บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1190: ผู้บัญญัติกฎ
ตอนที่ 1190: ผู้บัญญัติกฎ
พิรุณกระหน่ำหนาตา ท้องนภามืดครึ้มหม่นแสง
“ใต้เท้า สถานที่พำนักของผู้พิทักษ์เซียนกระเรียนอยู่ในวิหารเต๋าแถวนี้ขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าว
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ เขาสัมผัสได้ว่ามีปราณสายหนึ่งอันแข็งแกร่งยิ่งอยู่ในวิหารเต๋าผุพังนั้น
นอกจากนั้นยังมีหนึ่งปราณที่ซูอี้รู้สึกคุ้นเคยอยู่ด้วย
แทบจะในยามเดียวกัน น้ำเสียงแปลกใจก็ดังออกมาจากซากวิหารเต๋า
“พี่ซู ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!”
เสียงนั้นหวานใสรื่นหู
ซูอี้หันไปมองขณะหญิงสาวอาภรณ์แดงผู้งดงามสะกดตา กิริยาไร้ผู้เทียบปรากฏขึ้น นางคือจักรพรรดิมารสวรรค์
ซูอี้แย้มยิ้มพลางเดินไปหา
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบร้อนตามไป
“พี่ซู นี่คือผู้ใดหรือ?”
จักรพรรดิมารสวรรค์สังเกตเห็นเมิ่งฉางอวิ๋นและอดแปลกใจมิได้ นี่คือตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
โดยมิรีรอให้ซูอี้เอ่ยปาก เมิ่งฉางอวิ๋นก็ก้าวออกมาคำนับด้วยรอยยิ้ม “ตาเฒ่าผู้น้อยนี้มีนามว่าเมิ่งฉางอวิ๋นขอรับ ได้ใต้เท้าซูเมตตา ตาเฒ่าผู้น้อยจึงได้รับใช้ข้างกายใต้เท้าขอรับ”
จักรพรรดิมารสวรรค์ตะลึงอึ้ง ราชันแห่งภูมิ… เป็นข้ารับใช้!?
ยามนี้เอง เสียงของเซียนกระเรียนก็ดังออกมาจากในซากวิหารเต๋า “มารสวรรค์เอ๋ย พาพวกเขาเข้ามาสิ”
จักรพรรดิมารสวรรค์ตกตะลึงในใจ เตรียมแนะนำตัวตนของเซียนกระเรียนผ่านกระแสปราณให้แก่ซูอี้ ทว่าชายหนุ่มกลับแย้มยิ้ม พลางส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ข้ารู้ทุกสิ่งแล้ว”
กล่าวจบ เขาก็เดินเข้าไปในวิหารเต๋า
เมิ่งฉางอวิ๋นแย้มยิ้มพลางหลีกทาง
ท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ทำให้จักรพรรดิมารสวรรค์ตะขิดตะขวงใจเอาการ
ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ ไยจึง… ประจบกันเพียงนี้!?
‘ดูเหมือนว่าหลังจากมายังเขตต้องห้ามเซียนอับโชค จะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับพี่ซู!’
จักรพรรดิมารสวรรค์ครุ่นคิดขณะก้าวเข้าไปในซากวิหารเต๋า
ในวิหารเต๋า เซียนกระเรียนนั่งขัดสมาธิ เส้นขนขาวกระจ่างดุจหิมะ ดวงตาลึกล้ำคู่นั้นมีแสงศักดิ์สิทธิ์เรืองอยู่จาง ๆ
เมื่อซูอี้เดินเข้ามา มันพลันลุกขึ้น ดวงตาวูบไหวด้วยคลื่นแสงกระเพื่อมทอง มองซูอี้ขึ้นลงอย่างพินิจ
ซูอี้เองก็มองพิศมอง ‘ผู้พิทักษ์’ นี้เช่นกัน
การฝึกฝนของมันอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นต้น ซึ่งมีลำดับต่ำกว่าผู้พิทักษ์นามซานหนิงเล็กน้อย
ทว่าปราณของเซียนกระเรียนผู้นี้กลับบริสุทธิ์และแข็งแกร่งยิ่งนัก ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ผิดธรรมดามาก
“เจ้าสังหารผู้พิทักษ์มาหรือ?”
เซียนกระเรียนกล่าวอย่างเย็นชา ดวงตาพลันเย็นเยียบสุดขีด บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์บนร่างดุร้ายเดือดดาล
เปรี้ยง!
นอกวิหารเต๋า มวลเมฆาดำหนาแน่นสั่นกระเพื่อมรุนแรง สายฟ้าอสนีบาตคลุ้มคลั่ง สายพิรุณพลันเดือดพล่านรุนแรงกระหน่ำเท
จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนตกใจตะลึงอึ้งร่างแข็งทื่อ
ทว่าซูอี้กลับกล่าวอย่างเฉยชา “ถูกต้อง”
เขามิคาดเลยว่าเพิ่งพบกัน แต่เซียนกระเซียนก็มองเห็นความจริงได้!
“เพราะเหตุใด?”
เซียนกระเรียนถาม
มันเห็นว่าซูอี้ หนึ่งชายหนุ่มในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำดูไร้ความกลัว สุขุมใจเย็นอย่างยิ่ง
ซูอี้เหลือบมองเมิ่งฉางอวิ๋น
เมิ่งฉางอวิ๋นเข้าใจเรื่องราวและลุกขึ้นทันที
เขาจัดเสื้อผ้า กัดฟันพูดอย่างไม่พอใจ “ผู้อาวุโส ท่านอาจมิทราบเรื่อง แต่เมื่อไม่นานนี้ ซานหนิงผู้นั้นบ้าชัด ๆ ขอรับ!”
เขาดูกรุ่นโกรธ เปี่ยมด้วยคุณธรรม ร่ายเรียงเรื่องราวไหลลื่นดุจสายธาร แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งขณะเล่าเรื่อง
จักรพรรดิมารสวรรค์อดโมโหมิได้ “ผู้พิทักษ์ที่ลงมือกับผู้ขัดเกลาน่ารังเกียจยิ่งจริงแท้!”
หลังได้ยินเช่นนี้ เซียนกระเรียนก็เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะถามว่า “เหตุใดซานหนิงจึงทำเช่นนี้?”
“เอ่อ…”
เมิ่งฉางอวิ๋นมองซูอี้ เหตุผลนี้เขามิกล้าพูดง่าย ๆ
ทว่าซูอี้กลับกล่าวออกไปเรียบ ๆ อย่างเฉยเมย “วัฏสงสาร”
“วัฏสงสาร?”
เซียนกระเรียนผงะไป แววตาของมันเปลี่ยนแปร
เนิ่นนานจากนั้น มันก็กระซิบ “หากเป็นเช่นนั้น… ก็เข้าใจได้”
เมิ่งฉางอวิ๋นลอบถอนใจโล่งอก ก่อนกล่าวผรุสวาทออกมา “ยามซานหนิงผู้นั้นใกล้ตาย เจ้านั่นก็ข่มขู่ใต้เท้าของข้า บอกว่าหากฆ่าเขา ใต้เท้าจะกลายเป็นศัตรูร่วมของมาตุภูมิแห่งหมื่นวิถี และยังบอกอีกว่าใต้เท้าของข้าจะต้องล้มตาย ท่านว่านี่คือวาจาของคนหรือไม่?”
เซียนกระเรียนถอนใจเบา ๆ และกล่าวว่า “แม้วาจาของเขาจะแข็งกร้าว… แต่นั้นมิใช่เพียงคำขู่หรอก”
เปลือกตาของเมิ่งฉางอวิ๋นกระตุก ก่อนกล่าวอย่างมิอยากเชื่อ “ผู้อาวุโสหมายความว่า ใต้เท้าของข้าจะถูกล้างแค้นเพียงเพราะเรื่องนี้หรือขอรับ?!”
จักรพรรดิมารสวรรค์เองก็เผยสีหน้ากังวล
เซียนกระเรียนเงียบไปชั่วขณะ และกล่าวว่า “ถูกต้อง”
เมิ่งฉางอวิ๋นหัวใจเต้นกระตุก กำลังจะพูดบางอย่าง
ทว่าจักรพรรดิมารสวรรค์ชิงพูดก่อน “ผู้อาวุโส มิใช่ว่าผู้พิทักษ์ฝ่าฝืนกฎ เขาควรถูกลงโทษอย่างหนักหรือเจ้าคะ?”
เซียนกระเรียนถอนใจเบา ๆ “หากผู้คุมกฎเมินเฉยต่อบทลงทัณฑ์เหล่านี้ กฎก็ยากจะรั้งพวกเขาไว้ได้”
กล่าวถึงตรงนี้ มันก็หันไปกล่าวกับซูอี้ว่า “ฟังคำแนะนำข้านะ หากเจ้าไปจากเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเสียยามนี้ บางทีเจ้าอาจยังมีโอกาสรอด หาไม่… ข้าก็ให้ที่พักพิงเจ้ามิได้หรอก”
ซูอี้ส่ายหัวว่า “สหายเต๋า เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อขอความยุติธรรมหรือการคุ้มครองจากเจ้าหรอก”
เซียนกระเรียนตะลึงอึ้ง “งั้นเจ้ามาทำสิ่งใดที่นี่?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ประการแรก ข้าตกลงนัดพบกับสหายเต๋ามารสวรรค์ และไปยังส่วนลึกแห่งเขตต้องห้ามเซียนอับโชคด้วยกัน”
ได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิมารสวรรค์ก็อดเบิกดวงตาพร่างประกายของนางออกกว้างมิได้ หัวใจปั่นป่วนรวนเร คนผู้นี้ก่อหายนะมหาศาล แต่หัวใจกลับยังเป็นห่วงนาง…
ซูอี้กล่าวต่อ “ประการที่สอง ข้าอยากถือโอกาสนี้ถามบางเรื่องกับสหายเต๋า แต่ไม่แน่ใจว่าสหายเต๋าจะเต็มใจตอบข้าหรือไม่”
เซียนกระเรียนมองซูอี้อย่างลึกล้ำ “เจ้าแน่ใจหรือว่ามิกลัวการล้างแค้น?”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “หากข้ากลัวตาย คงมิฆ่าซานหนิงผู้นั้นหรอก”
เซียนกระเรียนถอนใจเบา ๆ “พวกเจ้านั่งลงสิ”
จากนั้น มันก็นั่งลงบนพื้น
ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมานั่ง
จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นยืนประกบซูอี้ซ้ายขวา
นอกวิหารเต๋า พิรุณโปรยปราย ท้องนภามืดครึ้ม
ในวิหารเต๋า ซูอี้เริ่มถามคำถาม
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์เหมือนกัน แต่เซียนกระเรียนกลับแตกต่างจากซานหนิง และมิได้หลบเลี่ยงจะแถลงตอบความงุนงงของซูอี้
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ได้รับรู้ความจริงบางอย่าง
ประการแรก กฎเกณฑ์ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคถูกบัญญัติขึ้นด้วยตัวตนในตำนานผู้หนึ่งซึ่งถูกยกย่องเป็น ‘ท่านมหาเทพหง’ นับแต่โบราณกาล
เซียนกระเรียนมิได้พูดมากเกี่ยวกับที่มาและการฝึกฝนของ ‘ท่านมหาเทพหง’ และบอกเพียงว่านับแต่แรกเริ่มดึกดำบรรพ์ ‘ท่านมหาเทพหง’ นั้นเป็นตัวตนสูงสุดผู้ปกครองภูมิดาราฟ้าดิน!
เพียงคำบรรยายเช่นนี้ก็ทำให้ซูอี้ตระหนักได้ว่า ‘ท่านมหาเทพหง’ นี้เป็นตัวตนอันน่าเหลือเชื่อเพียงใด!
ประการที่สอง ความรับผิดชอบของผู้พิทักษ์คือการกระทำตามกฎ ปกป้องพื้นที่รอบนอกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชค และดึงดูดผู้ขัดเกลาซึ่งเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากผู้พิทักษ์จะสามารถเข้าไปในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ซึ่งตั้งอยู่ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเพื่อผ่านด่านเลื่อนระดับได้
ผู้ที่สามารถเลื่อนระดับได้จะได้รับพลังมรดกสูงสุดนับแต่แรกเริ่มบรรพกาล!
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เซียนกระเรียนก็มิได้อธิบายเพิ่มเติมมากนัก
มันพูดเพียงว่าเมื่อนานมาแล้ว เพื่อดำรงมรดกมหาวิถีมากมายในช่วงต้นกำเนิดโลกดึกดำบรรพ์ ท่านมหาเทพหงจึงสร้างด่านต่าง ๆ ขึ้นมาใน ‘แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์’ เพื่อคัดเลือกคนผู้มีวาสนามารับสืบทอด
ตลอดกาลนานมา แม้จะมีผู้แข็งแกร่งมากมายมายังเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเพื่อเลื่อนระดับ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จสักคน!
ประการที่สาม สิบผู้พิทักษ์ซึ่งดูแลพื้นที่รอบนอกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนั้น ต่างคนต่างถือเหรียญตราพิทักษ์หนึ่งชิ้น
เหรียญตรานี้ถูกสร้างขึ้นด้วยมือท่านมหาเทพหงเอง
ด้วยเหรียญตรานี้ ผู้พิทักษ์จะสามารถใช้พลังกฎสวรรค์ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคได้ ซึ่งทำให้พวกเขาแทบจะเป็นอมตะ
นอกจากนั้น เมื่อผู้พิทักษ์ฝืนบัญญัติซึ่งตั้งโดยท่านมหาเทพหง เขาจะถูกลงทัณฑ์สถานหนัก!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดกล่าวมิได้ “ซานหนิงผิดต่อกฎ ไยจึงมิถูกลงโทษเล่า?”
เซียนกระเรียนกล่าว “เรื่องนี้ต้องให้เพชฌฆาตออกมาลงมือ!”
ซูอี้ผงะไป “หมายถึงผู้รับหน้าที่ลงทัณฑ์หรือ?”
“ใช่”
เซียนกระเรียนกล่าว “ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคมีเพชฌฆาตหกคน และนานมาแล้ว เพชฌฆาตเหล่านี้ก็ซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืดของแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ พวกเขามีหน้าที่อยู่สองอย่าง”
“อย่างแรกคือลงทัณฑ์ผู้ฝ่าฝืนกฎ”
“อย่างที่สองคือสังหารบุคคลอันตรายทั้งหลายซึ่งขัดขวางความเป็นระเบียบของแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์”
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย
แดนลี้ลับสิ้นเซียนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ รอบนอกมีผู้พิทักษ์รายล้อม และในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ก็มีเพชฌฆาตคอยคุ้มครอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิถีเต๋าของเพชฌฆาตจะแข็งแกร่งสูงส่งกว่าผู้พิทักษ์มากนัก!
“ผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนี้ ไยซานหนิงจึงมิพบเพชฌฆาตยามแหกกฎเล่าเจ้าคะ?”
จักรพรรดิมารสวรรค์อดถามมิได้
เซียนกระเรียนว่า “ในหมู่ผู้พิทักษ์ทั้งสิบ มีเพียงผู้พิทักษ์ลำดับหนึ่ง ‘วั่งเทียนโส่ว’ เท่านั้นที่สามารถสื่อสารกับเพชฌฆาตและขอให้พวกเขาลงมือได้”
ซูอี้ขมวดคิ้ว ตระหนักถึงปัญหาและเอ่ยถาม “นั่นหมายความว่า การวางตนของผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งสำคัญต่อการทำโทษผู้ฝืนกฎมากใช่หรือไม่?”
เซียนกระเรียนพยักหน้ากล่าว “ข้าบอกเจ้าได้ว่าวั่งเทียนมิกล้าฝ่าฝืนกฎหรอก ขอเพียงเขารู้เรื่องนี้ เขาย่อมไม่อยู่เฉยแน่”
จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนถอนใจโล่งอก
หากเป็นเช่นนั้นได้ ย่อมดีที่สุด
ซูอี้กล่าวเสียงเรียบ “งั้นข้าจะรอดูว่าผู้พิทักษ์ใดจะมาตายต่อหรือไม่ และยังใช้คาดเดาการวางตัวของผู้พิทักษ์ลำดับหนึ่งได้ด้วย”
เขาไม่เคยฝากความหวังสะสางอันตรายที่ผู้อื่น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งหาได้มาหยุดยั้งยามซานหนิงฝ่าฝืนกฎเมื่อกาลก่อนไม่
ชายหนุ่มเดาได้ว่าเขาคงมิทราบว่าซานหนิงกล้าฝ่าฝืนกฎ
แต่หลังจากนั้น หากยังมีผู้พิทักษ์ใดปรากฏตัวขึ้นล้างแค้นให้ซานหนิง จะเพียงพอพิสูจน์ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการวางตนของผู้พิทักษ์ลำดับหนึ่ง!
เห็นได้ชัดว่าเซียนกระเรียนเข้าใจความนัยในวาจาของซูอี้ และอดหัวเราะมิได้ “สหายเต๋า เจ้ากังวลมากไปหน่อยแล้ว ด้วยความเข้าใจของข้าที่มีต่อวั่งเทียนโส่ว หากเขารู้ว่ามีผู้พิทักษ์อื่น ๆ ฝ่าฝืนกฎทำร้ายเจ้า เขาจะมิอยู่เฉยเป็นแน่”
ทันทีที่สิ้นคำ บนโลกหล้ามืดหม่นนอกวิหารเต๋าก็บังเกิดคลื่นกระเพื่อมมิติรุนแรง
และจากนั้น ร่างของตัวตนร้ายกาจก็ปรากฏขึ้นบนอากาศคนแล้วคนเล่า
พวกเขาคือสี่ผู้คุมกฎ เหวยเหิง จิ่งเฟิง หวงซานเจี่ยและเหมิงจ้าน!
เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้ เซียนกระเรียนพลันผงะไป
ซูอี้หันไปกล่าวกับเซียนกระเรียนว่า “ดูสิ ครานี้มีคนสี่ผู้พาตนเองมาตาย แต่ผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งที่เจ้าว่ากลับมิเผยโฉมจนยามนี้”
เซียนกระเรียนพลันไร้วาจา อึดอัดใจไปชั่วขณะ