บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 12 ปิดหนทาง
ตอนที่ 12 ปิดหนทาง
ที่ภายนอกภัตตาคารรวมเซียน
เพื่อนร่วมชั้นและมิตรสหายของเหวินหลิงเสวี่ยต่างเร่งรีบแยกย้าย
ก่อนกลับ หลายคนยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองซูอี้
ใครกันจะไปคาดคิด ว่าจะต้องมาเผชิญหน้าหวงเฉียนจวินผู้อหังการ จนแม้แต่เนี่ยเถิงที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้สูง ยังทำได้เพียงอดกลั้น ทว่าซูอี้ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งพวกตนเคยนินทา กลับนำพามาซึ่งความประหลาดใจครั้งใหญ่เสียได้
“ซูอี้ เรื่องราวครั้งนี้… ข้าจะหาทางตอบแทนแน่!” หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เนี่ยเถิงก็ทิ้งถ้อยคำไว้ก่อนจะหันจากไป
คนหนุ่มผู้ซึ่งชื่นชอบเป็นจุดเด่น เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตัวเขาหดหู่ไม่ใช่น้อย
“เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย” ซูอี้ยิ้มบาง การรู้จักตอบแทนบุญคุณ สิ่งนี้ถือเป็นวิสัยของบุรุษที่ดี
“พี่เขย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้…” เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยคำขึ้น
“กลับบ้านกันก่อนเถอะ” ซูอี้กล่าวคำขัดพร้อมยิ้มรับ ก่อนจะเดินนำหน้าไป
“ทราบแล้ว” เหวินหลิงเสวี่ยสะกดความกังวลเอาไว้ ก่อนจะรีบเดินตามไป
“หลิงเสวี่ย หลังเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ มันจะเป็นไปได้สองทิศทาง”
ขณะใกล้ถึงจวนตระกูลเหวิน ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำออกมาด้วยเสียงนุ่มนวลเรียบนิ่ง “หนึ่ง หวงเฉียนจวินกลับบ้านไปร้องขอความช่วยเหลือ สอง อีกฝ่ายเลือกที่จะกล้ำกลืนลงไป”
เหวินหลิงเสวี่ยที่ได้ฟังพลันเร่งรีบกล่าวขึ้นแทรก “คนผู้นั้นไร้ยางอายอย่างถึงที่สุด เสียหายครั้งใหญ่เช่นวันนี้ มีหรือที่จะกล้ำกลืนโทสะลงไปได้ มีแต่จะล้างแค้น!”
ซูอี้พยักหน้าตอบรับ “ถูกต้อง แต่หากมันมาล้างแค้น เช่นนั้นก็เพียงข้าคนเดียว ซึ่งนับว่าดีแล้ว”
เหวินหลิงเสวี่ยยิ่งคิดยิ่งกังวล นางสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยคำจริงจัง “พี่เขย เรื่องราววันนี้เป็นเพราะข้าแท้ ๆ ข้าไม่ควรให้ท่านต้องมาเดือดร้อนแทนเลย!”
ใบหน้าอันงดงามของเด็กสาวแสดงความแน่วแน่
“อย่าได้กังวล เรื่องนี้ไม่ร้ายแรงดังที่เจ้าคิด” ซูอี้ยิ้มตอบพลางลูบศีรษะเด็กสาว
เหวินหลิงเสวี่ยฮึมฮัมเล็กน้อย “พี่เขย ข้า…ข้าขอตัวกลับก่อน” กล่าวคำจบ นางพลันหันกลับไปพร้อมเร่งเดินเข้าไปยังจวนหลักของตระกูลเหวิน
ซูอี้ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทางกับภาพตรงหน้า เขาพูดเสียงแผ่วราวกระซิบคำ “เด็กน้อยที่โง่งม ต่อให้ขอบิดาและมารดาเจ้าช่วยเหลือ พวกนั้นก็ไม่คิดสนใจหรอก”
ทันใดนั้นเองที่เขาหัวเราะ ด้วยการได้รับความห่วงหาโดยผู้อื่น มันถือเป็นเรื่องดี!
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในภัตตาคารรวมเซียนวันนี้ สำหรับซูอี้แล้ว จริง ๆ มันไม่มีค่าควรให้กังวลใด ๆ แม้แต่น้อย!
…
“ว่าอะไรนะ!? ตัวเลี้ยงเสียข้าวสุกซูอี้นั่นทุบตีหวงเฉียนจวิน?”
ที่ภายในโถง หลังได้ทราบเรื่องราวจากปากคำของเหวินหลิงเสวี่ย ฉินชิ่งจึงไม่อาจนั่งเฉยได้ ใบหน้าของนางแสดงอาการประหลาดใจออกมา
เช่นเดียวกับเหวินฉางไท่ที่นั่งเคียงข้าง ซึ่งยังแทบไม่เชื่อหูแม้จะได้ยินพร้อมกันก็ตามที
หวงเฉียนจวิน นั่นคือบุตรชายสายตรงของหวงอวิ๋นชง ผู้นำของตระกูลหวง!
“หากไม่ได้พี่เขยช่วยเหลือวันนี้ ข้าคงโดนหวงเฉียนจวินกลั่นแกล้งรังแก นอกจากนี้มันยังกล่าวอีกว่าจะมาที่บ้านเพื่อขอข้าหมั้นหมาย และเมื่อใดตบแต่งแล้ว มันจะดูแลข้าเป็นอย่างดี!”
เหวินหลิงเสวี่ยบอกเล่าเรื่องราวไปด้วย ขณะที่บนใบหน้าเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความโศกศัลย์ “ท่านแม่ เรื่องราวครั้งนี้ ไม่ว่าด้วยอะไรท่านก็ต้องช่วยพี่เขย!”
ฉินชิ่งกัดฟันและเอ่ยคำอย่างกราดเกรี้ยว “ได้ยินมาว่าหวงเฉียนจวินเป็นตัวบัดซบที่เที่ยวสร้างเรื่องราวโฉดชั่วไปทั่ว ไม่นึกเลยว่ามันจะมีความคิดอันโสมมแม้กับบุตรสาวข้า!”
“แต่ว่า…”
ฉินชิ่งกล่าวถึงตรงนี้ หัวคิ้วพลันกลายเป็นขมวดแน่น “ด้วยความสามารถของข้า การคลี่คลายเรื่องราวนี้คงไม่ง่าย… ต้องกล่าวโทษบิดาไร้ประโยชน์เจ้า!” นางหันมองทางเหวินฉางไท่
เหวินฉางไท่ยิ้มขมขื่นตอบรับ ก่อนจะเอ่ยคำกล่าวพึมพำออกมา “เป็นซูอี้ที่ก่อเรื่องราวขึ้น มันเกี่ยวข้องอันใดกับข้าด้วย?”
เหวินหลิงเสวี่ยเร่งร้อนเอ่ยคำ “ท่านแม่ หากท่านไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ข้าก็คงต้องเขียนจดหมายให้พี่หญิงช่วยเหลือ นางตอนนี้คือศิษย์ของตำหนักเทียนหยวน…”
ฉินชิ่งพลันตบต้นขา ดวงตาเกิดประกายขึ้น “ใช่แล้ว สถานะและตัวตนของพี่สาวลูกตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!”
นางเกิดความคิดขึ้นภายในใจบางอย่าง เลยลุกขึ้นและเอ่ยคำ “ข้าต้องไปพบผู้นำตระกูลโดยอ้างนามหลิงเจา ข้าไม่เชื่อว่าผู้นำตระกูลจะเมินเฉยต่อเรื่องนี้!”
เหวินหลิงเสวี่ยที่ได้ยินพลันทำหน้าเบิกบานพร้อมเร่งเร้า “ท่านแม่ช่างหลักแหลม ไปกันเถอะ พวกเรารีบไปกัน!”
“เด็กโง่เอ๋ย เจ้าจงเข้าใจก่อนว่าการที่แม่ทำเช่นนี้ เป็นเพราะแม่ต้องการช่วยลูก ไม่ใช่ช่วยตัวเสียข้าวสุกเช่นซูอี้!” ฉินชิ่งค่อนข้างอารมณ์ไม่ดีจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางจึงได้เอ่ยดักไว้ก่อน
“ข้าเข้าใจ เพราะอย่างไรก็เหมือนกัน!” เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มเบิกบานราวดอกไม้
…
โถงใหญ่บรรพชนตระกูล
“ซูอี้ ตัวบัดซบนี่… เหตุใดมันถึงขั้นทุบตีหวงเฉียนจวินและผู้คุ้มกัน?”
ผู้นำตระกูลเหวินฉางจิ้งถึงกับชะงักงัน ยามได้ทราบจากฉินชิ่งถึงเรื่องราว กระทั่งนึกว่าไม่ใช่เรื่องจริง
“เอ่อ…” อันที่จริงฉินชิ่งเองก็ไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ฟังครั้งแรกเช่นกัน เพราะต้องรู้ว่าซูอี้เขยขยะคนนี้ไม่มีตันเถียน!
“ผู้นำตระกูล เรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไร หลิงเสวี่ยก็ถือว่าถูกหวงเฉียนจวินกลั่นแกล้ง หากมันหาทางล้างแค้น ตระกูลเหวินของเราก็ไม่ควรนิ่งเฉย”
ฉินชิ่งเผยสีหน้าเศร้าโศก “เมื่อครั้งหลิงเจาแต่งกับซูอี้ ก็ทำเอาข้ากล้ำกลืนแทบฆ่าตัวตาย หากหลิงเสวี่ยยังต้องพบเจอเรื่องราวคล้ายกันอีก ข้า…ข้าขอตายดีกว่า!” สิ้นคำ นางพลันยกมือกุมใบหน้าพร้อมร้องไห้
เหวินฉางจิ้งขมวดคิ้ว ครุ่นคิดไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำ “เรื่องนี้ข้าย่อมจัดการ อย่างไรเสียหลิงเสวี่ยก็เป็นคนตระกูลเหวิน ดังนั้นมีหรือที่ข้าจะปล่อยให้ถูกตระกูลหวงรังแกได้ตามอำเภอใจ?”
ฉินชิ่งที่ได้ฟังพลันยินดีและซาบซึ้ง “ได้ฟังคำเช่นนี้ของผู้นำตระกูล ข้าค่อยวางใจ!”
ทว่าเหวินฉางกลับจิ้งส่ายศีรษะ เอ่ยถ้อยคำเฉยชาออกมาเสริมต่อ “อย่าเพิ่งยินดีไป ข้าเพียงกล่าวว่าจะปกป้องหลิงเสวี่ย ไม่ใช่ซูอี้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เขาก็เป็นผู้ก่อปัญหาขึ้น และผลที่ตามมาย่อมตกแก่เขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”
ใจของฉินชิ่งพลันดิ่งฮวบ ความลังเลทำให้นางขยับปากพูดออกมาหมายเกลี้ยกล่อมเปลี่ยนใจคนตรงหน้า “ผู้นำตระกูล หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะซูอี้ หลิงเสวี่ยคงถูกกลั่นแกล้งรังแกไปแล้ว ลอง…”
เหวินฉางจิ้งพลันเอ่ยคำเสียงเย็นเยือกขัดขึ้น “น้องหญิง ข้าจำได้ว่าก่อนหน้าเจ้าเกลียดชังบุตรเขยผู้นี้เป็นที่สุด เหตุใดตอนนี้จึงกล่าวถึงมันในแง่ดีกัน?”
“อย่าได้ลืม หลายวันก่อนหน้านี้บุตรเขยเจ้าหาเรื่องเว่ยเจิงหยางต่อหน้าพวกเราทุกคน เรื่องราวกับนายน้อยเว่ย ข้ายังไม่ได้สะสางเรื่องราว!”
ช่วงท้ายประโยค น้ำเสียงนั้นจริงจังและเปี่ยมด้วยโทสะ
ฉินชิ่งแข็งค้าง ยิ้มอย่างอับจน หากนางพูดกล่าวใดออกไป ก็มีแต่จะถูกเหวินฉางจิ้งขัดเช่นเดิม
“วันมะรืนจะเป็นวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของแม่เฒ่า ข้ายังมีเรื่องราวอื่นต้องทำอีกมาก เจ้าไปก่อน!”
คำดังกล่าวเปรียบดังการสั่งไล่
ฉินชิ่งเลยไม่กล้าอยู่ต่อ จึงกลับไปอย่างเร่งรีบทันที
เมื่อนางกลับมาถึงลานบ้านที่อยู่อาศัย พลันได้เห็นเหวินหลิงเสวี่ยรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านแม่ เป็นอย่างไรบ้าง?” เด็กสาวถามด้วยความคาดหวังเปี่ยมล้น
ฉินชิ่งที่ได้ฟังพยายามฝืนยิ้ม กล่าวคำตอบด้วยน้ำเสียงคลุมเครือเล็กน้อย “ผู้นำตระกูลรับปากจะแทรกแซงเรื่องราวนี้ ดังนั้นมันย่อมไม่เป็นไร หลิงเสวี่ย ลูกกลับไปสำนักดาบซ่งอวิ๋นพรุ่งนี้เช้า พยายามอยู่เฉย ๆ ไว้ หวงเฉียนจวินจะไม่กล้าสร้างปัญหาให้ลูก!”
“ทราบแล้ว! เป็นเรื่องดีจริง พี่เขยจะได้ไม่ต้องพลอยถูกตามล้างแค้นไปด้วย!” เด็กสาวพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดีและตื่นเต้น
ในใจฉินชิ่งพลันรู้สึกผิด ทว่านางทำได้เพียงกล่าวปลอบตนเองอยู่ภายในใจเท่านั้น ‘อย่างไรเสียซูอี้ก็เป็นคนนอก ต่อให้ถูกตระกูลหวงสะสางเรื่องราว ตราบเท่าที่ไม่ตาย ปัญหาก็คงไม่ใช่ใหญ่โต…’
“จริงสิ หลิงเสวี่ย พี่เขยของลูก การบ่มเพาะของเขาฟื้นคืนแล้วหรือ?” ฉินชิ่งพลันนึกเรื่องราวนี้ขึ้นได้
เหวินหลิงเสวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่ทราบ แต่เหล่าผู้เผชิญหน้ากับพี่เขย ผู้คุ้มกันของหวงเฉียนจวินทั้งหมดต่างสิ้นสภาพอย่างง่ายดาย”
กล่าวถึงตรงนี้ประกายในดวงตานางพลันปรากฏขึ้น ภาพฉากซูอี้ลงมือที่ภัตตาคารรวมเซียนผุดปรากฏขึ้นในใจ
ขณะนี้ขอเพียงนางนึกถึง หัวใจก็พลันเต้นระรัวอย่างไม่อาจควบคุม
“แม่มักเห็นเด็กคนนั้นทำหน้าบูดบึ้งอยู่ตลอดเวลาขณะอยู่ในตระกูลเรา เขาแบกรับคำก่นด่าเหยียดหยามมาโดยตลอด แต่มีผู้ใดเคยพบเห็นเขามีโทสะบ้าง?”
“เหมือนดังค่ำคืนที่พี่หญิงของลูกกลับมา เด็กคนนั้นเล่นงานเว่ยเจิงหยางเกือบตายด้วยเพียงไม่กี่ถ้อยคำ มีหรือคนไร้ค่าผู้หนึ่งจะกระทำได้?”
“เมื่อใดมีโอกาส คงต้องสอบถามให้ทราบกระจ่าง!” ฉินชิ่งเผยเสียงขึ้นจมูก ท่าทีกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวของซูอี้
ทว่าเหวินหลิงเสวี่ยที่ได้ยินเพียงเผยยิ้มบาง กล่าวคำออกมาจากใจว่า “พี่เขยของเหวินหลิงเสวี่ย ย่อมต้องแข็งแกร่งอยู่แล้ว!”
…
เมืองกว่างหลิง ตระกูลหวง
ภายในโถงอันงดงาม ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอึมครึมชวนหมองหม่น
หวงเฉียนจวินคุกเข่ากับพื้น เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ท่านพ่อ ลูกทราบความผิดแล้ว ลูกยินดียอมรับการลงโทษ นับจากนี้จะบ่มเพาะให้หนัก ภายหน้าข้าจะหาทางล้างแค้นเรื่องราววันนี้สิบหรือร้อยเท่า!”
ณ ใจกลางห้องโถง ผู้นำตระกูลหวงอวิ๋นชงที่นั่งอยู่เผยสีหน้าเรียบเฉยและเงียบงัน
กลิ่นอายตัวตนของเขาสูงตระหง่านและลึกล้ำ สวมใส่ชุดคลุมยาวสีดำ แขนเสื้อโปร่งกว้าง สภาวะรอบกายให้ความรู้สึกคล้ายห้วงทะเลลึกสุดหยั่ง เพียงนั่งท่าทางสบาย ก็เปรียบได้ดังมังกรและพยัคฆ์
บรรยากาศภายในโถงยิ่งนานยิ่งหมองหม่น เป็นผลให้หวงเฉียนจวินแทบหายใจไม่ออก
ผ่านไปชั่วครู่ หวงอวิ๋นชงพลันลุกขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ดี! ลูกพ่อมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ดีแล้ว ความมุ่งมั่นเช่นนี้จะทำให้เจ้าเป็นใหญ่ในอนาคต! ลุกขึ้น วันพรุ่งนี้พ่อจะไปพบซูอี้เพื่อพูดถึงเรื่องนี้ที่ภัตตาคารรวมเซียนเอง!”
หวงเฉียนจวินเกิดร้อนใจ “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงคิดไปพบด้วยตนเองกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้?”
หวงอวิ๋นชงก้าวเดินออก พยุงตัวบุตรชายลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะเอ่ยคำ “ลูกไม่เข้าใจ ทุบตีสุนัขย่อมต้องพบเจอเจ้าของ โดยเฉพาะกับลูกที่เป็นบุตรของหวงอวิ๋นชงยิ่งแล้วใหญ่!”
ดวงตาและน้ำเสียงนั้นแสดงความเย็นเยียบอันเด่นชัด “อาศัยเรื่องราวนี้ พ่อจะทำให้ผู้คนในเมืองกว่างหลิงได้ทราบว่าการย้อนเกล็ดหวงอวิ๋นชงนั้น หากมีผู้ใดกล้าดี มันจะต้องพบเจอจุดจบเช่นเดียวกับซูอี้!”
หวงเฉียนจวินเกิดประหลาดใจและยินดี “ท่านพ่อ ท่าน… วางแผนไปสังหารมันด้วยตนเองหรือ?”
“สังหารมัน? ไม่ใช่ แต่คิดทำให้มันถูกเหยียดหยามจนตาย ไว้พรุ่งนี้ลูกจะได้ทราบเอง!”
น้ำเสียงของหวงอวิ๋นชงราวกับกล่าวถึงเรื่องราวทั่วไป ประหนึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิต
…
ตรงหน้าโต๊ะริมหน้าต่าง
ซูอี้นั่งอยู่ตรงหน้า ตวัดพู่กันละเลงหมึกทีละเส้น อักษรข้อความอันงดงามเริ่มปรากฏบนผืนกระดาษ
จนกระทั่งฟ้ามืดลง ซูอี้ค่อยเก็บพู่กัน รวมถึงกองกระดาษคัดลายมือหนาเตอะกองไว้บนโต๊ะ
“รอคอยพรุ่งนี้เช้า ค่อยมอบเคล็ดการหายใจนี้แก่หลิงเสวี่ย” ซูอี้พึมพำกับตนเอง
วันนี้เป็นวันเกิดเหวินหลิงเสวี่ยที่อายุครบสิบหกปี แต่เพราะความประมาทของตนเอง เขาจึงลืมเตรียมของขวัญเอาไว้
ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะมอบเป็นของขวัญให้เหวินหลิงเสวี่ย
กระนั้นซูอี้หาได้คาดคิดไม่… ว่าขณะไปพบเหวินหลิงเสวี่ยช่วงเช้าตรู่วันใหม่ หญิงรับใช้กลับกล่าวบอกว่าเหวินหลิงเสวี่ยเดินทางกลับไปฝึกฝนที่สำนักดาบซ่งอวิ๋นก่อนแล้ว
“วันพรุ่งนี้ครบรอบวันเกิดอายุแปดสิบของแม่เฒ่าตระกูลเหวิน หลิงเสวี่ยน่าจะกลับมา มันไม่สายเกินไปหากจะส่งของขวัญ!” ซูอี้ได้แต่ส่ายศีรษะก่อนจะเดินออกจากจวนตระกูลเหวิน
ช่วงหลายวันมานี้ เขามักไปยัง ‘จุดบ่มเพาะประจำ’ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำต้าฉางในทุกเช้าเพื่อฝึกฝน
วันนี้ก็ไม่ยกเว้น
ช่วงครึ่งก้านธูป*[1]ก่อนเที่ยง ซูอี้กลับจากภายนอกเมืองมายังจวนตระกูลเหวิน
“ในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ ค่อยไปรักษาเซียวเทียนเชวี่ย ส่วนเรื่องการทะลวง… หืม?”
ระหว่างทาง ซูอี้ที่ครุ่นคิดกับตนเอง ฝีเท้าพลันหยุด ราวกับตระหนักถึงบางสิ่ง สายตาเขามองออกไปตรงหน้าไม่ไกล
“คุณชายซู นายท่านของข้าให้มาเรียนเชิญท่าน!”
บนถนนที่ไม่ไกลห่าง ชายชราร่างสูงชะลูดในชุดดำมาพร้อมกลุ่มคน ทำการปิดขวางเส้นทางซูอี้เอาไว้
[1] หนึ่งก้านธูปเท่ากับ ครึ่งชั่วโมง ครึ่งก้านธูปจึงเท่ากับ 15 นาที