บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 119 ตัดสายสัมพันธ์ด้วยดาบเดียว
ซูอี้มีดาบที่ดูพิเศษยิ่งในมือ
บนใบดาบใสสะอาดใสราวกับท้องฟ้าสีคราม ทั้งยังมีรัศมีเปล่งประกายดั่งระลอกคลื่น
ดาบวิญญาณ!
รูม่านตาของทุกคนหดลีบลง
ขณะที่ในสายตาของหนานอิ่งและหนีเฮ่าเผยความอิจฉาเล็กน้อย ชายผู้นี้มั่งคั่งเกินไปหน่อยไหม?
ฮัวหลงและคนอื่นตกตะลึงชั่วขณะ ซูอี้วางแผนจะลงมือจริงงั้นหรือ?
ใบหน้าโจวฮวายชิวแปรเปลี่ยนกะทันหัน ปากคิดเอ่ยคำออก
แต่ทันใดนั้นเขาแลเห็นแสงวาบของคมดาบฉับพลัน
ฉัวะ!
ศีรษะทะยานขึ้นไปในอากาศ สายโลหิตพุ่งกระฉูดพร่างพราย ก่อเกิดภาพฉากสีแดงฉานภายใต้แสงเทียนของห้องโถงใหญ่
มันเป็นศีรษะของฮัวหลง!
ใบหน้าที่ยังคงเผยความเหยียดหยามกลิ้งตกลงพื้นเสียงดัง
ร่างไร้ศีรษะพลันทรุดฮวบกองบนพื้น
รูม่านตาของทุกคนหดลีบลงอีกครั้ง ความหวาดกลัวกัดกินจนใบหน้าซีดขาว
โจวฮวายชิวอ้าปากแข็งค้าง
เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่า เมื่อซูอี้เริ่มลงมือ อีกฝ่ายจะไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา และจัดการโดยตรงอย่างเรียบง่าย!
มันทำให้หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น
หนีเฮ่าและหนานอิ่งต่างก็ตกใจกับภาพเบื้องหน้า ดวงตาสองคู่เบิกกว้าง ไม่อาจจินตนาการได้ว่าบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์นี้ ซูอี้จะกล้าลงมือทำจริง!
ภายใต้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความตาย ซูอี้กล่าวถ้อยคำออกด้วยท่าทีสงบ
“เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวของปีสี่ร้อยเก้าสิบหกตามปฏิทินต้าโจว ข้าลงไปเก็บผลชาดอายุสามสิบปีที่ด้านข้างหน้าผาของยอดเขาเยาว์วัย ขณะที่กำลังปีนกลับขึ้นไป ข้าถูกฮัวหลัวที่อยู่บนหน้าผาข่มขู่ โดยให้ข้าเลือกว่าจะมอบผลชาดหรือถูกตัดเชือกที่ผูกติด”
กล่าวถึงเรื่องนี้ ซูอี้เหลือบมองทุกคน “อย่างที่รู้ ยอดเขาเยาว์วัยสูงกว่าสามสิบจั้ง หากเชือกขาดจะต้องตกลงไปใต้หน้าผา ตอนนั้นข้าเลือกที่จะต่อต้านและโยนผลชาดลงไปที่ด้านล่างหน้าผา”
“ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่ข้าจะกลับขึ้นไปถึงยอดเขา ฮัวหลัวก็ตัดเชือกทิ้งเสียก่อน”
รับฟังเช่นนั้น โจวฮวายชิวตกใจ “มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วยหรือ?”
เมื่อหันมองเฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่น พวกเขาก็เผยท่าทีอึดอัด แน่นอนว่าแต่ละคนทราบถึงเรื่องราวนี้ดี!
แม้แต่สีหน้าของหนีเฮ่าและหนานอิ่งก็ยังไม่แปรเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
เสียงของซูอี้ยังคงดำเนินต่อไป “โชคดี เมื่อครั้งที่ตกลงลงจากหน้าผา มีต้นสนที่เติบโตบนหน้าผาขวางตัวข้าไว้ แม้จะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ข้าก็รอดชีวิตมาได้”
หลังจากนั้น เขาก็หยิบจอกสุราขึ้นดื่ม หันมองโจวฮวายชิวพลางกล่าวถ้อยคำออก “ท่านลุงโจว คิดว่าฮัวหลงสมควรตายหรือไม่?”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขายังคงมีท่าทีเฉยเมยดังเดิม ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น
ทว่าความสงบและไม่แยแสนี้ ทำให้โจวฮวายชิวหนาวสะท้านอยู่ในใจ
“ซูอี้ ทั้งหมดล้วนเป็นอดีตไปแล้ว แทบไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้ารอดชีวิตมาได้ แต่ตอนนี้เจ้ากลับสังหารฮัวหลงด้วยดาบเดียว ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกแก้แค้นเลยงั้นหรือ!?”
เฉียนอวิ๋นจิวตะโกนเสียงแข็ง “ที่นี่คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์!!”
ซูอี้ชำเลืองมอง ถ้อยคำกล่าวออก “ต่อให้ตะโกนสักเพียงใด ก็ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามายังโถงแห่งนี้”
สีหน้าเฉียนอวิ๋นจิวแปรเปลี่ยนกะทันหัน คิดหันหลังวิ่งหนี
ชิ้ง!
เสียงดาบคำรามดัง
ศีรษะของเฉียนอวิ๋นจิวถูกสะบั้น เลือดไหลทะลักดั่งน้ำพุ
ทำให้บางคนกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ทั้งยังตัวสั่นเทา
แม้แต่หนีเฮ่าและหนานอิ่งก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
แลเห็นเพียงซูอี้กล่าวออกเฉยเมย “ครั้งอยู่ในสำนักดาบชิงเหอ เฉียนอวิ๋นจิวขโมยโอสถของสำนักหลายต่อหลายครั้ง แต่หลังถูกจับได้ เขากลับมาใส่ร้ายข้า และไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อคำข้าเลย”
กล่าวถึงเรื่องราวนี้ เขาก็ถอนหายใจเบา กล่าวถ้อยคำออก “ช่างน่าขำ ที่หลายคนกลับให้การเห็นพ้องกับเฉียนอวิ๋นจิว โดยบอกว่าข้าเป็นผู้ขโมยโอสถ ส่วนดวงตาของเหล่าอาวุโสในสำนักต่างมืดบอด แม้รู้ดีว่าเรื่องราวผิดวิสัย แต่กลับบังคับให้ข้ายอมรับต่อคำโป้ปดนั้น และไม่มีใครมอบความยุติธรรมแก่ข้าเลยสักคน”
“ต่อมาข้าก็ตระหนักได้ว่า ในสายตาของพวกเขา ข้าเป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยไม่มีสถานะ แม้ภายหลัง ทุกคนจะรับรู้ความจริง พวกเขากลับบอกให้ข้ายอมรับความผิด เพื่อรักษาชื่อเสียงของเฉียนอวิ๋นจิวไม่ให้เสียหาย”
สีหน้าของทุกคนในโถงเปลี่ยนแปลงชั่วขณะ
แม้แต่หวงเฉียนจวินก็ไม่อาจสงบสติอารมณ์อยู่ได้ ฟันกรามขบกันแน่น ดวงตาวูบวาบเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
เขาไม่เคยคาดคิดว่า ซูอี้จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เมื่อครั้งที่อยู่ในสำนักดาบชิงเหอ!
“ผู้อาวุโสโจว ท่านเองก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องราว แต่ในขณะนั้น ดูเหมือนท่านจะเลือกยืนดูอย่างเฉยเมย”
ซูอี้หันมองโจวฮวายชิว
โจวฮวายชิวถอนหายใจยาว เผยความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน “ข้าคิดว่ามันเป็นแค่การขโมยของธรรมดา จึงไม่นำมาใส่ใจ ใครจะคาดคิด…”
“ข้าไม่เคยคิดตำหนิ ท่านเป็นผู้อาวุโสทรงอำนาจในสำนัก แล้วจะใส่ใจเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
สิ้นเสียง ซูอี้ยกสุราขึ้นดื่มอีกจอก
หลังวางจอกลง เขามองตรงไปที่หลิวอิ๋ง
ใบหน้าหลิวอิ๋งซีดเซียวด้วยความตกใจ รีบกรีดร้องดัง “อย่าเข้ามานะ!!”
หยางฉี ฉู่เหลียนเหิง เจิ้งเซียวหลิน และจางเฟิงถูต่างหวาดผวาจนหน้าถอดสี
ไม่เหลือความเย่อหยิ่งและทะนงตัวก่อนหน้าอีกต่อไป
ก่อนหน้า พวกเขาทั้งหมดต่างเชื่อมั่นเพราะโจวฮวายชิวผู้อาวุโสแห่งสำนักอยู่ที่นี่ อีกทั้งที่แห่งนี้คือภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ จึงไม่ได้คิดเกรงกลัวและไม่เชื่อว่าซูอี้จะกล้าก่อปัญหาขึ้นได้
แต่ตอนนี้ ด้วยการเสียชีวิตของฮัวหลงและเฉียนอวิ๋นจิว ทำให้ทุกคนเริ่มหวาดกลัวและตระหนักได้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่มาก
ด้วยสัญชาตญาณที่มี พวกเขาทั้งหมดจึงรีบไปหลบด้านหลังของโจวฮวายชิว
“ผู้อาวุโสโจว! ซูอี้สังหารฮัวหลงและเฉียนอวิ๋นจิวต่อหน้าต่อตา ท่านไม่คิดโกรธเคืองหรือสนใจเลยหรือ!?”
ใครคนหนึ่งโพล่งออกด้วยความโกรธ
คนอื่นต่างเห็นพ้อง ฟันขบกันแน่น ทั้งตื่นตระหนกและยังขุ่นเคือง
“ซูอี้ เรื่องราวนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมันไม่ส่งผลดีต่อเจ้าเลย เหตุใดจึงไม่หยุดเพียงเท่านี้เสีย ความคับข้องใจที่มี เราควรไปยังสำนักดาบชิงเหอเพื่อแก้ปัญหาทีละอย่างดีกว่าหรือไม่?”
โจวฮวายชิวสูดลมหายใจเข้าลึก ถ้อยคำเคร่งขรึมกล่าวออก
ด้วยฐานะผู้อาวุโสอันดับสี่ในสำนัก เขาจึงทนไม่ได้ที่ศิษย์ของตนถูกฆ่าตายแบบนี้
อาจกล่าวได้ว่า การที่ซูอี้ลงมือก่อเหตุฆาตกรรมเช่นนี้ อีกฝ่ายข้ามเส้นเขาไปแล้ว ซึ่งทำให้เคืองโกรธอย่างยิ่ง
ทว่าซูอี้ยังคงกล่าวถ้อยคำออกเฉยเมย “เมื่อเรื่องราววันนี้ได้รับการแก้ไข ข้าจะไปเยือนสำนักดาบชิงเหอแน่นอน”
สิ้นเสียง เขาถือดาบก้าวออกมาด้านหน้า “สำหรับตอนนี้ ท่านลุงโจวควรหลีกทางเสียดีกว่า ไม่เช่นนั้น อย่าโทษที่ข้าไม่สำนึกถึงความเมตตาในอดีต”
กล่าวถึงความเมตตา หลังจากที่เขาได้เป็นหัวหน้าศิษย์สายนอก โจวฮวายชิวก็เริ่มให้ความสนใจ ทั้งยังชื่นชมและดูแลเขาไม่น้อย
แต่หากคิดให้ถี่ถ้วน ทั้งหมดนั้นมันเป็นเพียงความห่วงใยที่ได้รับโดยอาศัยสถานะ ‘หัวหน้าศิษย์สายนอก’ มันไร้ซึ่งมิตรภาพที่แท้จริง
“พอได้แล้ว!”
ใบหน้าโจวฮวายชิวซีดเซียว ดวงตาจับจ้องไปที่ซูอี้ “มันก็แค่ความคับข้องใจเล็กน้อยในอดีต เจ้าจำเป็นต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ด้วยหรือ?”
“แค่ความคับข้องใจเล็กน้อย?”
ปรากฏร่องรอยเยาะเย้ยบนริมฝีปากของซูอี้ “เป็นเพราะมันไม่ได้เกิดกับตัวท่าน จึงเป็นเหตุผลทำให้คิดแบบนั้นหรือ?”
ในโลกนี้ ไม่เคยมีความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงดำรงอยู่
ซูอี้เกียจคร้านเกินกว่าจะพูดถึงเหตุผล จึงได้กล่าวถ้อยคำอย่างเถรตรง “คืนนี้ พวกมันต้องตาย!”
“ท่านลุงโจว เจ้าคนชั่วนี้ทั้งดุร้ายและยังไม่เคารพท่าน!” หลิวอิ๋งกรีดร้อง
แม้แต่หนีเฮ่าและหนานอิ่งก็แทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ทั้งสองไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ซูอี้จะบังอาจพูดกับโจวฮวายชิวเช่นนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้ ซูอี้ควรจะรู้อยู่แก่ใจว่าโจวฮวายชิวมีฉายาว่า ‘ผู้เฒ่าดาบยอดเขาขจี’ ซึ่งอยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ และเคล็ดวิชา ‘สิบสามดาบยอดเขาขจี’ ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วมหานครอวิ๋นเหอ!
“ซูอี้ หากเจ้ายังดื้อรั้น อย่ากล่าวโทษที่ข้าโหดร้าย” โจวฮวายชิวถอนหายใจยาว ชักดาบออกจากฝัก ดวงตาสองส่องประกายเย็นเยือก ลมปราณทั่วร่างกายเดือดพล่าน
สิ่งนี้ทำให้หลิวอิ๋งและคนอื่นคลายความหวาดกลัว แต่ละคนเผยสีหน้าแค้นเคืองและยินดี
ไม่สำคัญว่าซูอี้แข็งแกร่งเพียงใด เขาไม่อาจต่อกรกับผู้อาวุโสอันดับสี่ได้แน่นอนจริงหรือไม่?
“ซูอี้หยุดเสียเถอะ ท่านลุงโจวอดทนมาพอแล้ว อย่าทำให้เขาต้องอับอาย!”
ในเวลานี้ หนีเฮ่ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงล้ำลึก
แต่ซูอี้เพิกเฉยอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะหันมอง ซึ่งทำให้ใบหน้าของหนีเฮ่าแดงก่ำ
“ข้าเองก็อยากจะได้คำชี้แนะจากท่านลุงโจวมานานแล้ว”
สิ้นเสียง ซูอี้ไม่คิดลังเลและก้าวไปด้านหน้า
ทุกคนเบิกตากว้างคล้ายกับไม่เชื่อ
แต่ในไม่ช้า หลิวอิ๋งและคนอื่นก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ชายผู้นี้รนหาที่ตายให้ตัวเอง เช่นนั้นก็ดี!
“ซูอี้ เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง”
โจวฮวายชิวถอนหายใจเบา ดาบยาวในมือสั่นสะท้านและแทงออกไปทันใด
ชิ้ง!
ในชั่วพริบตา ราวกับภูเขาสีเขียวสูงตระหง่านกำลังเคลื่อนผ่าน ซึ่งงดงามตระการตายิ่ง
‘กระบวนท่ายอดเขาเหิน’ แห่งสิบสามดาบยอดเขาขจี!
การเคลื่อนไหวนี้มีความสง่างามอย่างยิ่ง ดาบเปี่ยมล้นด้วยพลังฟ้าดิน โจวฮวายชิวสามารถดึงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่
ทุกคนสูดหายใจเข้าลึก ราวกับมองเห็นขุนเขาสีครามทะยานผ่านอากาศ
อย่างไรก็ตาม ซูอี้เพียงส่ายศีรษะเล็กน้อย สะบัดข้อมือตวัดดาบออกไป
ดาบนี้ เปรียบดั่งสายรุ้งขาวที่ส่องทะลุแสงอาทิตย์ ด้วยแสงดาบอันเปล่งประกายและรวดเร็วดั่งสายฟ้า มันจึงทะลวงภูเขาสีเขียวนั้นอย่างง่ายดาย
เคร้ง!
ท่ามกลางเสียงปะทะรุนแรง ข้อมือโจวฮวายชิวได้รับบาดเจ็บ ขณะดาบในมือกระเด็นออกไปกระแทกแจกันขนาดใหญ่ด้านข้างห้องโถง
ด้วยแรงกระแทก แจกันใบนั้นก็ระเบิดจนกลายเป็นเพียงเศษซาก
โจวฮวายชิวมองข้อมือตนเองด้วยความประหลาดใจ ก่อนพบรอยบาดจากดาบขนาดเล็กบนผิวหนัง
เขาตกตะลึง ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางตัว
ช่างเป็นดาบที่น่ากลัวอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้ถึงกับหมดกำลังจะต้านทานได้!?
“นี่…”
รอยยิ้มบนใบหน้าหลิวอิ๋งแข็งค้าง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ หนังศีรษะทั้งหมดด้านชา
ผู้เฒ่าดาบยอดเขาขจีผู้กล้าแกร่ง ผู้อาวุโสอันดับสี่ของสำนักผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ เขามีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในมหานครอวิ๋นเหอ แต่แล้วทำไมกลับไม่สามารถหยุดดาบของซูอี้ได้เลย?
หนีเฮ่าและหนานอิ่งตกตะลึงไม่ต่างกัน
ครั้งที่ซูอี้ชนะอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แต่จากนั้นใครจะคาดคิด เพียงครึ่งเดือนต่อมา ซูอี้กลับกลายเป็นตัวตนที่น่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าอาจารย์ของพวกตน?
“ดาบนี้ เป็นดั่งการตัดสายสัมพันธ์ในอดีต จากนี้ไป ข้าและท่านไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน” ซูอี้กล่าวออกอย่างใจเย็น
มือและเท้าโจวฮวายชิวเย็นเยือก ท่าทีของเขาแปรเปลี่ยนไป ดวงตาทั้งสองเปี่ยมล้นด้วยความสับสนและสงสัย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจยาว กล่าวถ้อยคำด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ค่ำคืนนี้เจ้าจะไร้ซึ่งความกลัว ไม่น่าแปลกใจที่นายหญิงชุ่ยอวิ๋นปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงแขกผู้ทรงเกียรติ ปรากฏว่าเจ้าได้เติบโตขึ้นมาจนถึงระดับนี้…”
โจวฮวายชิวสูดหายใจเข้าลึก ถ้อยคำเคร่งขรึมกล่าวออกทันใด “แต่เรื่องราวของวันนี้ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ จึงไม่มีทางยอมแพ้โดยง่าย! ไม่เช่นนั้น ข้าจะแบกหน้าไปพบทุกคนในสำนักดาบชิงเหอได้อย่างไร?”
ท่าทีช่างเด็ดเดี่ยว
รับฟังเช่นนี้ ซูอี้จึงไม่กล่าวตอบถ้อยคำไร้สาระ ท่าทีเฉยเมยไร้อารมณ์
ขยับแขนอีกครั้ง ดาบบงการฟ้าดินตวัดออกไป
โจวฮวายชิวยกแขนขึ้นป้อง ต่อต้านด้วยกำลังทั้งหมด
แต่ในพริบตาต่อมา ร่างของเขาก็ถูกกระแทกบินออกไปโดยดาบบงการฟ้าดิน ร่างผอมบางกลิ้งไถลไปกับพื้นด้วยสภาพน่าอับอาย
ไม่อาจต้านรับแม้แต่ดาบเดียว!