บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1191: ดาบแหวกเมฆา สว่างไสวพร่างพราย
ตอนที่ 1191: ดาบแหวกเมฆา สว่างไสวพร่างพราย
หมู่เมฆครึ้มหนา พิรุณสาดกระทบซากปรักหักพังสะท้อนหมอกน้ำโปรยปราย
พวกเหวยเหิงยืนอยู่บนอากาศดุจทวยเทพจุติ
สายตาของพวกเขาล้วนมองมายังวิหารเต๋าอันผุพังที่อยู่ไกลออกไป
“ศัตรูหนีมายังถิ่นของเซียนกระเรียน หรือจะมาขอความช่วยเหลือจากเซียนกระเรียนกัน?”
คิ้วของจิ่งเฟิงขมวดน้อย ๆ
อาภรณ์สีฟ้าของเขาพลิ้วกระเพื่อม คันฉ่องสำริดขนาดใหญ่ถูกถือในมือ ร่างเจิดจ้าด้วยแสงสว่าง
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเซียนกระเรียนจะต่อกรกับเราเพียงเพื่อผู้ขัดเกลาคนเดียว!”
น้ำเสียงของเหวยเหิงเฉยชา
ร่างผอมสูงของเขาพลุ่งพล่านด้วยจิตสังหาร ดวงตาเย็นชาดุจคมดาบวาววับ เจิดจรัสน่าหวาดกลัว
เขาตะเบ็งเสียงดุจอสนีบาตก้องทั่วฟ้าดิน
“เซียนกระเรียน เจ้าวางตนเช่นไร?”
กระชับรัดกุม ทว่าทรงพลัง
ดวงตาของเซียนกระเรียนที่อยู่ในซากวิหารเต๋าแปรเปลี่ยน “พวกเจ้าทำเช่นนี้ รู้ผลที่ตามมาหรือไม่?”
“ก็แค่ถูกเพชฌฆาตลงทัณฑ์สถานหนักเท่านั้น”
เหวยเหิงดูเฉยชา “แต่ก่อนหน้านั้น ขอเพียงข้าล้างแค้นให้ซานหนิงได้ ตายไปก็ไม่เสียใจ!”
เซียนกระเรียนพลันเงียบเสียง
มันหรือจะไม่เห็นว่าพวกผู้พิทักษ์เหล่านี้เตรียมใจเต็มที่แล้ว?
“ผู้อาวุโส มิใช่ท่านบอกว่าผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งจะมินิ่งดูดายหรือเจ้าคะ?”
จักรพรรดิมารสวรรค์เป็นกังวล
เซียนกระเรียนยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าแน่ใจว่าวั่งเทียนโส่วจะมิอยู่เฉย แต่ยามใดกันที่เขาจะลงมือ… ยากกล่าวได้…”
มันหลบตาจักรพรรดิมารสวรรค์ด้วยความอึดอัดใจ
“ดูเหมือนเราจะมิอาจคาดหวังให้ผู้อื่นลุกขึ้นทวงความยุติธรรมให้เราได้จริง ๆ สินะ! ในความคิดข้า กฎในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้เน่าสลายไปนานแล้วล่ะ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างเคืองแค้น
ซูอี้ลุกขึ้น เก็บเก้าอี้หวายไป และกล่าวว่า “พวกเจ้ารอที่นี่นะ”
จากนั้น เขาก็ไพล่มือทั้งสองไปไว้ด้านหลัง และเดินออกไปนอกซากวิหารเต๋า
“ผู้อาวุโส…”
จักรพรรดิมารสวรรค์กำลังจะขอความช่วยเหลือจากเซียนกระเรียนอีกครั้ง
ทว่าซูอี้ซึ่งเดินออกไปนอกวิหารเต๋าแล้วกล่าวขึ้น “อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย แค่ไม่เออออตามกระแสก็หาได้ยากแล้ว”
เซียนกระเรียนถอนใจ ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มเจื่อน
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบกล่าว “ใต้เท้ามารสวรรค์อย่ากังวลเลยขอรับ ผู้พิทักษ์เหล่านั้นมิใช่คู่มือใต้เท้าทัศนาจารย์หรอก!”
เขาได้เห็นศึกที่ซูอี้สังหารซานหนิงมาแล้ว และมั่นใจเต็มที่
จักรพรรดิมารสวรรค์ตะลึงอึ้ง เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ?
ด้านนอกวิหารเต๋า
พิรุณกระหน่ำโปรย อสนีบาตคลั่งคำราม
เมื่อเห็นซูอี้ออกมาจากซากวิหารเต๋า จิตสังหารของพวกเหวยเหิงก็ยิ่งทวีความเข้มข้น
คนผู้นี้แหละที่สังหารซานหนิง!!
“มีแค่พวกเจ้าสี่คนหรือ?”
ซูอี้ถาม
กิริยาของเขาดูลอยชาย ขณะก้าวเดินสู่อากาศ หยาดพิรุณใดล้วนมิอาจเปื้อนเปรอะอาภรณ์ของเขา เยือกเย็นห่างเหินไร้มลทิน
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ไอ้เจ้านี่คิดว่าเราขนกันมาน้อยไปล่ะ…”
เหมิงจ้านฉีกยิ้ม
เขามีร่างสูงใหญ่ด้วยกระดูกหนา กระบองสำริดพาดอยู่บนบ่า กิริยาท่าทางดุร้ายและแข็งแกร่ง
“ครอบครองเคล็ดเวียนวัฏสงสาร และยังฆ่าซานหนิงได้ทั้งที่อยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ คนผู้นี้มีคุณสมบัติให้กร่างอำนาจได้จริง ๆ”
น้ำเสียงของหวงซานเจี่ยแหบต่ำ “หาไม่ เราคงมิต้องออกมาล่าเขาด้วยกัน”
ตู้ม!
ทันใดนั้น อากาศรอบกายซูอี้พลันแตกร้าว เถาวัลย์สีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา รัดพันร่างของซูอี้ไว้ข้างในทันที
เถาวัลย์สีเลือดเหล่านี้เป็นดั่งอสรพิษวิญญาณเลื้อยรัด อาบอำนาจกฎเกณฑ์ น่าสะพรึงกลัวไร้ขอบเขต
แทบจะในยามเดียวกัน…
“ไป!”
แขนเสื้อของเหวยเหิงโบกสะบัด ป้ายศิลาสีม่วงหกป้ายพลันทะยานสู่เวหา สอดสะท้อนประสานกันดุจประตูสวรรค์หกบาน ผนึกซูอี้ไว้ทั่วสี่ทิศและบนล่าง
ป้ายศิลาม่วงแต่ละป้ายล้วนปกคลุมด้วยลวดลายอสนีบาตลึกลับ วูบไหวแผ่กระจายทลายอากาศ
“ฮึ!”
คันฉ่องสำริดบานใหญ่ของจิ่งเฟิงกู่คำรามพร้อมกับพุ่งทะยานขึ้นสูง ลอยเด่นบนขอบฟ้า และพลันสะท้อนเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามออกมานับไม่ถ้วน เจิดจรัสส่องสว่างทั่วฟ้าดิน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามเหล่านั้นล้วนเปี่ยมด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ราวกับต้องการแผนนภาทำลายแดนดิน หล่อหลอมจุดที่ซูอี้ยืนอยู่ให้แหลกเหลว
“กำราบ!”
เหมิงจ้านยกกระบองสำริดบนบ่าของเขาออกมาฟาดใส่อากาศอย่างแรง
ตู้ม!
คีรีกระดูกขาวผุดขึ้นลูกแล้วลูกเล่า บดขยี้อากาศ บีบตัวเข้าสู่จุดที่ซูอี้อยู่
“จบแล้ว!”
หวงซานเจี่ยหัวเราะลั่น
ยามที่เขาเสวนาก่อนหน้านี้ เขาลอบใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามวิชาหนึ่งและผนึกร่างของซูอี้ไว้ด้วยเถาวัลย์สีเลือดเหล่านั้น
เหวยเหิง เหมิงจ้าน และหวงซานเจี่ยล้วนใช้สุดยอดวิชาของตนอย่างพร้อมเพรียงเพราะกำราบซูอี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การกระทำทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา รวดเร็วยิ่งนัก
ในวิหารเต๋าอันผุพัง เมื่อจักรพรรดิมารสวรรค์ได้เห็นเช่นนี้ นางก็ตะลึงเสียจนร่างสะท้าน ใบหน้างามแปรเปลี่ยนกะทันหัน
“นี่มัน!!!”
เมิ่งฉางอวิ๋นอ้าปากค้าง วิญญาณแทบหลุดลอย
น่ากลัวยิ่งนัก!
เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดกันอยู่ชัด ๆ ทว่าในพริบตาพลันเกิดหายนะฆ่าฟัน ผนึกร่างซูอี้ในพริบตา!
ใครเล่าจะไม่รู้ว่าผู้พิทักษ์ทั้งสี่คนนี้เตรียมตัวมาดี และได้วางแผนประชุมการโจมตีไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อขยับจึงลงมือร้ายแรงถึงตาย?
“อนิจจา”
เซียนกระเรียนรำพัน
มันเข้าใจนิสัยของพวกเหวยเหิงดี พวกเขาแต่ละคนฆ่าฟันเฉียบขาด ประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ทุกคมดาบล้วนไร้ปรานีเป็นที่ยิ่ง
เมื่อพวกเขาตัดสินใจลงมือร่วมกันโดยมิสนกฎเกณฑ์ พวกเขาย่อมทุ่มทุกวิธีการเพื่อสังหารผู้ขัดเกลาซูอี้!
และภาพตรงหน้านี้ก็เผยให้เห็นโดยไร้กังขาว่าพวกเหวยเหิงหาได้กระทำด้วยโทสะหรือเลินเล่อ แต่เป็นการตระเตรียมไว้ล่วงหน้า!
เปรี้ยง!
หมู่เมฆหนาบนท้องนภาปั่นป่วน อากาศโกลาหล
หกแผ่นศิลาคำรามลั่น ปิดกั้นหกทิศทาง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้จุดจบสีครามพลุ่งพล่านเจิดจรัส ราวพร้อมแผดเผาผืนนภามอดไหม้เป็นจุณ
คีรีกระดูกขาวลูกแล้วลูกเล่าทะลวงสู่เวหา บดขยี้อากาศ บีบเข้าหาซูอี้อย่างต่อเนื่อง
และเถาวัลย์สีเลือดนับไม่ถ้วนต่างเหมือนซี่กรงพันธนาการ บิดเร่าบ้าคลั่ง จองจำร่างของซูอี้ไว้ภายใน
ภาพเช่นนี้ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าน่าตื่นกลัวถึงขีดสุด
พวกเขาไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ของซูอี้ว่าเป็นเช่นไรบ้าง จึงทำได้เพียงใช้จิตสัมผัสรู้ได้เพียงว่าปราณของซูอี้ถูกกั้นขวางอย่างร้ายกาจ!
ยิ่งกว่านั้นยังดูเหมือนจะถูกทำลายและสลายไปได้ทุกเมื่อ!
“เจ้านี่คงไม่คิดแน่ว่าเราจะโจมตีกะทันหัน”
เหมิงจ้านแสยะยิ้ม
“ก็เพราะคิดไม่ถึงนี่แหละที่เราสามารถจัดการเขาได้โดยไม่ตั้งตัว!”
จิ่งเฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม เขาใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนคันฉ่องสำริด เร่งเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามให้ยิ่งดุดัน
“หากถูกเราทั้งสี่คนถือว่าเป็นศัตรูชั้นหนึ่งร่วมกัน ต่อให้ตายไป คนผู้นี้ก็ตายตาหลับได้แล้ว”
“อย่าได้เลินเล่อ คนผู้นี้ยังคงดิ้นรน ยามเขาทนไม่ไหว อย่าลืมปล่อยให้เขายังร่อแร่ใกล้ตายด้วย เราจะได้ดึงเคล็ดเวียนวัฏสงสารกันได้”
เหวยเหิงกล่าวอย่างเย็นชา
ทุกคนล้วนพยักหน้า
พวกเขาต่างใช้เคล็ดวิชาและสมบัติของตนเพื่อกดดันซูอี้ต่อไป
ทั่วฟ้าดินแหลกมลาย บรรยากาศปั่นป่วน
เป็นภาพอันน่าตกใจยิ่ง!
“น่ารังเกียจนัก!!!”
จักรพรรดิมารสวรรค์เดือดดาลขึ้นมาแล้ว ดวงตาเย็นชาเยี่ยงน้ำแข็งของนาง ฉายแววโทสะคลั่งเยี่ยงศิลาเหลวปะทุ
เมื่อเห็นนางโกรธถึงเพียงนี้ ปีกของเซียนกระเรียนก็สะบัดโบก หนึ่งแสงวิถีพุ่งออกมาปกคลุมล้อมรอบกายจักรพรรดิมารสวรรค์
“ต่อให้เจ้าโกรธเพียงใด เจ้าก็ต้องทนไว้นะ ข้าไม่อยากให้เจ้าตาย”
เซียนกระเรียนรำพัน
จักรพรรดิมารสวรรค์ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทว่าก็ไร้ผล ท้ายที่สุดจึงอดตะโกนมิได้ “ปล่อยข้านะ!! ความตายน่ากลัวตรงไหน!? ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะตายกับซูเสวียนจวิน!”
ใบหน้างดงามสะกดใจของนางบิดเบี้ยวเปี่ยมความบ้าคลั่ง เคืองแค้นข่มเขี้ยวเสียจนฟันแทบร้าว
เซียนกระเรียนหาสะทกสะท้านไม่ “ผู้ที่มีจิตอ่อนแอหาที่ตาย ผู้จิตแข็งแกร่งจะฝืนทนความอับอายอัปยศ เลียแผลปล่อยตนรอดก่อน แล้วจึงหวนล้างแค้นภายหลัง”
จักรพรรดิมารสวรรค์ผงะอึ้ง อกของนางกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง ใบหน้าดุจหยกแปรเปลี่ยน
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นได้ว่าหัวใจของนางรวดร้าวทรมานเพียงไร
“ทัศน-… ใต้เท้าทัศนาจารย์ต้องไม่… ต้องไม่เป็นไร!”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวติดอ่าง
ใบหน้าชราวัยของเขาซีดขาว ร่างสั่นสะท้านทั้งกาย เห็นได้ชัดว่าหัวใจลนลานอย่างยิ่ง
ทว่ายามนี้ เขาหาได้หวาดกลัวไม่!
และหลังพูดจบ เขาก็กัดฟันพุ่งออกไปนอกวิหารเต๋า
โครม!
แต่ก่อนที่เขาจะออกไปพ้นวิหารเต๋า เมิ่งฉางอวิ๋นก็ถูกแสงวิถีสีขาวขวางไว้ ร่างของเขาโซเซทรุดลงกับพื้น
“อย่าก่อเรื่องยุ่งอีกเลย”
เซียนกระเรียนรำพึง
เมิ่งฉางอวิ๋นก้มหน้าลง น้ำเสียงอาวรณ์แหบพร่า “ข้าเฒ่าเมิ่งใช้ชีวิตอย่างระแวดระวัง รักตัวกลัวตาย เพิ่งสาบานติดตามรับใช้ใต้เท้าทัศนาจารย์จนตัวตายแท้ ๆ แต่กลับช่วยอันใดเขามิได้เลย ข้า… ข้าแม่งโคตรเกลียดตัวเองชะมัด!”
เขานั่งน้ำตาไหลพรากอยู่กับที่!
เซียนกระเรียนผงะชะงัก เงียบไปชั่วขณะ
ผู้พิทักษ์ซึ่งผิดต่อกฎ ลงมือโจมตีต่อผู้ขัดเกลาก่อนนั้นเป็นความผิดใหญ่หลวง
สิ่งที่ทำให้หัวใจของเซียนกระเรียนหนักอึ้งยิ่งกว่าคือจวบจนยามนี้ ผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งก็ยังมิปรากฏตัว เหมือนกับ… ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้
สิ่งนี้ทำให้เซียนกระเรียนรู้สึกมิชอบใจอย่างยิ่ง
ผู้พิทักษ์… ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้?
“รีบปราบมันให้อยู่หมัดเร็วเข้า!”
ด้านนอก เหวยเหิงตวาดเสียงเย็นอย่างเฉยชา
เปรี้ยง!
วจีวิถีสะเทือนสั่น บรรพตลำธารรอบข้างสะเทือนสั่น
แสงวิถีร้ายกาจสาดผ่านท้องนภา ทะลวงอากาศแหลกสลาย
ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ลงมือสุดกำลัง หาปิดบังฝีมือไม่
ทุกการกระทำล้วนเปี่ยมจิตสังหาร ไร้อารมณ์แปรเปลี่ยนใด ๆ
แต่ไม่นานนัก เสียงอันผิดหวังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างเฉยชา
“มีฝีมือแค่นี้หรือ?”
วาจาล่องลอยแผ่วเบา ทว่ากลับทะลวงผ่านวจีวิถีกึกก้องสะท้อนในโลกหล้าอันปั่นป่วน
เว่ยเหิงและเหล่าผู้พิทักษ์ล้วนชะงักนิ่ง ม่านตาถึงกับหดเล็กลงราวกับมิอยากเชื่อ
ในวิหารเต๋า จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นต่างเงยหน้าขึ้น
“หือ?”
เซียนกระเรียนเองก็ดูประหลาดใจ จากนั้นเบนสายตามองตรงไป
จากนั้น ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อทุกคู่ แสงดาบสายหนึ่งพลันออกมาจากพื้นพิภพอันพังทลายซึ่งเดิมเท้าของซูอี้เหยียบอยู่
ลำแสงดาบนั้นพุ่งทะยานเจิดจรัส
เถาวัลย์สีเลือดนับไม่ถ้วนระเบิดแหลก พิรุณแสงโปรยปราย
เปรี้ยง!!!
ป้ายศิลาสีม่วงแผ่นหนึ่งซึ่งขวางอยู่บนท้องนภาถูกปราณดาบทะลวงผ่านฉีกกระชากอย่างง่ายดาย
จากนั้นทันใด ปราณดาบสายนั้นก็ทะลวงผ่านเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีครามอันปกคลุมทั่วนภา…
ฟาดฟันผ่านบรรพตกระดูกขาวที่ตระหง่านค้ำ…
ปราณดาบสายนั้นไร้เทียมทาน แหวกทุกการล้อมสังหารจนมาถึงท้องนภา ร้ายกาจรุนแรงราวพร้อมทำลายสรรพสิ่ง
ตู้ม!
เมฆาหนาครึ้มซึ่งปกคลุมทั่วผืนนภาเหนือซากสถานโลหิตทมิฬถูกแหวกเปิดในทันใด แสงสว่างพร่างพรายทอระยับลงมาจากช่องเมฆา
ขับไล่ความมืดทั้งมวล สว่างไสวระยิบระยับ
หนึ่งร่างสูงทะยานขึ้นยืนท่ามกลางฟ้าดินอันล่มสลาย อาภรณ์เขียวพลิ้วพัด อาบแสงสว่างจากนภา
เหนือร่างเขา หนึ่งปราณดาบแหวกเวหา
เจิดจ้ารุ่งโรจน์เยี่ยงตะวัน!!