บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1196: ผู้บัญชาการสักการะ!
ตอนที่ 1196: ผู้บัญชาการสักการะ!
แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์
ตั้งอยู่ ณ ศูนย์กลางของเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ในโลกหล้าอันไพศาล บรรพตลำธารกระจัดกระจาย เปี่ยมบรรยากาศเก่าแก่โบราณ
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยมหันตภัยมากมาย
แสงเซียนโปรยปรายดุจพิรุณลึกลับ อาบไล้หลุมมิติแตกหัก
มีเสียงกระซิบพึมพำเยี่ยงภูตมารสะท้อนผ่านโลกาสีเลือดอันแห้งแล้ง
และยังมีพื้นที่ต้องห้ามอันแปลกประหลาดเลวร้ายอยู่อีกที่ ปกคลุมด้วยแสงสีเทาดุจขุมนรกหายนะชั่วกาลนาน
พรึ่บ!
หนึ่งปักษาอันมีปีกงดงามทะยานผ่านท้องนภาสีเลือดเปี่ยมปราณทำลายล้าง ผ่านหุบเขาซากศพ และในที่สุดก็มายังวิหารสำริดแห่งหนึ่งอันเปี่ยมด้วยปราณต้นกำเนิดฮุ่นตุ้น
วิหารสำริดนี้โอ่อ่าและโบราณ มันลอยอยู่เหนือเมฆโดยมีสายฟ้าสีม่วงใต้ท้องนภากะพริบแปลบปลาบ
ด้วยปราณต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นปกคลุมและสายฟ้าสีม่วงที่วูบไหว ทำให้วิหารสำริดแห่งนี้ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
ดุจที่พำนักแห่งเทพเจ้า!
และตรงหน้าวิหารสำริด มีชายร่างผอมผู้หนึ่งนั่งอยู่
เขาถือมีดสั้นยาวครึ่งฉื่อที่ทำจากสำริดเล่มหนึ่งในมือ และกำลังใจจดใจจ่อ… ตัดแต่งเล็บตน
เส้นผมของชายผู้นั้นสยายยาว เขาสวมชุดสีดำเก่า ๆ จอนผมเป็นสีขาว ใบหน้าเหมือนชายหนุ่ม มือที่ถือมีดสั้นขาวดุจหยก ข้อนิ้วปรากฏชัดเจน
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือที่หว่างคิ้วของเขามีหนึ่งรอยแผลเป็นอันคาดว่าจะมาจากดาบ
“ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะ เจตจำนงของท่านถูกส่งไปถึงแล้วขอรับ”
นกกระจอกวิญญาณบินเข้าหา มันยืนบนอากาศไม่ห่างจากเขานัก
“มี”
นกกระจอกวิญญาณกล่าว “ผู้ขัดเกลาผู้นั้นขอให้จินชื่อตบหน้าตัวเองขอรับ”
ชายชุดดำผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “นี่มิใช่อุบัติเหตุหรอก เป็นเพชฌฆาตแท้ ๆ แต่กลับฝ่าฝืนกฎไปรังแกคน จะไม่ให้สู้กลับได้หรือ? แต่… เขาขอเพียงเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้หรือ?”
นกกระจอกวิญญาณตอบ “ถูกต้องขอรับ”
ชายชุดดำถูแก้มกล่าวเบา ๆ “ดูเหมือนครานี้ข้าจะทำมากไปหน่อย…”
นกกระจอกวิญญาณถาม “ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะหมายความเช่นไร?”
ชายชุดดำกล่าวเลื่อนลอย “หากเขาขอให้เจ้าฆ่าจินชื่อเสีย แปลว่าเขากำลังกลัวและอยากใช้อำนาจของข้ากำจัดเสี้ยนหนาม”
“แต่เขากลับมิทำเช่นนี้ ซึ่งพิสูจน์ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าผู้ขัดเกลาซึ่งถือเคล็ดเวียนวัฏสงสารต้องมีความมั่นใจและแข็งแกร่งพอจะจัดการกับจินชื่อได้ มิจำเป็นต้องให้ข้าลุกขึ้นทวงความยุติธรรมให้เขาเลย”
กล่าวถึงจุดนี้ ชายชุดดำก็รำพึงเบา ๆ “บางที คนผู้นี้อาจจะบ่นในใจว่าข้ายุ่งมิเข้าเรื่องอยู่ก็ได้”
นกกระจอกวิญญาณ “…”
แค่ตบทีเดียว เข้าใจได้เช่นนี้เลยหรือ!?
“ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะช่างปราดเปรื่อง!”
นกกระจอกวิญญาณเอ่ยชม
เพียงแค่ว่าน้ำเสียงของมันราบเรียบ ไร้อารมณ์ใด ๆ
“เป็นเพียงนกกระจอกน้อยจากกฎสวรรค์แท้ ๆ แต่กลับฉลาดรู้วิธียอคนด้วย”
ชายชุดดำตำหนิยิ้ม ๆ
ทันใดนั้น เขาก็ดูจะสังเกตเห็นบางอย่างแล้วโบกมือ “ไปเถอะ หมดธุระเจ้าแล้ว”
นกกระจอกวิญญาณกระพือปีกแหวกเวหาจากไป
ขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เป็นจังหวะก็ดังขึ้น
ตรงหน้าวิหารสำริดมีบันไดศิลาเก้าสิบเก้าขั้น
ยามนี้ มีร่างหนึ่งก้าวขึ้นบันไดศิลาทีละก้าว
เขาเป็นชายชราร่างผอม สวมชุดผ้าลินิน เส้นผมยาวสีขาวถูกรวบเป็นมวย ใบหน้ายับย่นเปี่ยมร่องรอยการกัดกร่อนแห่งกาลเวลา
สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษคือ บนหลังของเขามีกล่องดาบแดงสดดุจโลหิตอยู่!
ทุกย่างก้าวของชายชราผู้นี้หนักแน่นและก้องสะท้อนทั่วบันไดศิลา ดุจอสนีบาตฟาดลงมาจากนภา
ประกายสายฟ้าเจิดจรัสพลุ่งพล่านบนบันไดหินใต้เท้าชายชราราวกับบททดสอบจากสวรรค์ ทว่ากลับไม่อาจหยุดฝีเท้าของเขาได้
“เจ้าเฒ่า ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องมา”
บนบันไดหินเบื้องหน้าวิหารสำริด ชายชุดดำกล่าวขึ้นทันที “หากเจ้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมด้วยเหตุผลล่ะก็ มิต้องปริปากหรอก”
ชายชรากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะไร้เหตุผล ข้าแต่อยากมาขอคำอธิบายเท่านั้น”
เขากล่าวขณะก้าวเดินต่อ ย่นระยะเข้ามาใกล้
ชายชุดดำขมวดคิ้ว “เจ้าอยากพูดอันใด?”
ชายชราว่า “ในหมู่ผู้พิทักษ์ทั้งสิบ เราเสียไปเจ็ด ซ้ำเพชฌฆาตจินชื่อยังถูกเจ้าหยามเกียรติต่อหน้าธารกำนัล มิควรให้คำอธิบายแก่ข้าหรือไร?”
ชายชุดดำหัวเราะกล่าว “ผู้ละโมภผิดกฎของท่านมหาเทพหง ตายไปก็มิน่าเสียดายหรอก”
“จินชื่อเป็นเพชฌฆาต แต่กลับลอบร่วมมือกับวั่งเทียนโส่ว ยัดเยียดอำนาจกฎเกณฑ์ประหารผู้ขัดเกลา มิฆ่าเขาก็นับว่าข้าเมตตาแล้ว”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็ยืนขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าจางหาย และกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ใต้บัญชาของเจ้า แต่กฎคือกฎ ไม่ว่าผู้ใดกล้าละเมิดต้องถูกทัณฑ์!”
บรรยากาศพลันตึงเครียดกดดันในฉับพลัน
ชายชราชะงักเท้าบนขั้นบันได เงยหน้าขึ้นมองชายชุดดำ และกล่าวว่า “ตลอดมา พวกเขาล้วนกระทำตามหน้าที่อย่างซื่อสัตย์โดยตลอด…”
โดยมิรีรอให้พูดจบ ชายชุดดำก็โบกมือกล่าวขัด “ความชอบคือความชอบ อย่าได้สับสน”
ชายชราขมวดคิ้ว สายตาเจือความร้ายกาจ “อืม งั้นมิต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ข้าอยากรู้ว่าในใจเจ้าคิดอันใดอยู่จริง ๆ”
ชายชุดดำกล่าวอย่างงุนงง “เจ้าคิดเช่นไร?”
ชายชราเหยียดยิ้มเยาะ “เจ้าน่าจะรู้ว่าเหตุใดจึงเกิดหายนะนั่นในมาตุภูมิแห่งหมื่นวิถีแต่กาลก่อน และยามนั้น ท่านมหาเทพหงได้บาดเจ็บสาหัสจากการต่อต้านหายนะ!”
“หากมิใช่เพราะในยามเฮือกสุดท้าย ท่านมหาเทพหงใช้อำนาจสูงสุดผนึกอาวุธสังหารอันไม่ใช่ของยุคสมัยนี้ไว้ที่นี่ ทั่วภูมิดาราฟ้าดินคงสลายสูญแน่แท้”
“แต่แรกเริ่มเดิมที มหาเทพมืดมิดจากภูมิมืดมิดซึ่งดูแลวัฏสงสารมิเคยลุกขึ้นมาช่วยเลย!”
กล่าวถึงจุดนี้ ใบหน้าของชายชราก็เจือความเคียดแค้นสุดใจ “เจ้าเองก็น่าจะรู้ว่ามาตุภูมิแห่งหมื่นวิถีคือแหล่งกำเนิดกฎสวรรค์แห่งภูมิดาราฟ้าดิน และแดนบรรพชนต้นกำเนิดหมื่นวิถีในจักรวาลพร่างดาว แต่เว้นเพียงกฎเวียนวัฏสงสารที่ขาดหายไป ทำให้หายนะนั้นฉวยโอกาสอุบัติขึ้น!”
ชายชุดดำอดถอนใจกล่าวมิได้ “ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าหลังผ่านไปแสนนาน เจ้าเฒ่าเช่นเจ้าก็ยังคงครุ่นแค้นเรื่องในกาลก่อนมิเลิกรา”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็กล่าวกับชายชราอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน “อืม ข้าจะพูดอีกครั้งแล้วกัน ต่อให้ในกาลก่อน มหาเทพมืดมิดจะลุกขึ้นมาช่วยเหลือ การจะหยุดหายนะนั่นได้ก็ยังยากอยู่ดี!”
ชายชรายิ้มเยาะ “เมื่อข้าได้ยินวาจาเหล่านี้ หูของข้าเหมือนจะตีบตึง รู้สึกเหมือนเคี้ยวขี้ผึ้ง มิเห็นน่าสนใจสักนิด”
ชายชุดดำขมวดคิ้ว ผายมืออย่างจนใจ “แล้วเจ้าต้องการอันใด?”
ชายชราว่า “ง่ายมาก บอกเรื่องที่เจ้าคิดจริงๆ ในใจออกมา ว่าเหตุใดจึงอยากช่วยผู้ขัดเกลาผู้นั้น! จำไว้ว่าพูดความจริงเท่านั้นนะ!”
ชายชุดดำเงียบไป
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็ถูแก้มกล่าว “ข้าบอกเจ้าชัด ๆ ได้ว่าแต่แรกจนจบ ข้ากระทำการตามกฎของท่านมหาเทพหงเสมอ!”
ชายชราแค่นเสียงอย่างเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าคำตอบเช่นนี้ทำให้เขาผิดหวัง
ชายชุดดำจ้องมองชายชราชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “นกยูงเฒ่า หากเจ้าเชื่อข้า รอดูเถิดว่าสุดท้ายผู้ขัดเกลาผู้นั้นจะเดินทางไปในทิศใด อย่าลืมว่านี่คือบททดสอบที่ท่านมหาเทพหงสร้างไว้แต่ก่อนกาล และยามนั้น เจ้าจะได้เข้าใจความจริงบางส่วนเอง”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ตอบตามตรง ความจริงเหล่านั้นก็คือสิ่งที่ข้าอยากรู้มาตลอดเช่นกัน”
ชายชราเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะหันหลังกลับโดยมิพูดจา
กล่องดาบสีเลือดบนหลังของเขาสะดุดตาเป็นพิเศษ
ชายชุดดำขมวดคิ้วกล่าว “นกยูงเฒ่า เจ้าอย่าได้กระทำการสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นอันขาด เจ้าน่าจะรู้ว่าในฐานะผู้บัญชาการสักการะ หากกระทำการโดยไร้คำอนุญาต…”
“ข้ารู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ ไม่ต้องให้เจ้ามาย้ำข้าหรอก!”
ชายชราเคลื่อนกายจากไป และยังทิ้งเสียงแหบพร่าไร้อารมณ์ไว้
ชายชุดดำมิได้กล่าวอันใดอีก
จนเมื่อร่างของชายชราหายลับไป ชายชุดดำจึงถอนหายใจยาวพลางกระซิบ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
เขานั่งลงอีกครั้งตรงหน้าวิหารสำริดและเงียบไป
…
ซากสถานโลหิตทมิฬ
เมื่อซูอี้ตื่นจากฌาน พลังปราณทั่วร่างของเขาก็กู่คำราม สาดทะลักพลุ่งพล่าน เคล็ดสารพัดกฎเต๋าแปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงพราวระยับบนอากาศ
“การฝึกฝนของข้า ในที่สุดก็หวนสู่จุดสมบูรณ์พร้อมเช่นเดียวกับในอดีตชาติ…”
การฝึกฝนของเขาถูกเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แล้ว!
ทว่าวิถีเต๋าของเขาหาเทียบได้กับอดีตชาติไม่
ไม่เพียงการฝึกฝนแข็งแกร่งกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณ ร่างวิถีหรือปราณในร่างยังเลิศล้ำกว่าอดีตชาติทั้งหลายไกลลิบ!
“นี่คือประโยชน์ของการเวียนวัฏ เป็นหนึ่งมิเหมือนผู้ใดในโลกหล้า เพียงพอจะทำให้เหล่าคนเฒ่าชราในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวคลั่งไคล้สติแตกได้…”
ซูอี้กระซิบ
การเวียนวัฏสามารถเติมเต็มความเสียใจในวิถีเก่าก่อน ค้นหาวิถีอันสูงกว่าได้!
เพียงเท่านี้ก็เลิศล้ำเสียจนไม่ยุติธรรม มิอาจเทียบกับเคล็ดมหาวิถีใด ๆ ได้
“ต่อมา ก็ได้เวลาเตรียมตัวสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิแล้ว”
ซูอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เขามีประสบการณ์ของทัศนาจารย์ในอดีตชาติ และรู้ดีมากว่าในยามทัศนาจารย์ขึ้นสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ อีกฝ่ายมีความเสียใจข้อหนึ่ง
และความเสียใจนี้หวนย้อนขัดขาทัศนาจารย์ยามถึงจุดสุดวิถีสู่สวรรค์ เตรียมพร้อมก้าวสู่วิถีอันสูงกว่า!
เพราะท้ายที่สุด มหาวิถีของเขาก็บกพร่อง!
“ยามนี้ พื้นฐานของข้าถูกขัดเกลาถึงจุดสมบูรณ์แบบแล้ว ต้องการเพียงอนุมานพลังกฎสวรรค์แห่งภูมิดาราฟ้าดิน หลอมรวมมันเข้ากับวิถีให้ได้ ข้าก็จะก้าวสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิซึ่งสูงล้ำเหนืออดีตชาติที่แปดแสนไกลได้!”
“นอกจากนั้น ในชาตินี้ ข้ายังมีเคล็ดเวียนวัฏสงสารและแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำ เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงย่อมสร้างกฎอมตะสูงสุดได้แน่!”
ซูอี้แสนมั่นใจแน่วแน่ในเรื่องนี้
เงาร่างที่เขาพบในธารนทีสายยาวแห่งโชคชะตาในกาลก่อนเคยบอกว่าพลังจากแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำจะมีบทบาทอันมิอาจประมาณยาวก้าวเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
และซูอี้ได้เห็นความน่ากลัวของแก่นแท้เวิ้งลึกล้ำมาแล้ว เขาย่อมเชื่อสุดหัวใจ
“ไขว่คว้ามหาวิถี ทุกอึดใจมีค่า ในภายหน้า การฝึกฝนของข้าซูเสวียนจวินจะเหนือล้ำกว่าทัศนาจารย์ และชี้สู่วิถีอันสูงกว่าได้!”
ซูอี้นำไหสุราออกมากระดกดื่มอย่างยินดี
นับแต่เวียนวัฏมา วันนี้เขาก็คืนสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิอีกครั้ง!
ทว่าประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจของเขายามนี้ แตกต่างจากอดีตชาติของเขาเนิ่นนาน
สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงคือหัวใจวิถีอันมิสั่นคลอน
ขัดเกลาจิตใจเยี่ยงหยกยามนิ่งสงบ
ลับคมหัวใจดุจคมดาบยามขยับ!
โดยไม่คิดมากไปกว่านั้น ซูอี้ลุกขึ้นจากพื้นอย่างเรื่อยเฉื่อย ปัดฝุ่นบนอาภรณ์และเดินออกจากวิหารเต๋า
เขาตัดสินใจเข้าไปสู่ส่วนลึกแห่งเขตต้องห้ามเซียนอับโชคในวันนี้!