสถานการณ์ศึกเมื่อครู่
หากไม่ทำสิ่งใด ย่อมมิได้กระทำผิด!
‘ไยจึงมิมีผู้ใดตอบเล่า?’
‘หรือว่า… พวกเจ้าคิดฮุบเคล็ดเวียนวัฏสงสารไว้ผู้เดียวหรือไร?’
‘พี่หลัว?’
…ในสาส์นทองสื่อวิญญาณ ข้อความของโม่หรงซานเด้งขึ้นมาเป็นครั้งคราว
“มารดามันสิ ยังคิดถึงเคล็ดเวียนวัฏสงสารอยู่อีก ข้านี่แทบรอลากไอ้แก่เช่นเจ้ามาที่นี่มิไหวแล้ว จะได้เห็นกับตาว่าวิถีดาบแห่งใต้เท้าทัศนาจารย์เป็นเช่นไร!”
เมิ่งฉางอวิ๋นลอบพึมพำ
…
ในโลกหล้าแร้นแค้นสีเทา
โม่หรงซานยืนอยู่ตรงหน้าวิหารโบราณแห่งหนึ่ง
วิหารนี้รกร้าง และเต็มไปด้วยพงหญ้าสูงเนิ่นนาน
“ต้องมีบางอย่างผิดแปลก!”
สีหน้าของโม่หรงซานมืดมนลง
เขาสงสัยว่า ไม่พวกหลัวจื่อหงตกตายก็คงสำเร็จผล แบ่งเคล็ดเวียนวัฏสงสารกันแล้วแยกย้าย และทอดทิ้งเขาไว้เนิ่นนานแล้ว!
เป็นข้อใดกัน?
โม่หรงซานไม่แน่ใจ
ทว่าสุดท้าย เขาก็หันไปทางวิหาร ก่อนกล่าวว่า…
“ผู้อาวุโส ข้าปรารถนาใช้ความลับอันน่าตกใจเรื่องหนึ่งแลกกับการยอมรับของท่านขอรับ!”
โม่หรงซานคำนับ สีหน้าจริงจังนอบน้อม
“ความลับหนึ่งหรือ? หืม เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจเรื่องพวกนี้หรือไร?”
เสียงเฉยเมยหนึ่งดังออกมาจากในวิหาร
โม่หรงซานกล่าว “ความลับนี้เกี่ยวกับการเวียนวัฏสงสารนะขอรับ!”
มีเสียงสั่นสะเทือนคำรามออกมาจากในวิหาร ราวอำนาจผนึกบางอย่างถูกปลดออก
ปราณอันร้ายกาจน่าขนลุกสายหนึ่งแผ่ออกมาจากในวิหาร
ทั่วฟ้าดินพลันหม่นแสง หมู่เมฆทั่วทศทิศย้อมด้วยสีเลือดอย่างน่าประหลาด และจิตสังหารหนาแน่นดุจสสารคืบคลานขึ้นช้า ๆ ในอากาศ
จากนั้น ร่างหนึ่งก็เดินออกมายังประตูวิหาร
เขาเป็นชายผู้ดูเยาว์วัย แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวดุจหิมะ หว่างคิ้วมีปานดอกบัวแดงสดดุจโลหิต
ดวงตาลึกล้ำไม่แยแส เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา
ทันทีที่เขาเดินออกมาจากประตูวิหาร ทั่วฟ้าดินพลันคำรามลั่น กฎสวรรค์ปรากฏ
โม่หรงซานอ้าปากค้าง สั่นเทิ้มทั้งใจกาย
ชายชุดขาวยกมือขึ้น สร้างแรงกดดันแทบไม่อาจหายใจมาสู่เขา ราวกับได้เห็นการจุติลงแห่งเทพอันแท้จริง!
“ข้ามิได้พยายามออกไปไหน แค่เดินเล่นรอบ ๆ นี้เอง อย่าขวางกันเลย”
ชายชุดขาวเงยหน้ามองท้องนภา และโบกแขนเสื้อตน
ทันใดนั้น ฟ้าดินซึ่งเดิมคำรามลั่นพลันเงียบสงัด และกฎสวรรค์ซึ่งปรากฏขึ้นก็หายไปเช่นกัน
เพียงหนึ่งโบกแขนเสื้อ สามารถเปลี่ยนโลกหล้าอย่างง่ายดาย!
โม่หรงซานและตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิอื่น ๆ ล้วนอดสับสนไม่ได้ นี่หรือคือพลังของผู้พิทักษ์?
เรื่องราวในภูมิดาราฟ้าดินนี้ลึกล้ำเกินไป!!
ยามแรกมาเยือน เหล่าราชันแห่งภูมิล้วนถือว่าภูมิดาราฟ้าดินนี้คือปิตุภูมิเวิ้งดารา พวกเขาจึงนึกดูถูกดูแคลนผู้ฝึกตนทุกคนในมหาแดนดินที่เป็นชนท้องถิ่น
ทว่ายามนี้ โม่หรงซานตระหนักแล้วว่าภูมิหลังของภูมิดาราฟ้าดินนี้ร้ายกาจห่างไกลเกินจินตนาการของเหล่าราชันแห่งภูมิมากนัก!
ต้องทราบว่านี่เป็นเพียงอาณาเขตรอบนอกเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเท่านั้น
แต่อำนาจของเขาก็แข็งแกร่งเกินประมาณแล้ว!
“เวียนวัฏสงสาร? ไหนว่ามาซิ”
ชายชุดขาวมองไปทางโม่หรงซาน
โม่หรงซานมิกล้าปิดบัง และเล่าเรื่องของซูอี้ออกมาทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของชายชุดขาวก็วูบไหวแตกต่าง ราวกับมีเปลวเพลิงคุกรุ่นในแววตา
“นี่คือโอกาสชั่วนิจนิรันดร์… มันมาแล้วจริง ๆ…”
เสียงพึมพำต่ำ ๆ ดังขึ้น สีหน้าเฉยเมยของชายชุดขาวดูเหม่อลอย
หัวใจของโม่หรงซานสั่นคลอน โอกาสหรือ?
หรือสำหรับผู้พิทักษ์ผู้นี้ การปรากฏตัวของผู้ถือครองเคล็ดเวียนวัฏสงสารยังหมายความว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น?
“ยามนี้ ชายผู้นั้นอยู่หนใด?”
ชายชุดขาวถามขึ้น
“แดนรกร้างพันกระแสขอรับ”
โม่หรงซานรีบตอบ
ชายชุดขาวแค่นเสียงหึ สะบัดนิ้วและกล่าวช้า ๆ “หากเจ้ากล้าโกหกข้า ข้าจะทำให้เจ้าอยู่อย่างแย่กว่าตาย! ชั่วชีวิตข้า… เกลียดผู้โป้ปดเป็นที่สุด!”
ร่างของโม่หรงซานแข็งทื่อ
ก่อนที่เขาจะทันได้พูด ชายชุดขาวก็คว้าบ่าของเขาก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว
ตู้ม!
อากาศสะเทือนสั่น มิติดูราวพังทลายลงด้วยหนึ่งก้าวนั้น
ร่างของชายชุดขาวและโม่หรงซานหายวับไปทันที
…
ซูอี้ยังคงนั่งสมาธิ
เมิ่งฉางอวิ๋นเก็บสินสงครามเสร็จสิ้นแล้ว
หลังนับเสร็จ ก็พบว่าแค่ป้ายประกาศิตฟ้าดินก็มีทั้งสิ้นสามสิบสองชิ้น!
นอกจากนั้นยังมีโอสถในขอบเขตราชันแห่งภูมิอื่น ๆ สมบัติลับ วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์และเคล็ดวิชาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสามารถกองรวมกันเป็นภูเขาย่อม ๆ ได้
“เพียงทรัพยากรฝึกตนเหล่านี้ หากนำไปยังหอสมบัติวิญญาณเสีย ก็คงแลกปราณชีพจรภูมิดาราได้เป็นหมื่น ๆ สายเลย!”
เมิ่งฉางอวิ๋นกลืนน้ำลาย ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย
หอสมบัติวิญญาณถูกมองว่าเป็นหอวาณิชอันดับหนึ่งแห่งภูมิดาราในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว มีภูมิหลังลึกลับ และเป็นที่ชื่นชอบแลกเปลี่ยนของเหล่ายักษ์ใหญ่ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว
เหตุผลนั้นแสนง่าย เพราะหอสมบัติวิญญาณมีสมบัติมากมายเกินไป!
กระทั่งทรัพยากรฝึกฝนบางอย่าง ซึ่งเป็นที่ต้องการของขุมกำลังใหญ่ บางทียังแลกเปลี่ยนได้เพียงจากหอสมบัติวิญญาณ!
ปราณชีพจรภูมิดาราที่ว่านี้เกิดขึ้นจากมหาวิถีต้นกำเนิดภูมิดาราแห่งหนึ่ง และยังเป็นที่รู้จักในนามศิลาภูมิมหาวิถี
มันเป็นทรัพยากรฝึกฝนที่จำเป็นสำหรับราชันแห่งภูมิ!
วัตถุเลิศล้ำเช่นนี้ห่างไกลเกินเทียบได้กับสมบัติและวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป
“ฆ่าคนเผาร่างเพื่อเข็มขัดทอง ซ่อมถนนต่อสะพานไร้ซากศพ ว่าแล้วเชียว ผู้ไร้ลาภย่อมมิร่ำรวย อาชาที่ไม่กินหญ้ายามวิกาลย่อมไม่อ้วน”
เมิ่งฉางอวิ๋นลอบรำพัน
แม้ในรอบนอกเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้จะมีโอกาสมากมาย แต่มันก็อันตายเกินไป สิ่งใดเล่าจะเร็วสู้สังหารคนชิงสมบัติ?
และเมื่อคิดว่าเขาต้องมอบสมบัติทั้งหมดนี้แก่ซูอี้แต่โดยดี เมิ่งฉางอวิ๋นพลันรำพันราวสิ้นใจ
เพราะถึงอย่างไร ข้าเองก็เป็นเหยื่อไม่ต่างกัน!
ครืน!
ทันใดนั้น ทั่วฟ้าดินแสนไกลพลันสะเทือนไหว มิติพลันระเบิดออก
ร่างของเมิ่งฉางอวิ๋นชะงักนิ่งและมองขึ้นไปทันที
ซูอี้ซึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นเงียบ ๆ
และพบว่า สองร่างปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุที่อยู่ห่างออกไป
พวกเขาคือผู้พิทักษ์ชุดขาวและโม่หรงซาน!
“สัตว์ประหลาดเฒ่าโม่?”
เมิ่งฉางอวิ๋นมองปราดแรกก็จำโม่หรงซานได้ และอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เจ้านี่มาไวไปแล้ว!
ในขณะเดียวกัน ซูอี้มองไปทางชายชุดขาว
คนผู้นี้แข็งแกร่ง!
ปราณในร่างของเขาสอดประสานเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน สื่อสารผิวเผินกับพลังกฎสวรรค์ ทำให้อำนาจของเขาแข็งแกร่งเยี่ยงสรวงสวรรค์
“เมิ่งฉางอวิ๋น เจ้าแก่นี่ยังไม่ตายหรือ!? แล้วคนอื่นเล่า?”
โม่หรงซานเองก็เห็นเมิ่งฉางอวิ๋นและอดแปลกใจไม่ได้
ชายชุดขาวขมวดคิ้วน้อย ๆ และปัดมืออย่างเรียบง่าย
ป้าบ!
โม่หรงซานถูกตบกระเด็นพุ่งไปไกล ร่วงลงสิ้นท่าบนพื้นห่างลับตา
“มีตาหามีแวว”
ชายชุดขาวกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย
สีหน้าของโม่หรงซานแปรเปลี่ยน จากนั้นเขาก็เงียบปากมิกล้าพูดเพ้อเจ้อใด ๆ
“นี่…”
เมิ่งฉางอวิ๋นหวาดผวา เส้นขนบนร่างลุกซู่
ชายชุดขาวเป็นราวเทพเจ้า เผยอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดทุกกิริยา
เพียงตบเบา ๆ ราวปัดแมลงวันก็ฟาดเสียราชันแห่งภูมิเช่นโม่หรงซานกระเด็นลอย!
ทั่วฟ้าดินถูกปราบจนเงียบสนิทไปชั่วขณะ
ดวงตาของชายชุดขาวลึกล้ำสงบเงียบ เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา
เขาเหลือบมองเมิ่งฉางอวิ๋นผู้ตกตะลึงจนแทบเป็นอัมพาต
เขาเองก็เป็นหนึ่งราชันแห่งภูมิ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชุดขาวกลับรู้สึกไร้พลังราวมดตัวหนึ่ง
โชคดีที่ในพริบตาต่อมา สายตาของชายชุดขาวก็เลื่อนไปมองซูอี้ที่ริมธารศิลาหลอม
ทันใดนั้น ซูอี้เองก็สัมผัสถึงแรงกดดันพุ่งทะลัก
แรงกดดันเช่นนี้ราวสรวงสวรรค์บรรพกาลจุติปราบปราม ทำให้จิตใจและวิญญาณชะงักทึ่มทื่อ
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย คนผู้นี้… เย่อหยิ่งมาก!