บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1193: เพชฌฆาต
วั่งเทียนโส่วกระอักโลหิต ใบหน้าชราวัยของเขาไร้สีเลือด
อาภรณ์สีแดงของหยวนมู่ขาดวิ่น เส้นผมสยายรุงรัง
ผู้พิทักษ์ทั้งสองคนล้วนไม่ควรค่ากระทั่งจะรับหนึ่งดาบจากซูอี้!
จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนตะลึงอึ้ง
ทั้งคู่ล้วนคิดว่าซูอี้จะเลือกยอมลง เลี่ยงการก่อกวนเรื่องให้เลยเถิด
เช่นนั้นจะเป็นประโยชน์และไร้อันตราย
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าซูอี้จะโจมตีทันควัน!
“ต้องโทษที่ข้าจิตใจสับสน น่าจะรู้อยู่แล้วแท้ ๆ เชียวว่าจากนิสัยเย่อหยิ่งของคนผู้นี้ เขาจะไม่มีทางยอมโอนอ่อน…”
จักรพรรดิมารสวรรค์ยิ้มขื่น ๆ
“นี่คือความห่างชั้นระหว่างข้ากับใต้เท้าทัศนาจารย์!”
เมิ่งฉางอวิ๋นละอายต่อตน ขณะพึมพำในใจ ‘ข้าเอาแต่คิดถึงส่วนได้ส่วนเสีย คิดว่าขอเพียงมิก่อเรื่องราวใหญ่โตก็สามารถพอทนเปลี่ยนผลลัพธ์ทั้งสองฝ่ายได้’
“ทว่านี่กลับเป็นสัญญาณความขลาดเขลา หากมีอำนาจแข็งแกร่งจริง ไยต้องกลัวเรื่องนี้ด้วย?”
“ใต้เท้าทัศนาจารย์แตกต่างกับผู้อื่นจริง ๆ! หากพบความอยุติธรรมก็ใช้หนึ่งดาบสะบั้นเสีย!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรู้ดีว่าตนไร้คุณสมบัติทำเช่นนั้น แต่ใต้เท้าทัศนาจารย์ทำได้!
นี่คือความห่างชั้น
“แย่แล้ว!”
หัวใจของเซียนกระเรียนร่วงถึงตาตุ่ม
ดาบของซูอี้เทียบได้กับการฉีกหน้าผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งอย่างเต็มรูปแบบ
มันคือการประกาศสงครามต่อผู้พิทักษ์ทั้งหมดอย่างชัดแจ้ง!
“เขากล้าดีอย่างไร!?”
จิ่งเฟิง เหมิงจ้าน และหวงซานเจี่ยล้วนเดือดดาล
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเองก็คิดว่าหากวั่งเทียนโส่วและหยวนมู่อยู่ ซูอี้จะเลิกราเพียงเท่านี้
แต่ใครเล่าจะคิดว่าซูอี้จะลงมือทันที!
โดยไม่เห็นวั่งเทียนโส่วและหยวนมู่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!
ตู้ม!
อากาศปั่นป่วน แสงดาบเรืองประกายจ้า
หลังส่งหนึ่งดาบพุ่งใส่วั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ ร่างของซูอี้ก็เข้าสังหารจิ่งเฟิง เหมิงจ้านและหวงซานเจี่ย
ทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัสกันอยู่แล้ว จึงหันหลังเผ่นหนีโดยไม่ลังเล
ขวับ!
ซูอี้ก้าวไปเบื้องหน้า ปราณดาบที่ปรากฏเจิดจรัสเช่นรุ้งทิพย์เก้าชั้นฟ้าแขวนลงมาจากสรวงสวรรค์
ไกลออกไปหลายพันจั้ง อากาศพลันระเบิดออกเป็นเส้นผ่าแคบ ๆ แล้วร่างของจิ่งเฟิงก็ระเบิดแหลก โลหิตสาดพร่างพรมทุกแห่งหน
ปรากฏว่าดาบของซูอี้ผ่าท้องนภาเป็นสายแตกระแหง ฝังไปพร้อมร่างของจิ่งเฟิง!
แทบจะในยามเดียวกัน ซูอี้ก็ตวัดดาบ
ตู้ม!
ณ อีกหนึ่งทิศทาง เหมิงจ้านร้องคำราม หมัดของเขาฟาดลง พื้นที่ในระยะพันจั้งพลันสั่นไหว
ทว่าอึดใจต่อมา หนึ่งปราณดาบพลันฟาดร่างเขาจากล่างขึ้นบน ผ่าร่างของเหมิงจ้านเป็นสอง
ยามเขาใกล้ตาย ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่สมัครใจ
มีเพียงหวงซานเจี่ยที่ใช้เคล็ดวิชาหายลับไร้ร่องรอยในพริบตา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของซูอี้ก็ฉายประกายดูแคลน
ตู้ม!
ดาบร่ำรำพัน
เขายกแขนขวาขึ้นฟาดปราณดาบอย่างรุนแรง
ภายใต้ท้องนภากว้างไกล ซึ่งห่างออกไปจากซากสถานโลหิตทมิฬสามพันจั้ง อากาศพลันระเบิดเปรี้ยงเยี่ยงแก้วกระจกแตก
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องลั่นก็ดังขึ้น และร่างของหวงซานเจี่ยก็เซออกมา
จากนั้น ร่างของเขาพลันกลายเป็นเศษเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนร่วงหล่นโปรยปราย
ในฟ้าดินบริเวณนั้น หนึ่งปราณดาบทอดตัวยาวสามหมื่นจั้งบนฟากฟ้า แล้วค่อย ๆ จางหาย
แม้ว่าภาพนี้จะเกิดขึ้นด้านนอกซากสถานโลหิตทมิฬ แต่อำนาจปราณดาบนี้ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหวงซานเจี่ย ทุกคนก็ตระหนักว่าเขาตายแล้ว!
เมื่อถึงจุดนี้ ผู้พิทักษ์ทั้งสี่คนรวมถึงเหวยเหิงล้วนดับอนาถคาที่!
ร่างของซูอี้ยืนลำพังท่ามกลางเวหา
จักรพรรดิมารสวรรค์มองร่างสูงของเขาอย่างตะลึงอึ้ง หัวใจเต้นระรัว
เมิ่งฉางอวิ๋นตบเข่าฉาด แย้มยิ้มกว้าง
เขารู้สึกว่าตลอดชั่วชีวิตของเขา ไม่เคยสุขีเท่านี้มาก่อน!
เซียนกระเรียนเงียบเสียง ดวงตาของเขาซับซ้อนพิกล
มันเป็นเรื่องน่าตกใจอย่างยิ่ง เขาตระหนักถึงความน่ากลัวของผู้ขัดเกลาซูอี้อย่างล้ำลึก ว่าไม่ได้อยู่ในระดับขอบเขตที่สามารถวัดได้แม้แต่น้อย!!
และเมื่อเห็นการตายของพวกเหวยเหิง มันยิ่งรู้สึกตกใจกระวนกระวายอย่างมิอาจบอกกว่าเดิม
อันที่จริง วิถีดาบของซูอี้ร้ายกาจเกินไป ร้ายกาจเสียจนสะบั้นกฎสวรรค์ได้โดยง่าย
ต้องทราบว่าที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สุดของเหล่าผู้พิทักษ์คือกฎสวรรค์!
ไกลออกไป
ดวงตาของวั่งเทียนโส่วและหยวนมู่วูบไหว สีหน้ามืดหม่นราวกับก้นบ่อน้ำ
สีหน้าของหยวนมู่เปี่ยมโทสะ ก่อนกล่าววาจาชัดถ้อย “ซูอี้ ในฐานะผู้ขัดเกลา เจ้าไม่ได้กระทำตามกฎเขตต้องห้ามเซียนอับโชค แต่จากนี้ไป เจ้าคือศัตรูของเขตต้องห้ามเซียนอับโชค!”
เสียงของเขาเปี่ยมโทสะ
หัวใจของจักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนร่วงวูบ ในที่สุดสถานการณ์แย่ที่สุดก็มาแล้วหรือ?
เซียนกระเรียนอดกล่าวมิได้ “ท้ายที่สุดเหวยเหิงก็เป็นผู้ผิดกฎก่อน หากจะถูกฆ่าไปก็มิควรต้องโทษทัณฑ์ เหตุใดจึง…”
โดยไม่รีรอให้มันพูดจบ วั่งเทียนโส่วกล่าวขัดอย่างเย็นชา “เซียนกระเรียน เจ้าก็เห็นแล้วว่าก่อนหน้านี้ เราได้ให้โอกาสเขากระทำตามกฎแล้ว แต่ซูอี้ผู้นี้หาสนใจไม่ ถือกฎเขตต้องห้ามเซียนอับโชคของเราเป็นเพียงลมปาก การกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิดที่มิอาจอภัยได้!”
เซียนกระเรียนไร้วาจา มิอาจโต้แย้งได้
ยามนี้ ซูอี้พลันหัวเราะและกล่าวออกมา “เจ้าแก่ อย่ามัวเสแสร้งอยู่เลย นี่… ไม่ใช่ผลที่เจ้าอยากให้เกิดที่สุดหรอกหรือ?”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าวออกไป หัวใจของจักรพรรดิมารสวรรค์ก็กระตุกวูบ หรือว่าวั่งเทียนโส่วก็รอให้เกิดผลเช่นนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือ?
ร่างของเซียนกระเรียนสั่นสะท้าน มันดูจะตระหนักเช่นกัน เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
วั่งเทียนโส่วขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา “เจ้าหมายความเช่นไร?”
“หมายความเช่นไร? ก็เผยความคิดชั่ว ๆ ของพวกเจ้าออกมาไง!”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะโกน เขาเข้าใจถ่องแท้แล้ว จึงกัดฟันกล่าวว่า “ในฐานะผู้พิทักษ์ที่หนึ่ง เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซานหนิงตายแล้ว?”
“และเจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเหวยเหิงออกมาล้างแค้นให้ซานหนิงด้วยกัน?”
“แต่พวกเจ้าก็หาทำอันใดไม่ เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็ง่าย ๆ เลย ยืมมีดฆ่าคนไง!”
“หากพวกเหวยเหิงฆ่าใต้เท้าของข้า และปล้นเคล็ดเวียนวัฏสงสารจากท่านไปได้ พวกเจ้าก็จะใช้กฎของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคไปกำจัดพวกมัน!”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะได้เคล็ดเวียนวัฏสงสารไป!”
เขากล่าวด้วยความขุ่นเคืองระคนเที่ยงธรรม เสียงก้องกังวานได้ยินถ้วนทั่ว
ความหนาวเยือกเสียดกระดูกแพร่ขึ้นบนหน้าของจักรพรรดิมารสวรรค์
เซียนกระเรียนดูไม่สบายใจอย่างยิ่ง
หยวนมู่เปลือกตากระตุก
สีหน้าของวั่งเทียนโส่วดูไร้อารมณ์ ขณะกล่าวช้า ๆ “ไร้หลักฐาน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องทั้งหมดที่ว่ามาไม่ได้เกิดขึ้นเลย”
เมิ่งฉางอวิ๋นแค่นเสียง “นั่นเพราะใต้เท้าของข้าแข็งแกร่งพอไง!”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “ไยเจ้าจึงออกมาห้ามไว้ก่อนหน้านี้? เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเพราะเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะหยุดความขุ่นแค้นแต่อย่างใด แต่เพื่อกระตุ้นให้ใต้เท้าของข้าฝ่าฝืนกฎเองโดยมิสนวิธีการต่างหาก!”
“เมื่อทำเช่นนี้ เจ้าก็จะสามารถใช้กฎเขตต้องห้ามเซียนอับโชคมาตัดสินใต้เท้าของข้าเป็นศัตรูร่วม และใช้สารพัดวิธีมาจัดการใต้เท้าของข้าได้! ท้ายที่สุด พวกเจ้าก็หมายตาเคล็ดเวียนวัฏสงสารเหมือนกัน!”
ในช่วงท้าย เขากัดฟันกรอดอย่างเคืองแค้น “ไอ้แก่อย่างพวกเจ้าช่างชั่วช้านัก!”
วั่งเทียนโส่วหาสะทกสะท้านไม่ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “ช่างน่าขำ ในฐานะผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่ง ข้ากระทำการตามกฎ มีสิ่งใดหรือที่ข้าทำผิดพลาดหรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึง… ต่อให้ข้าทำผิด เจ้าก็มิอาจตัดสินได้!”
“แก…”
เมิ่งฉางอวิ๋นโกรธเกรี้ยวเหลือเกิน จวบจนยามนี้ ไอ้แก่นี่ก็ยังมิยอมรับอีก
สายตาของจักรพรรดิมารสวรรค์เองก็เย็นชาสุดขั้ว
สิ่งที่เมิ่งฉางอวิ๋นพูดตรงกับที่นางคิดทุกประการ
ผู้พิทักษ์ลำดับที่หนึ่งนั้นชั่วร้ายและโหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกเหวยเหิงนัก!
วั่งเทียนโส่วคร้านเกินกว่าจะสนใจเมิ่งฉางอวิ๋นต่อไป ดวงตาคมปลาบเยี่ยงสายฟ้า มองซูอี้จากระยะไกล “ซูอี้ เจ้าจะยอมรับผิดหรือไม่?”
“หากยังเพิ่มความผิด จะไร้ข้อยกเว้นใด ๆ”
ซูอี้ดูเฉยชา “จะให้ลงมือก็ย่อมได้”
เขาเอื้อมมือออกคว้าไปในอากาศ ปราณกระบี่สายหนึ่งควบแน่นดุจตะวันผลาญ อัดแน่นด้วยอำนาจดาบร้ายกาจดุจสั่งตาย
ไกลออกไป หัวใจของหยวนมู่บีบตัว
สีหน้าของวั่งเทียนโส่วพลันจริงจัง ถือเหรียญตราในมือและกล่าวเสียงต่ำ “ผู้พิทักษ์วั่งเทียนโส่วขอเรียนเชิญใต้เท้าจินชื่อลงมือสังหารผู้กระทำผิดซูอี้ รักษากฎของท่านมหาเทพหงด้วย!”
วาจานั้นก้องกังวานดุจวจีวิถี สะท้านก้องทั่วฟ้าดิน
ตู้ม!
อากาศพลันแตกร้าว
ชายในชุดสีทองผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนอากาศ
ผิวของเขาขาวสะอาด เรือนผมยาวดุจหมึก รูปลักษณ์อ่อนเยาว์และหล่อเหลา อาภรณ์สีทองบนกายปกคลุมด้วยลวดลายอักขระแปลกตา ทั่วร่างแผ่อำนาจร้ายกาจไร้ขอบเขต
“ใต้เท้าจินชื่อ!”
เซียนกระเรียนหน้าถอดสี
ในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ ณ ส่วนลึกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชค มีเพชฌฆาตหกคนประจำการอยู่
พวกเขาแต่ละคนล้วนมีการฝึกฝนในขอบเขตคืนสู่สามัญ แข็งแกร่งร้ายกาจยิ่งยวด ใช้กฎสวรรค์แห่งแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ได้!
จินชื่อคือหนึ่งในนั้น
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เหล่าผู้พิทักษ์ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชครอบนอกก็ไม่ต่างกับผู้น้อย
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
จักรพรรดิมารสวรรค์อุทานด้วยความตกใจ สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าครั้งใด
“ตัวตนในขอบเขตคืนสู่สามัญหรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นอ้าปากค้าง
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญนั้นเปลี่ยนตนเป็นเตาหลอมวิถี เปลี่ยนกฎนับหมื่นเป็นหนึ่งเดียว วิถีเต๋าสูงส่งเหนือขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงมากมายนัก!
“ผู้น้อยคารวะใต้เท้าจินชื่อ!”
วั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ล้วนก้าวออกมาคำนับ
เซียนกระเรียนเองก็คำนับโดยมิกล้าอิดออด
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ให้ข้าจัดการเอง”
จินชื่อพยักหน้าน้อย ๆ ดวงตาเรืองด้วยแสงทองคมปลาบ กิริยาดุจอยู่เหนือน่านนภา อำนาจแข็งแกร่งร้ายกาจ
ซูอี้แค่นเสียงขำ กล่าวอย่างเฉยชา “ไยจึงรู้ได้? เกรงว่าเจ้าคงลอบร่วมมือกับไอ้แก่พวกนี้มาก่อนแล้วน่ะสิ หาไม่ มีหรือจะมาถึงที่นี่ได้ในกาลอันสั้นเพียงนี้?”
“คนบ้าพล่ามไม่คิด พูดจาสามหาว!”
วั่งเทียนโส่วตวาดลั่นด้วยสีหน้าเย็นชา
จินชื่อยิ้มน้อย ๆ พลางโบกมือ “อย่าห่วงคนตายที่กำลังจะถูกพิพากษาเลย มิจำเป็นหรอก”
เขาเอื่อยเฉื่อยลอยชาย
ว่าพลาง แขนเสื้อของเขาก็โบกสะบัด แล้วมีดทรมานสีทองพลันปรากฏขึ้นบนมือ
ใบมีดนั้นเจิดจ้าชุ่มโลหิต อำนาจกฎเกณฑ์ดุร้ายน่ากลัว
มันเป็นอาวุธวิเศษอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศน่าสะพรึงยิ่ง!
จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นล้วนสั่นสะท้านในใจ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงมองจากห่าง ๆ หัวใจและดวงตารู้สึกราวถูกกรีด
หัวใจของเซียนกระเรียนร่วงถึงก้นเหว
มีดทัณฑ์ล้างมาร!
นับแต่ยามกำเนิดบรรพกาล นี่คือหนึ่งในหกมีดทรมานที่ท่านมหาเทพหงทิ้งไว้ในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ เป็นที่รู้จักในฐานะที่สามารถสาปส่งเทววิญญาณ ขจัดมารมิอาจคาดหยั่ง!
ยามนี้ ซูอี้อดหรี่ตาลงมิได้ มีดทรมานนี้สลักแก่นแท้กฎสวรรค์เอาไว้
แข็งแกร่งเหนือกว่ากฎสวรรค์ในดินแดนรอบนอกนี้มากนัก!