บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1192: ถามดาบในมือข้า!
ตอนที่ 1192: ถามดาบในมือข้า!
เมฆดำครึ้มราวกับปกคลุมผืนฟ้าชั่วนิรันดร์
ทว่ายามนี้หนึ่งปราณดาบกลับสะบั้นมันลง และเพียงแสงดาบก็เจิดจ้าพร่างพรายดุจตะวัน ทอแสงส่องสว่างทั่วสารทิศ!
ร่างของซูอี้ที่อยู่ไกลออกไปดูราวกับเทพเซียน หนึ่งดาบเบิกเก้าสวรรค์ ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิใต้ผืนนภา!
ยามนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์กับเมิ่งฉางอวิ๋นได้หรี่ตาลง สีหน้าเหม่อลอย พวกเขาแทบสงสัยว่าตนฝันไปหรือไม่ รู้สึกเกินจริงยิ่งนัก
ยามนี้ หัวใจของเซียนกระเรียนตะลึงเสียจนยากดึงสติคืน
จวบจนปัจจุบัน มีเพียงมันที่รู้ว่าการโจมตีประสานของเหวยเหิงกับเหล่าผู้พิทักษ์ร้ายกาจเพียงใด มันเพียงพอจะสังหารตัวตนในขอบเขตราชาแห่งภูมิลงได้โดยง่าย!
ทว่ายามนี้ การล้อมสังหารเช่นนั้นกลับถูกทำลายด้วยหนึ่งดาบ!
ผลกระทบเช่นนี้มิอาจเทียบสิ่งใดได้
และยามนี้เองที่ใบหน้าของเหวยเหิง จิ่งเฟิง เหมิงจ้าน และหวงซานเจี่ยล้วนเปลี่ยนสีด้วยความตะลึงงัน
“วิถีดาบแบบใดกัน มัน… ผ่าอำนาจสวรรค์ที่พวกข้ายืมมาได้ด้วยหรือ?”
เหวยเหิงตื่นตระหนก
ต้องทราบว่าในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้ เหล่าผู้พิทักษ์สามารถใช้กฎสวรรค์ได้ ซึ่งสามารถทำลายราชันแห่งภูมิได้โดยมิต้องออกแรงเลย
ทว่ายามนี้ หนึ่งจักรพรรดิในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำกลับสามารถพลิกสถานการณ์ ด้วยการทำลายกฎสวรรค์ที่พวกเขาควบคุมได้ด้วยหนึ่งดาบ ซึ่งร้ายกาจยิ่งนักโดยไร้กังขา!
“ดูไม่เหมือนจะเป็นเคล็ดเวียนวัฏสงสารกระมัง!”
จิ่งเฟิงปาดคราบเลือดที่มุมปากตน
ก่อนหน้านี้ ปราณดาบของซูอี้ทำลายเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีคราม ซึ่งทำให้เขาได้รับผลตีกลับมา
“ซานหนิงน่าจะถูกพลังนี้สังหาร”
เหมิงจ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าย่ำแย่
“ข้ารู้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดเลยว่าจะท้าทายสวรรค์เพียงนี้…”
สีหน้าของหวงซานเจี่ยในยามนี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน
ตู้ม!
หมู่เมฆาพัดหอบ ปราณดาบเจิดจรัสสะกดตา
ภายใต้ท้องนภา อาภรณ์ของซูอี้สะบัดโบก ท่าทีลอยชาย คร้านเกินกว่าจะพูดพล่าม จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาออกคว้าในอากาศทันที
ตู้ม!
ปราณดาบซึ่งกวาดผ่านหมู่เมฆหนาแปรเปลี่ยนขนาดเป็นสามจั้ง ร่วงลงสู่มือของซูอี้
ยามนั้น เขาดูราวกับถือตะวันสาดแสงในมือ!
หัวใจของทุกคนล้วนสั่นสะท้าน
จากนั้นเหวยเหิงก็ตะโกนลั่น “รบกับเขา!”
เขาสั่งป้ายศิลาม่วงที่เหลืออีกห้าแผ่นเข้าโจมตีซูอี้
ขณะเดียวกัน เหมิงจ้าน จิ่งเฟิงและหวงซานเจี่ยล้วนโจมตีสุดกำลัง
ไร้การออมแรงใด ๆ ราวกับระดมโจมตีอย่างสิ้นหวัง
ทุกคนรู้ดีว่าหากมิอาจสยบซูอี้ลงได้ ผลของศึกนี้จะเกินคาดหยั่ง!
ตู้มมมม!
เพลิงศักดิ์สิทธิ์กลืนกินท้องนภา แสงทิพย์เจิดจ้าพร่างพราว
ผู้พิทักษ์ทั้งสี่คนล้วนต่อสู้ยิบตา สั่งการกฎสวรรค์ราวเป็นหนึ่งในโลกหล้า ต่างคนต่างเผยอำนาจทรงพลังน่ากลัว
เปรี๊ยะ!
เสียงปริร้าวสนั่นลั่นดังกังวาน
ด้วยหนึ่งดาบของซูอี้ ห้าแผ่นศิลาม่วงก็ถูกบดขยี้ ก่อนจะพลิกพลิ้วฟาดฟันแขนข้างหนึ่งของเหวยเหิงออกด้วยอำนาจเกินเทียบหยั่ง
เขาตื่นกลัวตระหนก
หากหลบไม่ทัน ดาบนี้คงสังหารเขาแน่!
เปรี้ยง!
ทั่วฟ้าดิน ปราณดาบกระหวัดสาน แสงสว่างเพลิงทิพย์เฉิดฉาย อากาศรวนเร
ยามนี้ซูอี้ผู้อยู่ในโลกแห่งคมดาบไร้เทียมทาน หลังสะบั้นหนึ่งแขนของเหวยเหิง ดาบของเขาก็ฟาดฟันเข้าใส่ผู้พิทักษ์อีกสามคน
ปราณดาบไร้ขอบเขตเจิดจ้าแผดเผาราวเพลิงตะวัน ทลายกฎสวรรค์ที่เหล่าผู้พิทักษ์ควบคุมอย่างง่ายดาย
และอำนาจดาบอันน่าหวาดหวั่นราวสวรรค์สั่งตายก็ฟาดฟันสร้างบาดแผลเจ็บสาหัสแก่ทั้งสามคนแล้วคนเล่า
แกร็ก!
กระบองสำริดในมือเหมิงจ้านแตกเป็นสอง ปราณดาบแข็งแกร่งผ่าร่างของเขาเป็นเสี่ยง โลหิตสาดกระเซ็น
เปรี้ยง!!!
เสียงระเบิดทึบ ๆ ดังขึ้นในอากาศ
คันฉ่องสำริดของจิ่งเฟิงปรากฏรอยร้าวมากมาย ก่อนจะระเบิดกลายเป็นเศษเสี้ยวพร่างพรมเยี่ยงละอองแสง
ในขณะเดียวกัน จิ่งเฟิงตะลึงจนกระอักเลือด อาภรณ์ของเขาถูกย้อมด้วยโลหิตแดงฉาน ร่างทะยานปลิวไปเบื้องหลังเยี่ยงว่าวสายป่านขาด
ส่วนหวงซานเจี่ยยิ่งแล้วใหญ่ เขาถูกปราณดาบฟาดร่างจนสลายไป แม้จิตวิญญาณจะหนีทัน แต่ก็ร้องโหยหวนดังลั่นเนื่องจากความตื่นกลัวสุดขีด
เพียงพริบตา สี่ผู้พิทักษ์ก็บาดเจ็บสาหัส!
ภาพการละเลงเลือดอันเหี้ยมโหดนี้ทำให้จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนตะลึงค้าง ใบหน้าเปี่ยมความตกใจ
ก่อนหน้านี้ จักรพรรดิมารสวรรค์ยังคงเดือดดาลที่มิอาจร่วมตายกับซูอี้จนแทบบ้า
เมิ่งฉางอวิ๋นยิ่งโศกเศร้าหมดอาลัยยิ่งกว่า ก่นด่าตนเองว่าไร้สามารถ
ทว่ายามนี้ ทั้งสองล้วนผงะงัน
นั่นเพราะซูอี้ซึ่งพวกเขาคิดว่าคงตกตายแน่ ไม่เพียงเขาจะไม่ตาย แต่กลับดูราวร่างอวตารแห่งเทพเจ้า พลิกสถานการณ์ตาลปัตรในบัดดล ไล่ล่าโจมตีผู้พิทักษ์ทั้งสี่คนจนแตกพ่าย!
“เคล็ดวิถีดาบที่เขาบรรลุทำลายกฎสวรรค์แห่งเขตต้องห้ามเซียนอับโชคได้ด้วยหรือ!!”
ในที่สุดเซียนกระเรียนก็เข้าใจ ปากอ้าค้าง ดวงตาอึ้งตะลึง
“พวกเจ้าหนีไป ข้าจะหยุดเขาไว้!”
เหวยเหิงในสนามรบร้องคำราม ร่างเจิดจรัสด้วยประกายแสงเพลิง
เขายืนตระหง่าน พยายามสังเวยตนเองเพื่อหยุดซูอี้ เบิกทางรอดให้แก่ผู้อื่น
ซูอี้อดหัวเราะขำกิริยาตั๊กแตนตำข้าวนำตัวขวางเกวียนนี้มิได้
ในขณะนั้น เขากำลังจะลงมือ
“ขอสหายเต๋าเมตตาด้วย!”
ทันใดนั้นคลื่นมิติที่อยู่บนอากาศห่างไกลออกไปก็ไหวกระเพื่อมรุนแรง จากนั้นชายชราร่างแคระกับชายหนุ่มรูปงามในชุดแดงก็ปรากฏขึ้น
“วั่งเทียนโส่วกับหยวนมู่!”
เซียนกระเรียนผงะค้าง
ผู้มาเยือนคือผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งและสาม!
ใบหน้าของจักรพรรดิมารสวรรค์บึ้งตึง เขาไม่ได้มาเร็วหรือช้า แต่กลับโผล่มายามเข้าตาจนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจ!
“สารเลว!”
เมิ่งฉางอวิ๋นโกรธเสียจนแทบสบถด่าออกเสียง
ก่อนหน้านี้ยามใต้เท้าทัศนาจารย์ถูกล้อมโจมตี เขามิยักเห็นไอ้แก่ทั้งสองนี่ก้าวมาขวาง แต่เมื่อพวกที่รุมล้อมเข้ามาจะตาย พวกเขากลับออกมา!
ช่างน่าสะอิดสะเอียนชวนคลื่นไส้ฉิบหาย น่าขยะแขยงยิ่งนัก!
และเมื่อพวกเหวยเหิงเห็นวั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ปรากฏกาย พวกเขาก็ดูโล่งใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาบาดเจ็บสาหัส จิตต่อสู้แทบเหือดหาย เตรียมใจรับเคราะห์ย่ำแย่ที่สุดแล้ว
ทว่ายามนี้เมื่อพวกวั่งเทียนโส่วปรากฏกาย สถานการณ์ก็ดีขึ้น!
ตู้ม!
ทว่ายามนี้ มือของซูอี้ได้ฟาดลงมาแล้ว
ปราณดาบอันไร้ใดเทียบพุ่งทะยาน และเหวยเหิงซึ่งอยู่ตรงหน้าก็ตายลงทันใด
แหลกสลายทั้งกายและวิญญาณ ไม่เหลือสิ่งใด!
ดาบนี้คมกริบชัดแจ้ง แข็งแกร่งเหนือสิ่งใด ประหัตประหารโดยมิเห็นวั่งเทียนโส่วกับหยวนมู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“เจ้ากล้า!”
จิ่งเฟิง เหมิงจ้าน และหวงซานเจี่ยล้วนตระหนกตกใจ
ใบหน้าของวั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ล้วนดูไม่จืด
ไม่มีผู้ใดคาดว่าผู้ขัดเกลานามซูอี้จะมิเกรงใจผู้ใด เขาหาคำนึงถึงความรู้สึกหรือกระทั่งกล่าววาจาสักนิดไม่!
เซียนกระเรียนหัวเราะเบา ๆ ในใจ ทว่าก็ลอบถอนใจ
ต้องพูดว่าการปรากฏตัวของพวกเขาไร้ใจ ไม่ว่าผู้ใดได้พบย่อมมีโทสะ
“ฆ่าได้ดี!”
จักรพรรดิมารสวรรค์ถูมือ
“ผู้ผิดกฎสมควรตาย! ไม่ควรเหลือผู้ใด!”
เมิ่งฉางอวิ๋นขบเขี้ยวกล่าวด้วยโทสะ
เขาเองก็รู้สึกปรีดาในใจ ใบหน้าชราวัยตื่นเต้นเสียจนออกหน้า
ส่วนผู้พิทักษ์เหล่านั้น เขาหาสนใจไม่ พวกนี้แต่ละคนล้วนแล้วแต่กเฬวราก!
“สหายเต๋ากำลังโกรธ โปรดอย่าให้โทสะบังตา!”
วั่งเทียนโส่วสูดหายใจลึก ๆ และพยายา มสะกดกลั้นความไม่พอใจไว้
ร่างของเขาวูบไหวขวางทางซูอี้ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมดแล้ว ผู้ที่ผิดต่อบัญญัติแรกจะถูกลงทัณฑ์ และเซียนเฒ่าผู้นี้ก็หวังให้สหายเต๋ารามือเท่านี้ด้วย”
หยวนมู่ที่อยู่ไม่ไกลจากนี้ก็กล่าวเบา ๆ อย่างถอนใจ “เรื่องวันนี้เป็นความผิดของฝั่งผู้พิทักษ์ สหายเต๋าโปรดวางใจ เราจะทวงความยุติธรรมให้เจ้าแน่”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็มองไปทางเซียนกระเรียนซึ่งอยู่ห่างออกไป “หากไม่เชื่อ เจ้าถามเซียนกระเรียนได้ ในพื้นที่รอบนอกเขตต้องห้ามเซียนอับโชคนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนกฎจะถูกลงทัณฑ์สถานหนัก ไร้ทางหนีใด ๆ”
เซียนกระเรียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“มารดามันสิ ข้านี่แหละไม่เชื่อคนแรก!”
ทันใดนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นก็ตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล “ก่อนหน้านี้ยามใต้เท้าของข้าถูกรุมโจมตี ไยพวกเจ้าไม่ออกมาทวงความยุติธรรมให้เขาอย่างเที่ยงธรรมเล่า? ยามนี้เมื่อไอ้พวกสารเลวพวกนั้นจะจบเห่ พวกเจ้ากลับแสร้งทำตัวตามกฎ มิเสแสร้งไปหน่อยหรือไร? ข้าละอายแทนพวกเจ้าเลย!”
วาจาตำหนิของเขาทำให้วั่งเทียนโส่วและหยวนมู่หน้าเสีย
ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็หาใส่ใจไม่ ดวงตามองเพียงซูอี้
ซูอี้ยกคมดาบชี้ไปทางจิ่งเฟิง เหมิงจ้านและหวงซานเจี่ย ก่อนกล่าวว่า “วันนี้พวกเขาต้องตายที่นี่”
วาจาเรียบง่ายเฉยชา แต่กลับเปี่ยมอำนาจไม่อาจขัดขืน
สีหน้าของพวกจิ่งเฟิงย่ำแย่สุดขีด ทั้งตะลึงและเดือดดาล
สีหน้าของวั่งเทียนโส่วเองก็ดำคล้ำเครียด “สหายเต๋า จากกฎของเขตต้องห้ามเซียนอับโชค หากผู้พิทักษ์กระทำผิด ผู้ลงทัณฑ์คือเพชฌฆาต หากเจ้ายังดึงดันจะทำตามใจชอบ ก็มิต่างจากประกาศสงครามกับเราผู้พิทักษ์เลยนะ!”
หยวนมู่เองก็กล่าวอย่างเฉยชา “เราแสดงความจริงใจและขอโทษเพียงพอแล้ว และยังชี้แนะให้ปล่อยคนอื่น ๆ ไปและรามือเพียงเท่านี้ การกระทำต่อไปรังแต่จะทำร้ายผู้อื่นและตนเองเท่านั้น!”
สีหน้าของจักรพรรดิมารสวรรค์แปรเปลี่ยนไปทันควัน เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
แม้ในใจของนางจะมิชอบใจอย่างสุดซึ้ง แต่เมื่อสงบใจลง นางก็รู้ว่าการถอยคนละก้าวยามนี้เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
หาไม่ เรื่องราวจะมีแต่บานปลายมากขึ้น!
แม้ว่าเมิ่งฉางอวิ๋นจะอึดอัดใจนัก แต่เขาก็รู้ว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คือปล่อยให้เพชฌฆาตจัดการคนทั้งสามตามกฎ
เมื่อกระทำเช่นนี้ จะมิใช่ทั้งการฉีกหน้าผู้ใดและก่อกวนเรื่องให้ปั่นป่วนด้วย
เซียนกระเรียนถอนใจยาว และกล่าวว่า “สหายเต๋าซู ผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งประกาศจุดยืนแล้ว ข้าเชื่อว่าเขาจะทำตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ และจะมิเอนเอียงแก่ผู้พิทักษ์ทั้งสามคนแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าเซียนกระเรียนเองก็ออกปากกล่าว สีหน้าของวั่งเทียนโส่วก็ผ่อนคลายลงมาก สายตามองไปทางซูอี้ “ขอเพียงเจ้าพยักหน้า เรื่องทั้งหมดก็จะคลี่คลาย”
“คลี่คลาย? ได้สิ”
ซูอี้กล่าวอย่างเรียบเฉย “แต่ถามดาบในมือข้าก่อน”
เสียงยังมิทันสร่าง เขาก็ลงมือโจมตีกะทันหัน
ตู้ม!
ปราณดาบเจิดจรัสกู่คำราม
ซูอี้ก้าวเข้ามาและฟาดฟันดาบโจมตี
อากาศพลันปริร้าว
ทุกคนล้วนไม่ได้ตั้งตัว มิคาดว่าเมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ซูอี้จะยังไม่หยุด
วั่งเทียนโส่วและหยวนมู่หน้าเสีย ทั้งสองต่างลงมืออย่างพร้อมเพรียง
ทว่าเพียงพริบตา ใบหน้าของทั้งสองคนก็เปลี่ยนสี ปราณดาบเจิดจรัสของซูอี้สลายพลังกฎสวรรค์อันปกคลุมทั่วฟ้าดิน ทำให้พวกเขามิอาจยืมอำนาจใด ๆ ได้!
ตู้ม!!
ปราณดาบกวาดผ่านนภา เจิดจรัสงดงามทอประกาย เปี่ยมอำนาจร้ายแรงราวผู้อยู่บนจุดสูงสุด
แม้ว่าวั่งเทียนโส่วกับหยวนมู่จะฝืนต้านสุดแรง แต่ก็ยังถูกดาบนี้ผลักกระเด็นไปอยู่ดี!