บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1189: การยอมรับจากเซียนกระเรียน
ตอนที่ 1189: การยอมรับจากเซียนกระเรียน
ในพื้นที่รอบนอกเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ลึกเข้าไปในหุบเหวอันปกคลุมด้วยหมอกหนา
“มีผู้สังหารศิษย์น้องซานหนิง!”
หนึ่งเสียงเย็นชาดังชัดถ้อย
ตู้ม!
หมอกสีดำคล้อยวน อสนีบาตฟาดคลั่ง เกิดแสงสีทองโค้งพร่างพราย
หุบเหวสั่นสะท้านรุนแรง
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าในหุบเหวมีสนามเต๋าโบราณตั้งอยู่หนึ่งแห่ง
กลางสนามเต๋ามีชายร่างผอมสูง กายท่อนบนไร้อาภรณ์นั่งขัดสมาธิอยู่
ผิวกายของเขาเป็นสีทองเหลือง เส้นผมกระเซิง ถูกพันธนาการด้วยตรวนทมิฬดุจนักโทษผู้ถูกทรมาน
ทว่ายามนี้ ดวงตาสีเลือดของเขากลับแผ่ซ่านด้วยจิตสังหารน่าหวาดหวั่น ตรวนทมิฬหนาแน่นทั่วกายเขาสะท้านสั่นรุนแรง
“เมื่อนานมาแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนลบหลู่ผู้พิทักษ์เช่นเรา ทว่ายามนี้กลับมีคนคลั่งสังหารศิษย์น้องซานหนิง หัวใจสามานย์ สมควรตายชดใช้ความผิดนัก!!”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงสะเทือนสนั่นลั่น
ตรวนทมิฬที่ปกคลุมรอบกายชายหนุ่มพลันระเบิดออก
ทันใดนั้น โทสะมหาศาลก็ปะทุออกมาจากชายคนนั้น ทะยานทะลวงเมฆา ปกคลุมทั่วทศทิศ!
ยามนี้ ดูราวเทพปีศาจบรรพกาลทลายตรวนหวนคืนสู่โลกหล้า
ชายร่างสูงลุกขึ้น แขนขวายื่นออกไปไขว่คว้าบนท้องนภา
ตู้ม!
อำนาจกฎสวรรค์กลุ่มหนึ่งรวมตัว แปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงบนฝ่ามือ
ในม่านแสงนั้น ภาพที่ซูอี้เหยียบบนร่างซานหนิงและสังหารเขาด้วยดาบสะท้อนขึ้นมา!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายคนเดิมก็เหมือนถูกยั่วโทสะ ดวงตาแดงฉาน ผิวสีทองเหลืองปริแตก
ลวดลายโลหิตดุจเทพมารลึกลับปรากฏขึ้น
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เหตุผลเป็นเช่นไร ข้าจะบั่นหัวเจ้าก่อน จากนั้นค่อยกระชากจิตวิญญาณของเจ้าออกมาทรมานให้ตายไปทีละน้อย!”
เสียงของชายร่างสูงแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบเทพมาร เผยความเกลียดชังลึกล้ำ
“พี่เหวยเหิง”
ที่ทางเข้าหุบเหว ชายในอาภรณ์สีฟ้าถือคันฉ่องสำริดผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
ร่างนั้นวูบไหวมาปรากฏตรงหน้าชายร่างสูง และกล่าวขึ้น “จากภาพที่ข้าเห็น ซานหนิงน่าจะเป็นผู้ผิดกฎชิงโจมตีผู้ขัดเกลาก่อน ซึ่งผิดบัญญัติข้อแรกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนะ”
ขวับ!
ดวงตาวาวโรจน์ดุจคมดาบของชายร่างสูงนามเหวยเหิงตวัดมองคนพูด “จิ่งเฟิง ศิษย์น้องข้าซานหนิงตายแล้ว แต่เจ้า… ยังมาพูดเรื่องกฎกับข้าอีกหรือ?”
วาจานั้นดุดันมาดร้าย!
ชายชุดฟ้านามจิ่งเฟิงแปรสีหน้าเล็กน้อย และกล่าวเสียงต่ำ “ครานี้ ข้ามาก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ”
“งั้นก็ไม่ต้องมากความ ตามข้าไปฆ่ามัน!”
เหวยเหิงทิ้งประโยคนี้อย่างเย็นชาและสาวเท้ายาว ๆ จากไป
จิ่งเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพึมพำ “กาลก่อนที่เราจะถูกเลือกเป็นผู้พิทักษ์ เราทั้งห้าร่วมสาบานเป็นตายด้วยกันในชาตินี้ แล้วข้าจิ่งเฟิง… จะถอยครานี้ได้หรือ…”
เขาสูดหายใจลึก ๆ และก้าวตามหลังเขาไป
…
ระหว่างเดินทาง
“พี่ใหญ่เหวยเหิง!”
ชายร่างใหญ่โตใบหน้าดุร้ายปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
เขาพาดกระบองสำริดยาวหนึ่งจั้งไว้บนบ่า บรรยากาศรอบกายดุร้ายอหังการ
เหมิงจ้าน
หนึ่งในเหล่าผู้พิทักษ์
“ครานี้ข้าผิดต่อบัญญัติข้อแรกเพียงเพื่อล้างแค้นให้ซานหนิง เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”
ดวงตาของเหวยเหิงดุดันเยี่ยงอสนีบาต จ้องมองไปทางเหมิงจ้าน
เสียงของเหมิงจ้านกึกก้องชัดเจน “ข้ารู้แล้วว่าซานหนิงตาย และมาที่นี่เพื่อร่วมฆ่าศัตรูกับพี่ใหญ่ข้า!”
“ดี!”
เหวยเหิงไม่กล่าวอันใดอีก
พวกเขาล้วนเป็นพี่น้องร่วมสาบาน มิตรภาพยืนยาว มิต้องกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
“ไปแดนรกร้างพันกระแสกันก่อน เมื่อไปถึงที่ตายของซานหนิง ข้าก็จะจับปราณศัตรูมาค้นหาต่อได้”
จิ่งเฟิงรีบกล่าว
“ไป!”
ร่างของสามผู้พิทักษ์วูบไหวหายไปในอากาศธาตุ
แดนรกร้างพันกระแส
ริมฝั่งธารศิลาหลอม
ชายชราผู้หนึ่งในอาภรณ์สีเทาถือไม้เท้าไผ่กำลังมองบางอย่างอยู่หน้าหลุมแห่งหนึ่ง ใบหน้าชราวัยงอง้ำ
ขวับ!
มิติสั่นกระเพื่อม แล้วร่างของพวกเหวยเหิงก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
“เฒ่าหวง ข้าว่าแล้วว่าเจ้าไม่มามิได้”
เมื่อเห็นชายชราชุดเทาถือไม้เท้าไผ่ สีหน้าเย็นชาของเหวยเหิงก็แฝงความโล่งใจ
หวงซานเจี่ย!
หนึ่งในผู้พิทักษ์ทั้งหลาย
ชายชราชุดเทายกมือทาบอกก่อนกล่าว “ซานหมิงตายแล้ว หากข้าไม่ช่วยเขาล้างแค้น ชีวิตนี้คงนอนตาไม่หลับ”
เหวยเหิงกล่าว “จับปราณของศัตรูได้หรือไม่?”
ชายชราชุดเทากล่าว “ข้าต้องรอก่อน ทั้งร่างและจิตวิญญาณของซานหนิงต่างถูกทำลายโดยอำนาจร้ายกาจ กระทั่งเถ้าธุลีก็มิเหลือ ก่อนหน้านี้ข้าคาดว่า พลังที่ศัตรูใช้น่าจะเป็น… วัฏสงสาร!”
วัฏสงสาร!!!
เหวยเหิง จิ่งเฟิง และเหมิงจ้านล้วนผงะตกใจราวกับไม่อยากเชื่อ
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็พอเข้าใจแล้วว่าไยซานหนิงจึงอดโจมตีผู้ขัดเกลาก่อนมิได้”
สีหน้าของจิ่งเฟิงดูซับซ้อน
วัฏสงสาร!
หนึ่งวิถีสูงสุดซึ่งถูกมองว่าเป็นวิถีต้องห้ามแต่โบราณกาล มีเพียงเจ้าผู้ครองภูมิมืดมิดเท่านั้นที่มีคุณสมบัติในการบงการ
ในสายตาของผู้พิทักษ์เหล่านี้ วัฏสงสารมีความหมายพิเศษ
เพราะลือกันว่ามีเพียงมหาวิถีเยี่ยงวัฏสงสารเท่านั้นที่จะทำให้ผู้พิทักษ์เช่นพวกเขาทำลายตรวนในร่าง คืนอิสรภาพกลับมาได้!
“นี่เป็นข่าวดีสำหรับเรา หากเราสามารถได้เคล็ดเวียนวัฏสงสารมาพร้อม ๆ กับล้างแค้นให้ซานหนิง…”
ดวงตาของเหวยเหิงวาวโรจน์ “เราก็มิต้องห่วงว่าบัญญัติข้อแรกจะกลืนกินเราอีกต่อไป หรือกระทั่ง… เราอาจทำลายตรวนทิพย์ในร่าง คืนอิสรภาพ และออกจากกรงขังในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคได้!!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ ล้วนตื่นเต้นเช่นกัน
“สิ่งสำคัญที่สุดคือหาที่อยู่ของศัตรูให้พบก่อน”
จิ่งเฟิงสูดหายใจลึก ๆ และรีบกล่าว “เฒ่าหวง เราช่วยกันใช้เคล็ดวิชาจับปราณของศัตรูเถอะ”
“ได้!”
หวงซานเจี่ยพยักหน้า
…
หมู่เมฆเคลื่อนดุจสายน้ำ ธารนทีหลั่งรินร่วงไหล
นี่คือยอดเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีวิหารโบราณตั้งอยู่ ทะเลเมฆารอบข้างพลิ้วเคลื่อน ทัศนียภาพงดงามตระการ
หากไม่มาเห็นกับตา เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่อันตรายเยี่ยงเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
พรึ่บ!
ชายผมแดงผู้หนึ่งในชุดนักพรตเต๋าปรากฏขึ้นบนยอดเขาจากอากาศธาตุ เคลื่อนกายมาสู่วิหารโบราณ
“พี่ชายร่วมวิถี เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน ผู้พิทักษ์ลำดับหกซานหนิงประสบภัยหายไป และยามนี้ ผู้พิทักษ์อีกสี่คนนำโดยเหวยเหิงล้วนออกจากที่พำนักมารวมตัวกัน คาดว่ากำลังจะล้างแค้นให้ซานหนิงแล้ว”
ชายผมแดงกระซิบ
“ซานหนิงตายอย่างไร?”
เสียงทื่อ ๆ เสียงหนึ่งดังออกมาจากในวิหารโบราณ
ชายผมแดงรีบกล่าว “เขาออกจากที่พำนักโดยไร้การอนุญาต และถูกผู้ขัดเกลาผู้หนึ่งนามซูอี้สังหารในแดนรกร้างพันกระแส”
“เพราะเหตุใด?”
“ข้าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเคล็ดเวียนวัฏสงสารขอรับ”
“วัฏสงสาร!?”
เสียงลึกล้ำจากในตำหนักโบราณเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
จากนั้น ร่างเล็กจ้อยดุจคนแคระก็เดินออกมาจากในวิหารโบราณ
เส้นผมของเขาขาวดุจหิมะ สีหน้าแววตาดูใจดี สูงเพียงสามฉื่อ ทว่ากลับมีท่วงท่าสง่างามยิ่ง
ชายชุดแดงก้มหัวลงโดยมิรู้ตัว มิกล้ามองอีกฝ่ายตรงๆ
“มิน่าเล่า ซานหนิงจึงฝ่าฝืนบัญญัติข้อแรกโดยมิลังเล…”
ชายชราร่างเล็กถอนใจเบา ๆ
“พี่ชายร่วมวิถี เป็นซานหนิงที่ฝ่าฝืนบัญญัติก่อน การถูกสังหารโดยผู้ขัดเกลานับว่าเป็นความผิดของเขานะขอรับ”
ชายชุดแดงว่า “ยามนี้ เหวยเหิงและผู้พิทักษ์ทั้งสี่เมินต่อกฎและคิดล้างแค้นให้ซานหนิง ฝ่าฝืนกฎที่ ‘ท่านมหาเทพ’ ตั้งไว้อย่างรุนแรง เจ้าว่า… เราควรกำจัดหรือไม่?”
ชายชราร่างเล็กเงียบไปชั่วครู่
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็กล่าวด้วยแววตาละเอียดอ่อน “หยวนมู่ เราเองก็เป็นผู้คุมกฎนะ”
ชายชุดแดงนามหยวนมู่ขมวดคิ้ว “พี่ชายร่วมวิถีหมายความเช่นไร?”
ชายชราร่างเล็กกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าหมายความว่า เมื่อเจ้าควรทำตามกฎ เจ้าก็ทำตามกฎ และยามต้องทำตามหัวใจ ก็ทำตามหัวใจเสีย”
กล่าวเช่นนี้ แล้วเขาก็หันหลังกลับเข้าไปในวิหารโบราณ “หยวนมู่ หากเรื่องนี้ถูกจัดการอย่างเหมาะสม ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งสำหรับข้าและเจ้า แต่ยามนี้ เรารออีกสักหน่อยเถิด”
ทว่าหาได้กล้าสรุปไม่
“ทำตามใจ? ทำตามกฎ? เรื่องดี? รอไปก่อน?”
หยวนมู่เงียบงันไปเนิ่นนาน
…
ซากสถานโลหิตทมิฬ
บน ‘เส้นทางปลอดภัย’ อันเป็นตำหนิบนแผนที่หนังสัตว์ พื้นที่รอบนอกแห่งเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ท้องนภาของที่นี่ปกคลุมด้วยเมฆดำหนาดุจตะกั่ว โลกหล้าเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ในซากเหล่านั้นมีคราบเลือดดำทมิฬซึ่งแห้งเหือดไปแล้วให้พบเห็นได้ทุกที่
บรรยากาศพร่ำพิรุณ อากาศโดยรอบล้วนหดหู่และกดดัน
ลึกเข้าไปในซากปรักหักพังมีซากวิหารเต๋าแห่งหนึ่ง
ภายในวิหารเต๋ามีหนึ่งโคมไฟแขวนอยู่เดียวดาย สาดแสงสลัวมัว
หยาดพิรุณพร่างพรมเยี่ยงสายลูกปัดบนขื่อหลังคา ส่งเสียงเปาะแปะหนาหู
กระเรียนสีขาวพิสุทธิ์ตัวหนึ่งนั่งตรงหน้าวิหารเต๋าอันผุพัง
มันนั่งขัดสมาธิราวผู้ฝึกตนมนุษย์ เส้นขนกระจ่างเยี่ยงหยก ดวงตาลึกล้ำทอประกายเยี่ยงมายา
“หากมิใช่เพราะกฎภูมิดาราฟ้าดินเสียหายย่อยยับ ด้วยความสามารถและคุณสมบัติของเจ้า คงก้าวสู่วิถีสู่สวรรค์ได้แสนนานแล้ว”
เซียนกระเรียนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นกระจ่างชัด “แต่ก็ยังมาสายไป เจ้าได้รับการยอมรับจากข้า และภายหน้าเมื่อเข้าสู่แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ เจ้าจะได้สัมผัสพลังต้นกำเนิดจักรวาลอันเข้มข้นของภูมิดาราฟ้าดิน มิเป็นการยากหากจะบรรลุขึ้นเป็นราชันแห่งภูมิที่นั่นได้”
จักรพรรดิมารสวรรค์ในอาภรณ์แดงยืนอยู่ไม่ไกลนัก
ดวงตาพร่างดาวของนางทอประกาย ริมฝีปากแดงดุจกุหลาบแย้มยิ้มยินดีขณะคำนับ “ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับความเมตตา!”
คราแรกที่นางเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนอับโชค นางก็ถูกเคลื่อนมายังซากสถานโลหิตทมิฬแห่งนี้ และจากนั้นจึงได้พบใต้เท้า ‘เซียนกระเรียน’ ผู้อ้างตนเป็นผู้พิทักษ์ และได้เรียนรู้ความลับเกี่ยวกับผู้ขัดเกลาและแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์
นอกจากนั้น เพียงการพานพบครั้งแรก ได้พูดคุยสักครู่ นางก็ได้รับการยอมรับจาก ‘เซียนกระเรียน’ แล้ว!
ทุกอย่างนี้ช่างราบรื่น
ราบรื่นเสียจนปรมาจารย์แห่งวิถีมารเยี่ยงจักรพรรดิมารสวรรค์อดรู้สึกเกินจริงเยี่ยงความฝันมิได้!
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก นี่คือชะตา ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความสามารถและฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมมาก ข้ามิถือหากจะช่วยเจ้า ให้โอกาสเข้าสู่แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์”
น้ำเสียงของเซียนกระเรียนอ่อนโยน ดวงตาที่มองมายังจักรพรรดิมารสวรรค์แฝงเค้าความชื่นชม
ในขณะที่จักรพรรดิมารสวรรค์กำลังจะเอ่ยถึงบางอย่าง ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังแว่วมาในม่านพิรุณหนาทึบ
………………………………