บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1188: คุยโอ่ได้ชั่วชีวิต
ตอนที่ 1188: คุยโอ่ได้ชั่วชีวิต
“ใต้เท้าทัศนาจารย์ถูกเทพเจ้าเข้าทรงร่างหรือไร!?”
เมิ่งฉางอวิ๋นอ้าปากค้าง ตะลึงจนแทบทึ่มทื่อ
ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนไวเกินไป
ก่อนหน้านี้ ผู้พิทักษ์ยังคงแข็งแกร่งเยี่ยงผู้ครองสวรรค์หนึ่งเดียว
ทว่าในพริบตา เมื่อไร้ความช่วยเหลือจากกฎสวรรค์ เขาก็ถูกซูอี้อัดเสียจมดิน!
“ไฉนเป็นเช่นนี้เล่า?”
โม่หรงซานกระวนกระวาย
เขาเองก็คิดว่าตนจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหลังจากซูอี้ถูกสังหาร
แต่ใครเล่าจะคิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรในพริบตา!
“ใต้เท้า ท่านต้องลุกขึ้นนะขอรับ!!
โม่หรงซานตะโกนอย่างร้อนใจ
“มารดามันสิ ไอ้สุนัขเฒ่านี่น่าฆ่าจริง ๆ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นลอบกัดฟัน นอกจากโม่หรงซานจะพาผู้พิทักษ์มาแล้ว ยังเข้าข้างผู้พิทักษ์อีก หากผู้พิทักษ์ชนะจริง ๆ แล้วเมิ่งฉางอวิ๋นหรือจะรอดชีวิต?
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจขวางทางเบื้องหน้าเพื่อป้องกันมิให้สุนัขเฒ่าโม่หรงซานมีทางหนีทันที!
นอกจากนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นยังกังวลอีกด้วยว่าโม่หรงซานจะหนีออกไปและแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ แล้วเรื่องการแปรพักตร์ของเขาไปสมทบกับซูอี้ก็จะมิอาจซุกซ่อนได้ต่อ มิพ้นต้องถูกตราหน้าเป็นคนทรยศในหมู่ยักษ์ใหญ่จักรวาลพร่างดาวมากมายเป็นแน่
ดังนั้น โม่หรงซานต้องตาย!
ชายชุดขาวไม่อาจลุกขึ้นได้
ก่อนที่เขาจะลุกไหว ร่างของเขาก็ถูกซูอี้เหยียบย่ำ ดวงตามืดดำแทบตายด้วยความเจ็บปวด
ซูอี้ก้มลงมองคนผู้นี้
ก่อนหน้านี้ เขามีโอกาสสังหารคนผู้นี้อยู่แล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ทำเพียงระบายความขุ่นเคือง หาได้ลงมือฆ่าตรง ๆ ไม่
ชายชุดขาวไอหนักหน่วง โลหิตทะลักไหลจากมุมปาก
ใบหน้าของเขาดุร้าย กัดฟันกล่าวขึ้นว่า “ข้าคือผู้พิทักษ์ หากเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะกลายเป็นศัตรูร่วมของมาตุภูมิแห่งหมื่นวิถี!”
“เฉกเช่นนี้ ไม่เพียงเจ้าจะมิสามารถผ่านเข้าสู่แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์แล้ว เจ้ายังต้องตายด้วย คุ้มค่าหรือไม่?”
ซูอี้แย้มยิ้มกล่าวว่า “ผู้พิทักษ์เชื่อฟังกฎเกณฑ์ กระทำการข้อกำหนด แต่เจ้าเล่า? เพียงเพื่อความปรารถนาเห็นแก่ตัว เจ้ากลับเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ มิสมควรตายหรือไร?”
ชายชุดขาวหัวเราะ ก่อนกล่าวว่า “ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้ ข้าคือผู้ตั้งกฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะกล่าววาจาหรือกระทำสิ่งใด ก็จะเป็นไปตามนั้น! ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยเป็นตัวตนร้ายกาจน่าอัศจรรย์มาก่อนนี่ แต่สามัญสำนึกเช่นนี้ยังมิเข้าใจหรือ?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ข้าแค่รู้ซึ้งยิ่งกว่าเก่าเท่านั้นว่าเจ้ามันน่าผิดหวังเพียงไร”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา และกล่าวว่า “เจ้าฆ่าผู้ใดก็ได้ตามใจปรารถนา แต่ผู้อื่นฆ่าเจ้าไม่ได้ นี่มันกฎบ้าบออันใดกัน?”
“หากข้าฆ่าเจ้า ข้าจะกลายเป็นศัตรูร่วม งั้นข้าก็มิคิดมากหากจะตั้งกฎใหม่แก่เขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้!”
“หนึ่งกฎ… อันเป็นของข้า ซูเสวียนจวิน!”
เสียงของเขายังคงสะท้อนก้อง ซูอี้ก็เงื้อดาบฟาดฟัน สังหารผู้พิทักษ์ซานหนิงใต้เท้าของเขาทันที!
ขณะใกล้ตาย ดวงตาของซานหนิงเบิกกว้าง ราวมิเคยคาดว่าจะมีผู้ใดในโลกหล้ากล้าฆ่าเขาจริง ๆ
หรือก็คือ เขาไม่อาจเข้าใจว่าแม้รู้ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรง เหตุใดจึงยังมีคนบังอาจทำเช่นนี้
บางครั้ง การรู้ว่าทำไม่ได้นั้นระงับจิตใจผู้คนมิให้วู่วาม
ทว่าบางหน ก็จะบังเกิดยอดคนผู้กล้าเสี่ยงต่อการปฏิเสธแห่งโลกหล้า กล้าสร้างประวัติการณ์คนแรก!
สำหรับซูอี้ การสังหารผู้พิทักษ์นั้นไร้ค่าแก่การจดจำ
“สุนัขเฒ่า เจ้ายังอยากหนีอีกหรือ? ไม่มีทาง!”
เสียงของเมิ่งฉางอวิ๋นตะโกนลั่นแว่วมา
ซูอี้หันไปมอง และพบว่าเมิ่งฉางอวิ๋นที่ยืนอยู่ไกลออกไป กำลังขวางทางอยู่ตรงหน้าโม่หรงซาน
โม่หรงซานลุกลี้ลุกลน รีบร้อนออกโจมตีอย่างรุนแรง
สองราชันแห่งภูมิซึ่งเดิมเคยเป็นฝ่ายเดียวกันกำลังประชันศึกกัน
ดูน่าขัน ทว่าที่จริงแล้ว ทั้งสองแน่ใจในจุดยืนของตนเนิ่นนาน
เพราะถึงอย่างไร หนึ่งคนสนับสนุนผู้พิทักษ์ซานหนิง ในขณะที่อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกับซูอี้ ไม่แปลกหากพวกเขาจะต้องต่อสู้กัน
“เจ้าแก่นี่ผักชีโรยหน้าเก่งแท้”
ซูอี้แย้มยิ้ม
ผักชีโรยหน้านั้นง่าย แต่การส่งถ่านยามหิมะตกสิหายาก
ทว่าผักชีโรยหน้าก็ยังดีกว่าแทงกันข้างหลังอยู่ดี
เมื่อซูอี้ครุ่นคิดเช่นนี้ เขาก็เดินไปหา
โม่หรงซานซึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับเมิ่งฉางอวิ๋นพลันตะโกนอย่างลนลาน “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ข้าเองก็แปรพักตร์ได้นะขอรับ ข้าจะรับใช้ท่านเยี่ยงสุนัขเยี่ยงม้าเลย!”
เมิ่งฉางอวิ๋นแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าสำคัญตนเช่นไร คิดอยากรับใช้ใต้เท้าทัศนาจารย์หรือ? วาดฝันสวยไปแล้วกระมัง!”
“โจรเฒ่าเมิ่ง ทีเจ้ายังทำได้ แล้วไยข้าจะทำมิได้?”
โม่หรงซานกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าซูอี้มิได้ปล่อยเขาไป และลงมือโจมตีสังหารคนผู้นี้ทันที
เมิ่งฉางอวิ๋นโล่งใจ
ทันทีที่โม่หรงซานตาย ก็จะไม่มีผู้ใดนอกจากทัศนาจารย์ตรงหน้าเขาได้รับรู้สิ่งที่เขากระทำวันนี้ และย่อมมิต้องกังวลว่าจะถูกผู้ใดมองเป็นผู้ทรยศในภายหน้า
ทันใดนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นก็โค้งคำนับต่ำ ๆ แก่ซูอี้ด้วยสีหน้าละอายใจ กล่าวอย่างจริงใจระคนหวาดกลัว “ตาเฒ่าผู้น้อยละอายนักที่มิอาจลงดาบคนผู้นี้ด้วยตนเอง แต่กลับต้องให้ใต้เท้าลงมือ หัวใจตาเฒ่าผู้น้อยกระสับกระส่ายนักขอรับ”
เขาคือหนึ่งในตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิ ทว่ากลับพูดจาตะล่อมประจบเพียงนี้ ซูอี้จึงอดประทับใจเมิ่งฉางอวิ๋นมิได้
เจ้าแก่นี่ใช้วาจาเก่งแท้!
“รวมสินสงคราม จากนั้นเจ้าก็ไปได้”
ซูอี้สั่งการ
เขาก้มลงมองดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ในมือ รอยร้าวเริ่มปรากฏขึ้นบนใบดาบใสกระจ่าง
นี่คือผลของการฝืนใช้แก่นแท้มหาวิถีเวิ้งลึกล้ำในศึกที่ผ่านมา
แก่นแท้มหาวิถีเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
แม้ว่าดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์จะเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ แต่มันก็ยังเป็นเพียงสมบัติในขอบเขตจักรพรรดิ จึงค่อนข้างอ่อนแอเมื่อต้องมารับพลังของแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำ
นี่ยังทำให้เขาเป็นกังวลอยู่ชั่วขณะ
“โชคดีที่หนนี้ข้ารวบรวมวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ในระดับราชันแห่งภูมิมาได้มากพอ ภายหน้า ข้าจะหาโอกาสขัดเกลาดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ขึ้นใหม่”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
ดาบเล่มนี้คือดาบที่เขาในฐานะปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินภาคภูมิที่สุด ความสำคัญของมันจึงห่างไกลเกินธรรมดา เขาจะไม่ยอมทิ้งมันหากไม่ไร้หนทางแล้วจริง ๆ
ไม่นานนัก เมิ่งฉางอวิ๋นก็รวบรวมสินสงครามเสร็จสิ้น และเดินเข้ามาหา
“ใต้เท้า ในร่างของผู้พิทักษ์ไร้สิ่งใดเว้นเพียงหนึ่งเหรียญตราและตราประทับทองแดงอีกชิ้น จนสิ้นดีเลยขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวพลางส่งหนึ่งเหรียญตราและตราประทับทองแดงให้
เหรียญตรานั้นหนาและมีขนาดเท่าฝ่ามือ สร้างจากหยกวิญญาณแปลกประหลาด และสลักอักษร ‘พิทักษ์’ ไว้เบื้องหน้า
ด้านหลังของมันเป็นลวดลายลึกลับบางอย่าง
“สิ่งนี้ไม่ธรรมดา!”
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย มองปราดเดียวเขาก็เห็นได้ว่าวัสดุสร้างเหรียญตรานี้พิเศษมาก และยังเจือด้วยกฎสวรรค์อยู่เล็กน้อย
ส่วนลวดลายลึกลับซึ่งอยู่ด้านหลังเหรียญก็ดูคล้ายอักษรโบราณอ่านว่า ‘เซียน’ เผยมนตร์เสน่ห์ลี้ลับ!
ลวดลายลึกลับนี้เองที่ทำให้ซูอี้ทิ้งความคิดสำรวจด้วยจิตสัมผัส
เพราะลวดลายลึกลับนี้มีบางอย่างผิดปกติ คาดว่าน่าจะเป็นพลังพันธนาการบางอย่าง เมื่อสัมผัสเข้า มันจะถูกล่ามตรวนจองจำด้วยลวดลายลึกลับนี้!
“ผู้พิทักษ์กระทำการตามกฎเกณฑ์ ทว่าก่อนหน้านี้ คนชื่อซานหนิงน่าจะยืมพลังกฎสวรรค์แห่งเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจากพลังของเหรียญตรานี้…”
ซูอี้ลอบกล่าว “คงไม่สายไปหากจะหาที่มาของเหรียญตรานี้ในภายหน้าและขุดคุ้ยหาความลับของมัน”
เขาเก็บเหรียญตราไปและมองไปยังตราประทับทองแดงสีเลือดอีกครั้ง
สมบัตินี้ก็เป็นของซานหนิง ถือได้ว่าเป็นสมบัติโบราณระดับราชันแห่งภูมิชั้นยอด
ทว่าในศึกก่อน สมบัตินี้ถูกภาวะดาบเวียนวัฏทำให้เสื่อมอำนาจ เสียหายหนักจนเหลือคุณค่าเพียงเล็กน้อย
“ใต้เท้า นี่คือสินสงครามจากสุนัขเฒ่าโม่หรงซานขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นนำสมบัติอีกส่วนหนึ่งออกมาส่งให้
ซูอี้เก็บมันไปโดยมิได้มอง กล่าวว่า “เจ้าไปได้แล้ว”
อันที่จริง เขาตั้งใจจะออกจากที่นี่และไปยังซากสถานโลหิตทมิฬ
“เอ่อ… เรื่องนั้น…”
เมิ่งฉางอวิ๋นพูดติดขัด ดูกล้า ๆ กลัว ๆ ทว่าสุดท้ายก็กัดฟันกล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้า ตาเฒ่าผู้น้อย… ไปกับท่านด้วยได้หรือไม่ขอรับ?”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็คุกเข่าลงก้มหัว “ตาเฒ่าผู้น้อยสาบานต่อสวรรค์ว่าจะมิเปลี่ยนใจ เขาจะชดใช้ความผิดเก่าก่อนอย่างบากบั่น และเต็มใจสู้ตาย ติดตามรับใช้ใต้เท้าทุกที่ขอรับ!”
แต่ละคำชัดเจนกังวาน
ซูอี้ผงะไป ก่อนจะกล่าวเบา ๆ “บอกมาว่าเจ้าคิดเช่นไร?”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเสียงต่ำ “ตาเฒ่าผู้น้อยกลัวความตาย กังวลจะถูกผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ ล้างแค้นขอรับ จึงหวังได้รับการคุ้มครองจากใต้เท้า”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “นอกจากนั้น ตาเฒ่าผู้น้อยยังชื่นชมในตัวใต้เท้า ไม่ได้ต้องการเกาะกินชื่อเสียง แต่ต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีกับใต้เท้าขอรับ!”
ซูอี้หัวเราะกล่าว “เรื่องที่เจ้ากลัวตายนี่ข้าเชื่อ แต่ที่บอกว่าสร้างสัมพันธ์อันดีนี่เสแสร้งไปหน่อยกระมัง”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างละอาย “ดวงตาใต้เท้าเป็นเยี่ยงคบเพลิง ในสายตาตาเฒ่าผู้น้อย เมื่อกาลผันผ่าน ความเก่งกาจสามารถของใต้เท้าจะสูงล้ำกว่าอดีตชาติ เป็นหนึ่งที่ทั่วจักรวาลพร่างดาวต้องเกรงขามแน่แท้ขอรับ! เช่นคำกล่าวว่าหนึ่งผู้บรรลุวิถี สุนัขกับไก่ที่เลี้ยงไว้ก็จุติสู่สวรรค์ด้วยกัน ตาเฒ่าผู้น้อยผู้นี้ต้องการเป็น ‘สุนัขกับไก่’ ข้างกายใต้เท้าจริง ๆ ขอรับ!”
เขากล่าวความคิดที่แท้จริงออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “แต่โปรดวางใจขอรับ ตาเฒ่าผู้น้อยหมายมั่นติดตามรับใช้ข้างกายใต้เท้า และย่อมเตรียมพร้อมตายเพื่อใต้เท้าด้วยขอรับ! ยิ่งกว่านั้นยังเต็มใจทำสัตย์ปฏิญาณมหาวิถีเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของตาเฒ่าผู้น้อยนี้ด้วยขอรับ!”
“สัตย์ปฏิญาณมหาวิถีน่ะไม่จำเป็นหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ได้เชื่อใจเจ้านัก”
เมิ่งฉางอวิ๋นผงะไป สีหน้าย่ำแย่ลง พลางกล่าวเสียงต่ำ “ตาเฒ่าผู้น้อยเข้าใจขอรับว่าด้วยตัวตนและความคิดของใต้เท้า ตัวตนเช่นตาเฒ่าผู้น้อยก็ห่างไกลเกินจะมีคุณสมบัติรับใช้ท่านจริง ๆ…”
แม้ว่าเขาจะเป็นราชันแห่งภูมิ ทว่าท่าทีกลับดูโศกเศร้าและถ่อมตน
หากภาพนี้มีผู้ใดได้เห็น เกรงว่าคงตะลึงตาถลนกันแน่แท้
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
เพราะคนตรงหน้าเขาผู้นี้คือร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ผู้เป็นดุจเทพเซียน ท่องทัศนาทั่วจักรวาลพร่างดาว องอาจเหนือผู้ใดทั้งมวล!
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ต่อให้เป็นราชันแห่งภูมิก็ต้องก้มหัวเคารพ!
ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในจักรวาลพร่างดาวต้องลดท่าที!
และซูอี้ก็ไม่มีท่าทีแปลกใจต่อการวางตนถ่อมตัวของเมิ่งฉางอวิ๋นแต่อย่างใด
“ข้าให้โอกาสเจ้าติดตามรับใช้ข้าได้ แต่ในภายหน้าค่อยว่ากันอีกที”
ซูอี้กล่าววาจานี้ลงอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ไพล่มือไปเบื้องหลังและก้าวเดินต่อ
“เอ่อ… อ๋า?!”
เมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นผงะจังงัง แทบไม่เชื่อหูตน
ทันใดนั้น ใบหน้าเฒ่าชราของเขาก็เปี่ยมปรีดาตื่นเต้น กล่าวละล่ำละลัก “ขอบคุณใต้เท้า! ขอบคุณใต้เท้า! ฮือ ๆๆ …ดีใจนัก ข้าเมิ่งฉางอวิ๋นดีใจที่สุดในชีวิตนี้! สุดยอดไปเลย!”
“ฟ้าดินรู้เห็น ตะวันจันทราเป็นพยาน เรื่องนี้ ข้าแม่งคุยโอ่ได้ชั่วชีวิตเลยโว้ย!”
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงผู้นี้ร่ำไห้ด้วยยินดี!
ไกลออกไป ซูอี้ทั้งขันทั้งไร้วาจา เจ้าแก่นี่… เล่นใหญ่เกินไปหน่อยหรือไม่?
………………………………