บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 120 กำจัดหนึ่งศัตรู ดื่มด่ำหนึ่งจอกสุรา
ในหัวใจของหลิวอิ๋งและคนอื่น ๆ โจวฮวายชิวเป็นดั่งที่พึ่งของพวกเขา
ดังนั้น หลังจากรับรู้ถึงความผิดปกติ นางจึงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังโจวฮวายชิวและยังคงยั่วยุอีกฝ่ายต่อไป โดยพยายามยืมมือโจวฮวายชิวในการกดดันซูอี้
ใครจะคาดคิด ผู้เฒ่าดาบยอดเขาขจีที่มีอำนาจเหลือล้น กลับอ่อนแอยิ่งกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้!
รับชมโจวฮวายชิวถูกกระแทกจนบินออกไป หลิวอิ๋งและคนอื่นต่างก็ตกตะลึง
เป็นไปได้อย่างไร?
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซูอี้กลายเป็นคนน่ากลัวถึงเพียงนี้?
ความสงสัยนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในจิตใจราวกับฟ้าร้อง ซึ่งส่งผลให้ร่างกายพวกเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าถอดสี
ตุบ!
หลิวอิ๋งเป็นคนแรกที่ทรุดตัวลงคุกเข่า ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “ศ…ศิษย์น้องซู ข…ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรรังแกศิษย์น้องเสี่ยวเหวินในตอนนั้น จนเป็นเหตุให้นางจบชีวิตลงด้วยความเกลียดชัง ข้าไม่ควรใส่ร้ายความตายของนางว่าเป็นความผิดเจ้า ข้า…”
ก่อนจะพูดจบ นางรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ ศีรษะกระเด็นขึ้นไปในอากาศ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง สีหน้าตื่นตระหนกและไม่อาจยอมรับความตาย
ร่างบางล้มพับแผ่วเบา เลือดข้นไหลทะลักออกเต็มพื้น
“ศิษย์น้องเสี่ยวเหวินมีนิสัยขี้อายและจิตใจดี นางไม่เคยสร้างความขุ่นเคืองแก่เจ้า แต่เจ้ากลับทำให้ศิษย์น้องเสี่ยวเหวินอับอาย ทั้งยังรังแกด้วยทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ เพียงเพราะว่าความก้าวหน้าในการฝึกฝนของนางรวดเร็วกว่า คนชั่วช้าสามานย์เช่นเจ้าสมควรตายแล้ว…”
ซูอี้พึมพำแผ่วเบา สิ้นเสียง เขาหยิบจอกสุราขึ้นดื่ม
ย้อนกลับไปยังสำนักดาบชิงเหอ เขา เฝิงเสี่ยวเฟิง และถงเสี่ยวเหวินต่างเป็นสหายที่ดีต่อกัน
หลังจากถงเสี่ยวเหวินฆ่าตัวตาย หลิวอิ๋งเผยแพร่ข่าวลือว่า ซูอี้ที่กำลังสับสนจากการถูกทอดทิ้ง ได้เล่นกับความรู้สึกของถงเสี่ยวเหวิน เป็นเหตุให้หญิงสาวแสนขี้อายนางนี้คิดจบชีวิตตัวเอง
ที่น่าขบขันกว่า ในตอนนั้นมีหลายคนที่หลงเชื่อ!
“ขืนรออยู่ต่อไปมันฆ่าเราหมดแน่ พวกเราออกไปสู้กับมัน!”
ทันใดนั้น หยางฉีตะโกนและพุ่งตัวเข้าหาซูอี้อย่างบ้าคลั่ง
แต่ขณะที่ร่างของเขาพุ่งไปได้ครึ่งทาง ลำคอถูกคมดาบกวาดออกในแนวนอน ศีรษะทะยานขึ้นไปในอากาศ สายเลือดไหลทะลักราวกับเขื่อนถล่ม
“ในตอนนั้น ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นขัดเกลาภายใน เพียงเพราะข้าเอาชนะเจ้าในการประลอง เจ้าเกิดขุ่นเคืองและยุยงคนรับใช้ของสำนักให้วางยาพิษในอาหารข้า หากไม่ใช่เพราะคนรับใช้ผู้นั้นเผยท่าทีผิดปกติ เจ้าคงทำสำเร็จแล้ว”
ดวงตาซูอี้เย็นชา ถ้อยคำก้องกังวานในโถงนองเลือดอันเงียบสงบนี้
“ไป!”
“รีบหนี!”
จางเฟิงถูเป็นคนเดียวที่ยังนิ่งค้าง ขณะที่เจิ้งเซียวหลินและฉู่เหลียนเหิงตื่นตระหนกพร้อมวิ่งหนีไปทางประตู
พวกเขาต่างก็หวาดกลัวกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
แน่นอน ซูอี้ไม่ยอมให้พวกเขาหนีไปได้ เท้าก้าวไปด้านหน้า ดาบบงการฟ้าดินฟาดฟันออกไปสามครั้งท่ามกลางเสียงแหวกอากาศดังชัดเจน
แต่ละดาบรวดเร็วอย่างยิ่ง
แลเห็นศีรษะทะยานขึ้นไปในอากาศ ก่อนร่างทั้งสามล้มพับลงพื้นทีละคน ขณะเลือดไหลอาบพรมสีแดงกลางโถง
“พวกเจ้าทั้งสาม ต่างก็มีความผิดอันน่าสะอิดสะเอียนของตัวเอง แม้ตายก็ไม่น่าเสียดาย”
ซูอี้ยืนนิ่ง สายตาจับจ้องเย็นชา
จนถึงตอนนี้ ศัตรูทั้งเจ็ดในอดีตถูกฆ่าตาย ศีรษะถูกสะบั้น ร่างไร้วิญญาณนอนกลาดเกลื่อนบนพื้น!
โจวฮวายชิวทรุดตัวลงพื้น ใบหน้าชาและเย็นเยียบ
ทั้งหนีเฮ่าและหนานอิ่งต่างตกใจจนแข็งค้าง ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ท่าทีเผยความตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
กรึบ!
ซูอี้เก็บดาบลงฝัก เดินกลับไปยังที่นั่งและดื่มสุราติดกันสี่จอก
สุราทุกจอกที่ลงคอไป เปรียบเสมือนการยุติความคับข้องใจและความแค้นเคืองในอดีต
เมื่อยกจอกดื่มจนหมด ซูอี้รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
กำจัดหนึ่งศัตรู ดื่มด่ำหนึ่งจอกสุรา
บุรุษควรเป็นเช่นนี้!
แลเห็นซูอี้หยิบไหสุราเทลงจอกอีกครั้ง หนานอิ่งหวาดผวาจนร่างกายสั่นสะท้าน
นางกล่าวถ้อยติดขัด “ศ…ศิษย์พี่ซูอี้ เราเพียงมาที่นี่เพื่อจัดงานเลี้ยง ไม่ได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับเจ้า”
หนีเฮ่าตกใจเช่นกัน ถ้อยคำตื่นตระหนักกล่าวออก “ซูอี้ เจ้าคิดทำอะไร? ฆ่าคนไปมากมายเพียงนี้ยังไม่พอใจอีกหรือ?”
ก่อนหน้านี้ ซูอี้ดื่มสุราเจ็ดจอก และฆ่าคนเจ็ดคนด้วยเจ็ดดาบ พวกเขาต่างประจักษ์สิ่งเหล่านั้นด้วยสายตา
ครั้งเห็นว่าซูอี้ยังคงเทสุราต่อ พวกเขาจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร?
แม้แต่ดวงตาโจวฮวายชิวก็หดลีบลง เขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก ถ้อยคำกล่าวออก “แม้ฆ่าเราเพื่อปิดปาก เรื่องราวนี้ก็ย่อมแพร่กระจายออกไป สำนักดาบชิงเหอไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่! อีกทั้งกองกำลังเบื้องหลังศิษย์เจ็ดคนที่ถูกสังหาร พวกเขาจะไม่มีวันเมินเฉยเรื่องนี้!”
โจวฮวายชิว สูดลมหายใจเขามองซูอี้พลางกล่าวออกต่อ “ก่อนเจ้าเริ่มลงมืออีกครั้ง ข้าขอถามบางอย่างให้หายแคลงใจก่อนตายได้หรือไม่?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวตอบ “ในสายตาของโจวฮวายชิว ซูอี้เป็นคนประเภทที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกปฏิบัติงั้นหรือ?”
รับฟังคำพูดนี้ โจวฮวายชิวอดไม่ได้จะตกตะลึง “เจ้าไม่คิดฆ่าพวกเรางั้นหรือ?”
ซูอี้หยิบจอกสุราขึ้นดื่มโดยไร้คำอธิบายใด
หนานอิ่งและหนีเฮ่าพลันตื่นเต้นและโล่งอก
“กลายเป็นความเข้าใจผิด ข้าทราบดีว่าเพราะความคับข้องใจ ศิษย์พี่ซูจึงได้ทำเรื่องแบบนี้!”
หนานอิ่งกล่าวออกด้วยท่าทีดีใจ
หนีเฮ่าพูดขึ้นด้วยท่าทีอันซับซ้อน “ซูอี้ เจ้าไม่กลัวการแก้แค้นเลยหรือ?”
ซูอี้ยังคงเฉยเมยและไม่คิดอธิบายสิ่งใด เขาชี้ไปทางประตูพร้อมกล่าวออก “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
ท่าทีเฉยเมยนี้ ทำให้หนีเฮ่าไม่กล้าแม้แต่จะโกรธเคือง
เขาส่ายศีรษะอย่างขมขื่น ลุกขึ้นและเดินไปยังประตู พร้อมกับความคิดอันฟุ้งซ่าน
ในเวลานี้ เขารับรู้อย่างชัดเจนว่าความแตกต่างคืออะไร
ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่า ในสายตาของซูอี้ เขาเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กที่ไม่คุ้มค่าให้ความใส่ใจอย่างสมบูรณ์!
หนานอิ่งลุกขึ้นยืนและจากไปอย่างรวดเร็ว
นางไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป และจะไม่มีวันกลับมายังชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์อีกครั้งในชีวิตนี้
ครั้งเดินออกไป ความสำนึกผิดผุดขึ้นในหัวใจอย่างไม่สามารถควบคุม หวนย้อนกลับไปในอดีต สายตาคู่นี้ช่างตื้นเขินนัก ในเวลานั้นนางผลักไสซูอี้ออกไปได้อย่างไร?
โจวฮวายชิวลังเลที่จะกล่าวออก ในที่สุดก็ถอนหายใจและหันหลังออกไป แผ่นหลังของเขาช่างเปล่าเปลี่ยวในเวลานี้
สิ่งที่ได้ประสบพบเจอ ส่งผลกระทบกระเทือนต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังคลางแคลงใจ แต่ทราบดีว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับคำตอบจากซูอี้อีกต่อไป
หลังจากค่ำคืนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซูอี้แตกสลายอย่างสมบูรณ์
ไม่ช้า เหลือเพียงซูอี้และหวงเฉียนจวินเท่านั้นที่ยังอยู่ในโถงธารคีรี
“พี่ซู เราจะทำอย่างไรต่อไป?” หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
เขามีลางสังหรณ์ว่า ข่าวคราวสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะก่อให้เกิดพายุขนาดใหญ่เป็นแน่!
“รอให้พายุมาถึง”
ซูอี้ลุกขึ้น วางมือไพล่หลังและเดินออกจากโถงธารคีรี
หวงเฉียนจวินรีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเดินออกจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ มาถึงถนนอันสว่างไสวที่มีผู้คนพลุกพล่าน
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนชั้นเก้าของโถงธารคีรีเมื่อครู่ จะไม่ได้ส่งผลใดต่อโลกภายนอก
ทว่าภายใต้พื้นผิวอันเงียบสงบ คลื่นใต้น้ำใกล้จะกำลังคลุ้มคลั่ง!
โถงธารคีรี
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นปิดจมูก กลิ่นคาวเลือดอบอวลชวนคลื่นเหียน
ร่างงามสง่าของนางสั่นไหวเล็กน้อย ใบหน้าอันงดงามเผยความลำบากใจ ขณะนี้นางเวียนศีรษะอย่างมาก
“ข้าคิดว่าเมื่อมีโจวฮวายชิวอยู่ที่นี่ เรื่องราวอาจไม่กลายเป็นเช่นนี้ ใครจะคาดคิด เจ้าเด็กชั่วร้ายนั่นจะโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง…”
“ในอนาคต ใครกันจะกล้าจัดงานเลี้ยงในโถงธารคีรีของข้าอีก?”
“เฮ้อ!”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นหันหลังเดินออกจากโถงธารคีรี ริมฝีปากสีกุหลาบถอนหายใจแผ่วเบา
นางรู้ดีแก่ใจ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิดเรื่องราวค่ำคืนนี้!
“เอาล่ะ ทำความสะอาดโถงธารคีรี เปลี่ยนเครื่องเรือนและของตกแต่งทั้งหมด”
ผ่านไปนาน นายหญิงชุ่ยอวิ๋นก็สงบสติอารมณ์และออกคำสั่ง
“ไม่รู้เลยว่าเจ้าคนร้ายนี้จะเผชิญหน้ากับพายุลูกต่อไปอย่างไร… เฮ้อ ลืมมันเสีย เมื่อเทพเซียนต่อสู้กัน มนุษย์รังแต่จะต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวเรื่องราวพวกนี้ เพียงหวังว่าเจ้าคนร้ายนั่นจะไม่มาภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ของข้าอีกในอนาคต…”
นายหญิงชุ่ยอวิ๋นหันหลังเดินจากไปด้วยความขุ่นเคือง
ภายในห้องส่วนตัวที่ชั้นหนึ่งของภัตตาคาร
“อาหย่ง ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในโถงธารคีรี พี่ชายและข้าจะกลับบ้านก่อน แล้วจะรอฟังข่าวจากท่าน”
หลังจากรับชมซูอี้และหวงเฉียนจวินออกจากภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ หยวนลั่วซีก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ถ้อยคำชัดเจนถูกกล่าวออก
“ตกลง”
เฉิงอู้หย่งพยักหน้าเห็นด้วย
ในความเป็นจริง แม้โจวฮวายชิว หนีเฮ่า และหนานอิ่งจะมายังภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ทว่าเฉิงอู้หย่งมั่นใจว่าเฉียนอวิ๋นจิวและคนอื่นไม่มีทางรอดออกไปเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในคืนนี้เกิดการนองเลือดมากเกินไป โจวฮวายชิวและคนอื่นจึงไม่อาจปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่ความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“กองกำลังเบื้องหลังคนหนุ่มสาวทั้งเจ็ดไม่ยากเกินกว่าจะจัดการ ทว่าสำนักดาบชิงเหอคงไม่ปล่อยไปโดยง่าย…”
เฉิงอู้หย่งลอบพูดในใจ “อย่างไรก็ตาม การที่คุณชายซูกล้าลงมือเช่นนี้ เขาคงไม่ได้สนใจต่อการคุกคามของสำนักดาบชิงเหอ”
ขณะที่ครุ่นคิด เขาก็ก้าวออกไปด้านหน้าแล้ว
…
จวนผู้ว่า
ห้องทำงาน
ฉินเหวินเยวียนไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง ขณะที่อีกข้างกำลังถือพู่กันจุ่มลงหมึกดำ ฝึกการประดิษฐ์ตัวอักษรบนม้วนกระดาษขาว
ลายลักษณ์แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า หนักแน่นเหมือนขุนเขา เพียงมองปราดเดียวก็ให้ความรู้สึกอันบีบคั้นหัวใจ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างฉับพลัน
“เข้ามา”
ฉินเหวินเยวียนไม่ได้เงยหน้ามอง พู่กันในมือตวัดเขียนคำสุดท้าย
แลเห็นข้อความในกระดาษขาวว่า ‘โชคชะตาไม่อาจทำนาย หวั่นเกรงเทวาลัยไร้เที่ยงธรรม’
ฉินเหวินเยวียนยกพู่กันออก จ้องมองประโยคครู่หนึ่งก่อนกล่าวคำเบา “ทุกสิ่งอย่างไม่สามารถเป็นไปตามต้องการ เหลือช่องว่างสำหรับหนึ่งบรรทัด และมันจะคงอยู่ตลอดไป”
จากนั้นเขาจึงหันมองชายชราชุดดำที่เดินเข้ามาในห้องศึกษา ถ้อยคำกล่าวออก “มีข่าวอะไรหรือไม่?”
“มีขอรับ”
ชายชราชุดดำพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว “เมื่อครู่ คนของเรารายงานเข้ามาว่า ซูอี้สังหารศิษย์สำนักดาบชิงเหอเจ็ดคน รวมถึงเฉียนอวิ๋นจิวและฮัวหลงในโถงธารคีรีบนชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์…”
ฉินเหวินเยวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย “ชั้นเก้า?”
“ขอรับ”
ชายชราชุดดำกล่าวออกอย่างรวดเร็ว “คนของเราพยายามค้นหาด้วยว่า เหตุใดซูอี้จึงสามารถจัดงานเลี้ยงบนชั้นเก้าได้ ทว่าลูกน้องของนายหญิงชุ่ยอวิ๋นไม่ยอมปริปากเลย”
ฉินเหวินเยวียนถามอีกครั้ง “ซูอี้สังหารคนในโถงธารคีรี แล้วภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์จัดการเขาอย่างไร?”
“เพียงหลีกทางให้ และปล่อยซูอี้กับหวงเฉียนจวินออกไป”
ชายชราชุดดำกล่าวออกคำเบา “ผู้น้อยเฒ่าชราคิดว่า จะต้องมีผู้ทรงอำนาจอื่นแอบแฝงในเหตุการณ์นี้!”
ฉินเหวินเยวียนเพียงกล่าวออก “นี่เป็นเรื่องปกติ นายหญิงชุ่ยอวิ๋นเป็นคนฉลาดและเท่าทันสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ไม่มีผู้ทรงอำนาจที่ยิ่งใหญ่คนใดอยู่เบื้องหลังนาง ทว่านางมีพี่ชายที่เป็นผู้อาวุโสอันดับห้าในตำหนักเทียนหยวน และนี่ก็เป็นภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ของนางเองด้วย ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุผลที่นางยืนหยัดได้จวบจนทุกวันนี้โดยไม่มีใครกล้าสร้างความขุ่นเคือง…”
“แต่ตัวตนเช่นนั้น กลับไม่กล้าเอาผิดกับการฆาตกรรมของซูอี้ในโถงธารคีรี มันผิดปกติเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ฉินเหวินเยวียนกล่าวออก ดวงตาสองเปล่งประกาย “ดูเหมือนว่าจะต้องหาโอกาสไปพบนายหญิงชุ่ยอวิ๋นด้วยตัวเองแล้ว”
เหตุการณ์นี้ ทำให้เขายืนยันการคาดเดาครั้งก่อน โดยตระหนักได้ว่าเรื่องราวของซูอี้นั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง!
“นายท่าน บางทีอาจไม่ต้องลำบากถึงเพียงนั้น ยังมีโจวฮวายชิว หนีเฮ่า และหนานอิ่งเข้าร่วมงานเลี้ยงในโถงธารคีรี ข้าได้ส่งคนติดต่อพวกเขาให้มาคุยแล้ว”
ชายชราชุดดำกล่าวออกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฉินเหวินเยวียนพยักหน้า ถ้อยคำชื่นชมกล่าวออก “เจ้าทำได้ดีมาก”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงรายงานดังขึ้นจากนอกห้องศึกษา
“นายท่าน นายน้อยหนีเฮ่ามาถึงพร้อมกับคนของเราแล้วขอรับ”