บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1195: หล่อหลอมประกาศิตฟ้าดิน
ตอนที่ 1195: หล่อหลอมประกาศิตฟ้าดิน
ก่อนหน้านี้ เจตจำนงของผู้บัญชาการสักการะที่นกกระจอกวิญญาณประกาศออกทำให้วั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ขวัญบินไปแล้ว
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเห็นจินชื่อถูกตบ ทั้งสองก็ตระหนักว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี หัวใจสั่นระรัว
เมื่อนกกระจอกวิญญาณมองมายามนี้ ทั้งสองก็ลนลานอย่างสมบูรณ์ เหงื่อกาฬแตกพลั่กท่วมร่าง
โดยไม่รีรอให้นกกระจอกวิญญาณกล่าววาจาใด วั่งเทียนโส่วรีบก้มหัวลงคำนับราวก้นไหม้ไฟ กล่าวขึ้นเสียงสั่น
“ผู้น้อยทราบความผิดแล้ว! ผู้น้อยทราบความผิดแล้ว! ขอผู้ส่งสารเมตตาด้วย เห็นแก่การกระทำงานอย่างจริงจังของผู้น้อยในอดีตแสนนาน โปรดละเว้นผ่อนปรน ผู้น้อยจะกลับใจชดใช้ความผิดนี้ขอรับ!”
หยวนมู่เองก็รีบร้อนวอนขอความเมตตาอย่างลนลานเช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ จักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นเองก็อดแค่นยิ้มมิได้
ก่อนหน้านี้ ผู้พิทักษ์ทั้งสองช่างลำพองเหลือเกิน และทำตัวสูงส่งเยี่ยงผู้ชนะ
ทว่ายามนี้คนทั้งสองล้วนตื่นตระหนกลนลาน!
ซูอี้ยืนนิ่งเนิ่นนาน เฝ้ามองอย่างเย็นชา
ไม่ยินดียินร้ายใด ๆ
เพราะท้ายที่สุด เหตุที่ผู้พิทักษ์ทั้งสองกลัวจนแทบจับไข้นั้นก็เป็นเพราะใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะอันลึกลับทั้งหมด
มิใช่ความสำนึกผิดละอายชดใช้อย่างแท้จริง
“ข้าทำเพียงถ่ายทอดเจตจำนงของใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะเท่านั้น มิต้องอ้อนวอนใด ๆ กับข้าหรอก”
น้ำเสียงของนกกระจอกวิญญาณที่ลอยอยู่บนนภาฟังดูเฉยเมย “ฟังให้ดี จากวันนี้ไป ปลดตนจากฐานะผู้พิทักษ์และคืนตราผู้พิทักษ์มาเสีย”
น้ำเสียงยังคงกังวาน ปีกของมันก็สั่นกระพือ
ขวับ!
เหรียญตราผู้พิทักษ์บนร่างของวั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ต่างพุ่งออกมา ร่วงลงสู่ปีกของนกกระจอกวิญญาณ ก่อนจะสลายหายไป
พวกเขาสัมผัสอย่างชัดเจนว่าตรา ‘ผู้พิทักษ์’ ซึ่งอยู่กับพวกเขาแสนนานได้หายไป ไม่อาจใช้กฎสวรรค์แห่งโลกหล้านี้ได้อีก!
มิต่างกับการร่วงหล่นจากสวรรค์ในพริบตา และยากที่พวกเขาจะรับได้ในชั่วขณะนั้น
“ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะกล่าวว่า พวกเจ้าโหยหาอิสระจากโซ่ตรวนพันธนาการมาโดยตลอด ยามนี้พวกเจ้าเป็นอิสระแล้วนี่ มิซาบซึ้งขอบคุณหรือไร?”
นกกระจอกวิญญาณกล่าว
วั่งเทียนโส่วและหยวนมู่ล้วนได้สติ ต่างฝ่ายต่างคำนับอย่างพร้อมเพรียง “ผู้น้อยขอบคุณใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะที่เมตตา!”
พวกเขาดูซาบซึ้ง ทว่าน้ำเสียงกลับเปี่ยมความจนใจลนลาน
เหตุผลนั้นแสนง่าย เมื่อเสียฐานะผู้พิทักษ์ไป สิ้นการควบคุมกฎสวรรค์ แล้วซูอี้… จะปล่อยพวกเขาไปหรือ?
“ใต้เท้าผู้ส่งสาร ผู้น้อยมีคำขอรบเร้าที่ไม่อยากเอ่ยอยู่ข้อหนึ่ง ท่าน… โปรดให้พวกเรารอดจากเขตต้องห้ามเซียนอับโชคไปได้หรือไม่?”
วั่งเทียนโส่ววิงวอนด้วยเสียงปนสะอึ้น
ชายชราผู้เหมือนคนแคระในยามนี้ลนลานโดยสมบูรณ์
“นั่นขึ้นกับความสามารถของเจ้าเอง”
น้ำเสียงของนกกระจอกวิญญาณดูเฉยเมย
เพียงหนึ่งวาจาทำให้วั่งเทียนโส่วแทบเข่าทรุด
คิดให้หัวระเบิดเขาก็คาดไม่ถึงว่าอุบายที่วางไว้สำหรับจัดการผู้ขัดเกลาซูอี้จะเปลี่ยนมากถึงเพียงนี้ยามลงมือ!
ฟิ้ว!
ทันใดนั้น อากาศก็สั่นไหว เป็นหยวนมู่ที่เผ่นหนีก่อนใคร
เห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล จึงคิดดิ้นรนหาโอกาสรอด และเผ่นหนีทันที!
แต่ซูอี้หรือจะปล่อยเขาไป?
หนึ่งวจีดาบขยี้แดนดิน ปราณดาบซึ่งอยู่ในมือซูอี้ตลอดมาพุ่งทะยานกวาดเวหา
ปราณดาบนี้เดิมตั้งใจใช้จัดการกับเพชฌฆาตจินชื่อ มันถูกหลอมรวมด้วยปราณทั่วร่างของซูอี้ นอกจากจะรวมแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำยังมีเสี้ยวปราณของดาบเก้าคุมขังเจืออยู่ด้วย
และยามนี้ มันถูกใช้เพื่อสังหารหยวนมู่
เพียงพริบตา…
ตู้ม!
ไกลออกไปหลายร้อยจั้ง อากาศระเบิดแหลก คลื่นกระเพื่อมซัดโถมทั่วทิศ
ร่างของหยวนมู่ระเบิดเปรี้ยง ก่อนจะสลายหายไปในพริบตา
ภาพอันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้นกกระจอกวิญญาณอดประหลาดใจไม่ได้ มันแปรสภาพมาจากพลังกฎสวรรค์แห่งเขตต้องห้ามเซียนอับโชค จึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณดาบนี้ของซูอี้อาจเป็นภัยต่อมันได้!
“ซู… ใต้เท้าซู!”
วั่งเทียนโส่วดูหวาดผวา เขาทรุดตัวลงคุกเข่าอ้อนวอนปนสะอื้น “ท่าน… ท่านให้โอกาสตาเฒ่าผู้น้อยชดใช้ความผิดได้หรือไม่!?”
สิ่งที่ตอบกลับเขาคือปราณดาบสายหนึ่งซึ่งฟาดฟันลงมาอย่างดุเดือด
ฉับ!
ร่างของวั่งเทียนโส่วแหลกสลาย ขณะที่ดวงวิญญาณละล่องลอย
จักรพรรดิมารสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปกำลังตื่นเต้นในใจ ขณะพึมพำออกมาว่า “ชดใช้กับผีสิ ก่อนหน้านี้ ไอ้แก่อย่างเจ้ายังเผยธาตุแท้ชั่ว ๆ ออกมาอยู่เลย…”
“น่ายินดี!”
อกของเมิ่งฉางอวิ๋นกระเพื่อมหนัก พลางกล่าวทอดถอนใจเปี่ยมอารมณ์ “ทำตัวสูงส่งนัก กร่างอำนาจรังแกคน… ท้ายที่สุดก็พังไม่เป็นท่า! ก่อนหน้านี้พวกมันเย่อหยิ่งเพียงใด เทียบกับความเละเทะดูมิได้ยามนี้สิ!”
ใบหน้าของเขาเจิดจรัสด้วยยินดี แหงนหน้าตะโกนลั่นกับฟากฟ้า
เซียนกระเรียนยืนตะลึงกับที่ เงียบมาตลอดเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่จินชื่อประสบหรือความตายของวั่งเทียนโส่วกับหยวนมู่ล้วนกระทบจิตใจของเขาอย่างมหาศาลจนไม่อาจสงบลง
และนกกระจอกวิญญาณก็หาได้หยุดเรื่องทั้งหมดนี้ไม่
มันหันมองซูอี้ และกล่าวว่า “ในดินแดนรอบนอกของเขตต้องห้ามเซียนอับโชคมีกฎที่ต้องกระทำตาม แต่ในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์หามีกฎใดไม่ หากต้องการไปฝึกฝนที่นั่น เจ้าต้องระวังตนให้ดี”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ และกล่าวว่า “นี่ก็เป็นวาจาที่ผู้บัญชาการสักการะที่เจ้าว่าฝากมาพูดหรือ?”
นกกระจอกวิญญาณส่ายหน้ากล่าว “ทุกคนที่มีคุณสมบัติไปยังแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์จะได้รับคำแนะนำนี้จากข้า”
กล่าวจบ มันก็กระพือปีกหายลับสู่อากาศธาตุ
“ไร้กฎเกณฑ์ใด ๆ หรือจะหมายความว่าเพชฌฆาตเยี่ยงจินชื่อซึ่งประจำการในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์จะสามารถกระทำการใด ๆ ต่อข้าได้โดยชอบใจ?”
ซูอี้ครุ่นคิด
“พี่ซู ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
จักรพรรดิมารสวรรค์เข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้นระคนเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอก”
ซูอี้แย้มยิ้มและส่ายหน้า “แค่อำนาจจากการฝึกฝนถูกใช้มากไปหน่อยน่ะ”
“ตาเฒ่าผู้น้อยรู้ว่าวิถีดาบของใต้เท้าไร้ผู้ใดเปรียบ วาสนาตระกองทั่วสวรรค์ ต้องสามารถพลิกกระแสเปลี่ยนวิกฤตเป็นแคล้วคลาดได้แน่ขอรับ! อุปสรรคที่ดูใหญ่โตเหล่านั้นต่างก็เป็นเพียงแค่ตัวร้ายชั้นต่ำ เพียงดีดนิ้วก็มลายสิ้นได้!”
เมิ่งฉางอวิ๋นก็เข้ามาหาอย่างรีบร้อน สีหน้าเปี่ยมความตื่นเต้น
เจ้าแก่ผู้นี้ไม่ปิดปากอีกต่อไป ทั้งยังสอพลอไม่หยุดทันทีเมื่อมีโอกาส
ซูอี้เมินเขาไปทันที
จากนั้นเขาก็กวาดตามองไปรอบ ๆ “หาที่พักก่อน ข้าว่าจะเก็บตัวสักหน่อย”
“หากสหายเต๋าไม่รังเกียจ วิหารเต๋าของข้าคือที่ปลอดภัยที่สุด”
เซียนกระเรียนที่อยู่ไกลออกไปพลันเอ่ยปาก
ยามผู้พิทักษ์ตนนี้เผชิญหน้าซูอี้ ในแววตาของมันก็เพิ่มความเกรงขามขึ้นมาอย่างมิเคยมี
“ขอบคุณมากนะ”
ซูอี้พยักหน้า
…
หมู่เมฆาหนาทะมึนเข้าปกคลุมผืนนภาเหนือซากสถานโลหิตทมิฬอีกครั้ง ทั่วสารทิศเงียบสงัด
นอกวิหารเต๋า โคมไฟส่องแสงสลัวริบหรี่
เซียนกระเรียนนั่งเฉย ๆ บนบันไดหินขั้นหนึ่ง และกล่าวเบา ๆ “สหายเต๋ามารสวรรค์ เล่าเรื่องของสหายเต๋าซูผู้นั้นให้ข้าฟังบ้างได้หรือไม่?”
จักรพรรดิมารสวรรค์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันพยักหน้า “ผู้อาวุโสอยากรู้เรื่องใด ข้าจะไม่ปิดบัง”
เมิ่งฉางอวิ๋นยืนคอตกอยู่ใต้ซากต้นไม้ และเมื่อได้ยินเรื่องนี้เขาก็หูผึ่ง ความอยากรู้ในใจถูกกระตุ้น
แม้เขาจะยอมศิโรราบ แต่ทุกอย่างที่เขารู้ก็มีเพียงเรื่องในอดีตของทัศนาจารย์ และรู้เพียงว่าร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์เป็นที่เคารพนับถือในมหาแดนดินนี้
ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น เขาไม่รู้เลย
ไม่นานนัก จักรพรรดิมารสวรรค์ก็เอ่ยปากเล่าเรียง
นางไม่ค่อยพูดเรื่องอดีตของซูอี้มากนัก แต่ย้อนระลึกถึงชายที่นางจดจำในฐานะตำนานแห่งโลกหล้ามากกว่า
ขณะเดียวกัน ในวิหารเต๋า
ซูอี้นั่งลงขัดสมาธิ
ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง และสุดท้ายก็ไม่อาจข่มกลั้นหยาดโลหิตแดงฉานไว้ได้ มันหยดย้อยลงจากริมฝีปาก พลังปราณในกายอ่อนแอลงอย่างกะทันหัน
ตาเปล่าก็เห็นได้ว่ากระทั่งผิวกายของเขายังแห้งกร้าน เส้นผมยาวดูจะเสียประกาย ทั่วร่างเผยเค้าลางไร้กำลัง
เหตุเป็นเพราะในศึกก่อนหน้านี้ เขาใช้แก่นแท้เวิ้งลึกล้ำเป็นเวลานาน วิถีเต๋าที่เขาสั่งสมมาจึงถูกใช้ไปอย่างมหาศาล!
กอปรกับในช่วงท้าย เพื่อเตรียมวิธีการรับมือจินชื่อ เขาไม่ลังเลจะดึงพลังดาบเก้าคุมขังเข้ามาเสริม เขาในยามนั้นจึงร่อแร่เต็มที
ยามนี้ ทันทีที่เขาผ่อนคลาย จิตวิญญาณทั่วร่างก็เสื่อมสลาย
“ท้ายที่สุด การฝึกฝนของข้าก็ยังอ่อนแอเกินไป…”
ริมฝีปากซูอี้ยกยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย
ย้อนนึกไปถึงตนเองยามเป็นทัศนาจารย์ เขาสัญจรพบพานผู้คนมากมายในจักรวาลพร่างดาว วิชาดาบแทบไร้เทียมทาน ราชันแห่งภูมิทั่วไปหาเข้าสู่สายตาได้ไม่
อย่าว่าแต่ตัวตนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงหรือคืนสู่สามัญเลย
“แต่หากมองการฝึกฝนในวิถีลึกล้ำ ตัวข้าในยามนี้ก็ห่างไกลเกินเทียบกับตัวข้ายามเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน หรือชาติที่แปดยามเป็นทัศนาจารย์ได้”
“แต่นั่นเพียงพอแล้ว!”
หัวใจของซูอี้มิได้เรรวน
เขาจะไม่มีวันเร่งรัดเปลี่ยนขอบเขต
การเวียนวัฏฝึกฝนใหม่นั้นต้องทำทีละก้าว เพื่อที่จะสามารถขัดเกลาการฝึกฝนมหาวิถีให้สูงส่งเหนือล้ำกว่าอดีตชาติอื่น ๆ ได้!
ซูอี้นำป้ายประกาศิตฟ้าดินทั้งหมดที่ตนมีออกมา
พวกมันมีทั้งหมดสี่สิบเจ็ดชิ้น
นอกจากชิ้นของเขาเอง ชิ้นอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นสินสงครามจากการต่อสู้กับหลัวจื่อหง หวังหมี เหยียนเฟิง เฉียนชวน และโม่หงซาน
และยังมีหกชิ้นมาจากเมิ่งฉางอวิ๋นด้วย
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ซูอี้ก็หยิบป้ายประกาศิตฟ้าดินขึ้นชิ้นหนึ่งและเริ่มทำสมาธิฝึกฝน
ประกาศิตฟ้าดินนั้นหลอมรวมมาจากปราณมารดาฟ้าดิน ซึ่งเป็นสมบัติอันหาได้ยากในโลกภายนอก
สำหรับซูอี้ ด้วยประกาศิตฟ้าดินสิบแปดชิ้น เขาก็มีคุณสมบัติเข้าสู่แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์เพื่อฝึกฝนเลื่อนระดับแล้ว ส่วนป้ายประกาศิตฟ้าดินชิ้นอื่น ๆ ย่อมถูกใช้เพื่อการฝึกฝน
ตู้ม!
ประกาศิตฟ้าดินสั่นสะเทือน และทันใดนั้นก็หลอมละลายเป็นปราณมารดาฟ้าดินอันเข้มข้นหาใดเปรียบ ทะลักเทเข้าใส่ร่างของซูอี้ราวมหาธารจากแม่น้ำแยงซี
การฝึกฝนของเขาซึ่งดูราวแม่น้ำเหือดถูกฟื้นฟูเสริมแกร่งในทันที เริ่มฟื้นตัวด้วยความเร็วอันน่าตกใจ…
เพียงครึ่งเสี้ยวชั่วยามต่อมา
ปราณมารดาฟ้าดินในประกาศิตฟ้าดินชิ้นแรกก็ถูกซูอี้หล่อหลอมสมบูรณ์
การฝึกฝนของเขาฟื้นฟูกลับมาราวเจ็ดส่วน!
ในเมื่อปราณมารดาฟ้าดินนี้ถูกหล่อหลอมดูดซับ ยามฝึกฝนจึงเทียบได้กับหล่อหลอมการฝึกฝน ร่างวิถีและจิตวิญญาณของซูอี้ขึ้นใหม่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนทว่าเห็นได้ชัดเจน
ซูอี้ไม่รอช้า หยิบประกาศิตฟ้าดินอีกชิ้นขึ้นมาและเริ่มฝึกฝน
ชั่วยามต่อมา
ซูอี้หล่อหลอมประกาศิตฟ้าดินไปแล้วห้าชิ้น
การฝึกฝนของเขาเดือดพล่านราวอยู่บนเตา ไม่เพียงมันจะฟื้นกลับสู่จุดสูงสุดเท่านั้น แต่ยังเคลื่อนพัฒนาขึ้นไปอีกก้าว อำนาจฝึกฝนของร่างกายของเขาล้วนเจืออำนาจหนาแน่นใหญ่หลวงอันเป็นของปราณมารดาฟ้าดิน
แม้กระทั่งกฎมหาวิถีเช่นกฎเวียนวัฏสงสาร สังขาร สุดวิถี การจมและจุดจบยังพัฒนาเพิ่มเติม มีสัญญาณราง ๆ ว่าจะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว
นี่คือปราณมารดาฟ้าดินซึ่งมาจากพลังต้นกำเนิดจักรวาลของภูมิดาราฟ้าดิน และมันยังเป็นที่รู้จักในฐานะแดนบรรพชนของวิถีนับหมื่นทั่วจักรวาลพร่างดาว!
อำนาจเช่นนี้มีประโยชน์อเนกอนันต์ มิเพียงหล่อหลอมการฝึกฝน จิตวิญญาณและร่างวิถีเท่านั้น แต่ยังเสริมแกร่งกฎเต๋าที่ผู้ฝึกตนนั้น ๆ ถือครองอีกด้วย!
และนี่ยังเป็นเหตุที่ทำให้เหล่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวเยี่ยงโรงวาดฤทัยกับหอเก้าสวรรค์ส่งยอดฝีมือมายังภูมิดาราฟ้าดิน
เหตุเป็นเพราะปราณมารดาฟ้าดินนี้พิสดารเกินไป มันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้เพียงที่ภูมิดาราฟ้าดินเท่านั้น!
………………………………