บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1200: ถามใจ
ตอนที่ 1200: ถามใจ
ใต้ท้องฟ้ากว้าง เมฆอัสนีสีม่วงม้วนตัว
วิหารสำริดงดงามตั้งตระหง่านอยู่บนเมฆอัสนี กลิ่นอายอันเป็นนิรันดร์ตลบอบอวลไปทั่ว
ชายชุดดำ ไรผมสองข้างขาวโพลน ยังคงนั่งอยู่หน้าวิหารสำริด
ตรงหน้าเขา ม่านแสงส่องประกาย ปรากฏภาพของซูอี้ที่กำลังโดนเพชฌฆาตทั้งหกคนปิดล้อม
จนกระทั่งมองเห็นร่างของซูอี้หายวับไป ชายชุดดำจึงถอนใจออกมายาว ๆ และกล่าวกับตัวเอง “ไม่นึกเลยว่า ไพ่ใบสุดท้ายที่เขาครอบครองจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้…”
ชายชุดดำตกอยู่ในภวังค์ความคิด
แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้น จากนั้นก็หายวับไป
…
ณ ยอดเขาสีดำแห่งหนึ่ง
ละอองเลือดฟุ้งกระจาย
ผู้เฒ่าผู้มีร่างกายผ่ายผอมในชุดผ้ากระสอบนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ริมหน้าผาของยอดเขา สำรับดาบโลหิตถูกวางลงตรงหน้า
สายตาของเขาทอดมองออกไปไกล บนใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวันเวลา
คิ้วของเขาขมวดแน่นราวกับกำลังเจอปัญหายากที่ไม่อาจเข้าใจได้
“ไม่เข้าใจเช่นนั้นหรือ?”
ชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ”
หัวคิ้วที่ขมวดแน่นของผู้เฒ่าคลายปม ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพียงแค่ผู้ขัดเกลาได้รับบาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบุกฝ่าหนทางแห่งการทดสอบ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ชายชุดดำร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง “ข้าไม่คิดเช่นนั้น การต่อสู้เมื่อสักครู่ เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้เลย แค่ความสามารถของเขา ก็สามารถมุ่งตรงไปยังหนทางแห่งการทดสอบได้ในทันที แต่…”
“แต่เขากลับเลือกที่จะอยู่ต่อ ต่อสู้ฆ่าฟันกับเพชฌฆาตเหล่านั้น เพราะเหตุใด?”
สายตาของผู้เฒ่าราบเรียบ และไม่เอ่ยคำอีก
ชายชุดดำหัวเราะขึ้นมา “เจ้าคงจะมองออกตั้งนานแล้ว เขากำลังใช้โอกาสจากการต่อสู้นี้เพื่อขัดเกลาระดับวิถีในตัว จุดมุ่งหมายที่ทำเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับการพิสูจน์เต๋าราชันแห่งภูมิอย่างแน่นอน”
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “เจ้าต้องการจะบอกอะไรกันแน่?”
ชายชุดดำลังเลสักครู่ เขาหุบรอยยิ้มลง ก่อนกล่าว “หยุดให้ทันการณ์ คอยดูความเปลี่ยนแปลง”
ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาจ้องมองไปยังชายชุดดำที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก “ข้าเคยอนุญาตให้พวกของจินซื่อลงมือจัดการผู้ขัดเกลาคนนั้นหรือ?”
ชายชุดดำนวดแก้มพลางถอนใจเบา ๆ “เจ้าไม่ซักถาม สำหรับเพชฌฆาตเหล่านั้นแล้วถือเป็นการอนุญาตอีกแบบหนึ่ง”
ผู้เฒ่าไม่สนใจ และถามต่ออีก “ข้าเคยกระทำผิดกฎของท่านมหาเทพเช่นนั้นหรือ?”
ผู้ชายในชุดสีดำขมวดคิ้วน้อย ๆ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ในสายตาของเรา สามารถทำได้หลายอย่างภายใต้กฎระเบียบ ไม่จำเป็นต้องทำผิดกฎเลยสักนิด”
ผู้เฒ่าก้มหน้ามองสำรับดาบโลหิตที่วางอยู่ตรงหน้า กล่าว “ข้าก็จะมอบประโยคหนึ่งให้เจ้า เรื่องทั้งหมด ทำตามกฏระเบียบที่ท่านมหาเทพตั้งไว้”
ชายชุดดำนิ่งเงียบไปในทันใด
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “ดี!”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป
จนกระทั่งร่างของชายชุดดำเลือนหายไปแล้ว ผู้เฒ่าลูบสำรับดาบโลหิตใบนั้นเบา ๆ พลางกล่าวขึ้นมา “ข้าหวังเพียงแค่ว่า อย่าให้ข้าต้องชักดาบฟาดฟันกับเจ้าเลย”
…
หนทางแห่งการทดสอบ
เมื่อซูอี้ปรากฏตัวขึ้นในที่แห่งนี้ เขาจึงพบว่าตัวเองยืนอยู่ในหมู่ดาราที่ลึกลับ
หมู่ดารากว้างใหญ่ไพศาล วังเวงและเย็นเยือก
หนทางที่ปูด้วยรุ้งทิพย์มหาวิถีเชื่อมต่อไปยังที่ที่ห่างไกล
เมื่อชายหนุ่มมองดูรอบด้าน ดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลังเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล
“แดนดินที่สร้างขึ้นจากพลังกฎเกณฑ์”
เพียงแค่แวบมองซูอี้ก็เข้าใจลักษณะของหนทางแห่งการทดสอบนี้
ในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว มีด่านทดสอบเพื่อคัดเลือกผู้สืบทอดที่เก่งที่สุดเช่นนี้อยู่ไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าหนทางแห่งการทดสอบที่บุกเบิกในหมู่ดาราตรงหน้าเส้นนี้ก็เป็นดังที่กล่าวมาเช่นกัน
ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว หนทางแห่งการทดสอบเส้นนี้ค่อนข้างแปลกพิสดาร เห็นได้ชัดว่าประกอบขึ้นจากพลังปราณมารดาฟ้าดินของภูมิดาราแห่งนี้!
ซูอี้หยิบขวดโอสถออกมา จากนั้นกรอกยาทั้งหมดเข้าปาก
จากนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงรอยบาดแผลบนตัวและพลังการฝึกตนที่ใกล้จะแห้งเหือดลง คิ้วเข้มจึงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
แต่ก็เป็นเพราะศึกใหญ่เมื่อก่อนหน้านี้เช่นกัน ที่ทำให้ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาถูกขุดออกมา
เวลานี้ศักยภาพเหล่านั้นกลายเป็นพลังชีวิตอันบริสุทธิ์เข้มข้นกำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง
เมื่อพลังของโอสถที่กินเข้าไปแผ่กระจาย บาดแผลบนตัวเขาก็กำลังสมานอย่างรวดเร็วจนน่าตะลึง
ตู้ม!
ทันใดนั้น เสียงกลองก็ดังขึ้นอย่างประหลาด
ชั่วขณะนั้น หมู่ดาราที่วังเวงแห่งนี้พลันสั่นไหว หนทางแห่งการทดสอบใต้ฝ่าเท้าก็พลอยสั่นสะเทือนไปด้วย สะเก็ดแสงที่คล้ายกับเซียนน้อยโบยบินปรากฏขึ้นเป็นระลอกราวกับความฝัน
“ผู้ขัดเกลา ด่านแรกนี้มีชื่อว่าถามใจ หมายความว่าสอบถามถึงสภาพจิตใจ”
นกกระจอกปีกงดงามตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
มันคือนกกระจอกที่กลายร่างจากพลังกฎเกณฑ์ที่ซูอี้เคยพบเจอเมื่อก่อนหน้านี้ตัวนั้น
“หากยืนหยัดได้ไม่ถึงครึ่งเค่อ จะถูกตัดสิทธิ์”
เสียงของนกกระจอกยังคงไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม “ผู้ที่สามารถยืนหยัดได้นานหนึ่งก้านธูป จะมีชื่อติดบน ‘ศิลาถามใจ’”
พูดจบ สะเก็ดแสงโบยบินที่ห่างไกลออกไปพลันส่องประกาย รวมตัวกันเป็นศิลาหินทรงโบราณ
บนศิลาหินมีชื่อปรากฏขึ้นมาทีละคน แต่ถูกไอหมอกบดบัง จนมองไม่เห็นว่ารายชื่อเหล่านั้นคือใครบ้าง
นี่ก็คือศิลาถามใจอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ยิ่งยืนหยัดได้นาน ชื่อจะยิ่งปรากฏอยู่สูงบนศิลาถามใจ หลังจากผ่านพ้นหนทางแห่งการทดสอบไปได้แล้ว โอกาสที่จะได้รับก็จะยิ่งมีมาก”
“ในจำนวนนี้ ผู้มีรายชื่อติดสามอันดับแรก จะได้รับรางวัลจากท่านมหาเทพเป็นการพิเศษ”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ การทดสอบผ่านด่านเช่นนี้ เขาเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าแปลกอีก
“รางวัลที่ว่าเหล่านั้นคืออะไรหรือ?”
ซูอี้ถามด้วยความอยากรู้
นกกระจอกกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “เมื่อเจ้ามีโอกาสติดสามอันดับแรกแล้วก็จะรู้ได้เอง”
ซูอี้กล่าวพลางลูบจมูกตัวเอง “ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มกันเลย”
นกกระจอกวิญญาณกระพือปีกเบา ๆ
ตู้ม!!
เสียงกลองดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง ราวกับเสียงมหาวิถีโบราณกำลังส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วหมู่ดาราแห่งนี้
ชั่วครู่เดียว สภาวะจิตของซูอี้ก็สั่นสะเทือน
รู้สึกคล้ายกับว่ามีคลื่นใหญ่ถาโถมซัดกระหน่ำจากแปดทิศทางรอบสี่ด้าน กระแทกชนสภาวะจิตของตัวเองอย่างแรง
นั่นคือพลังกฎเกณฑ์ที่ไร้รูปร่าง ซึ่งใช้สำหรับทดสอบสภาวะจิตเฉพาะ มันมีความน่ากลัวอย่างที่สุด เพราะสามารถกระทบกระเทือนไปถึงจิตวิถีได้ง่าย ๆ และล่วงล้ำไปถึงจิตวิญญาณของผู้ฝึกตน!
ทว่าการจู่โจมเช่นนี้ สำหรับซูอี้แล้ว เหมือนกับลมที่พัดผ่านอย่างแผ่วเบา
เมื่อเขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออก สภาวะจิตว่างเปล่า ก็ไม่รับรู้ถึงผลกระทบอันใดอีก
ดุจดังหินโสโครกริมหน้าผา ไม่ว่าจะโดนลมกระหน่ำหรือถูกคลื่นซัดก็ไม่มีวันสั่นคลอน!
ตึง! ตึง! ตึง!
ในช่วงเวลาถัดมา เสียงกลองก็ดังขึ้นไม่ขาด
พลังกฎเกณฑ์ที่ไร้รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ประเดี๋ยวกลายเป็นสายฟ้าฟาดที่รุนแรง ประเดี๋ยวกลายเป็นทะเลเพลิงอันเร่าร้อน ประเดี๋ยวกลายเป็นพายุโหมกระหน่ำทั่วฟ้าดิน กระแทกสภาพจิตใจของซูอี้อยู่ไม่ขาด
พลังเช่นนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ น่ากลัวมากขึ้นทุกที
ซูอี้ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ทว่ารู้สึกเบื่อหน่ายมาก ๆ
หากพูดถึงความแข็งแกร่งของสภาพจิตใจ เขาผู้มีประสบการณ์มาสามโลกแล้ว สามารถเชิดหน้ามองดูทุกคนในมหาแดนดิน และทำให้ราชันแห่งภูมิของห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านั้นต้องอับอาย!
กับการทดสอบเช่นนี้ บางทีอาจจะทำให้สภาพจิตใจของผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ เกิดความว้าวุ่นจนส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณได้
ทว่าในสายตาของซูอี้แล้ว กลับไม่มีผลอันใดแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่กระทบกระเทือนต่อจิตวิถีของเขาเลย แม้กระทั่งรบกวนก็ยังไม่รู้สึก มองเห็นเป็นแค่เงาราง ๆ เหมือนดั่งดอกไม้ในกระจกและพระจันทร์ในน้ำเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังมีเวลาที่จะสัมผัสรับรู้ถึงพลังที่โหมซัดสภาพจิตใจเช่นนั้น…
เวลาผ่านพ้นไป ไม่นานนักก็ผ่านไปแล้วครึ่งเค่อ
“แค่นี้เองหรือ?”
ซูอี้อดถามขึ้นมาไม่ได้
นกกระจอกตัวนั้นนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ราวกับเพิ่งเข้าใจความหมายของซูอี้ จากนั้นมันก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เพียงแค่ครึ่งเค่อเท่านั้น คิดว่า ‘ด่านถามใจ’ สามารถผ่านไปได้ง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง จากนั้นทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นและเริ่มรักษาบาดแผลเสียเลย
นกกระจอกวิญญาณ “?”
ผู้ชายคนนี้… โอหังถึงเพียงนี้เลยหรือ?
ทันใด มันก็เผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกที่เต็มไปด้วยความดูแคลนออกมา และตั้งใจรอดูละครสนุกอย่างเต็มที่
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีผู้รับการทดสอบจำนวนไม่น้อยเข้าสู่ด่านนี้ บ้างเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ บ้างเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า บ้างเป็นเซียนที่มีความสามารถไร้เทียมทาน…
ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อเข้ามารับการทดสอบของด่านถามใจแล้วล้วนไม่กล้าประมาท!
อีกทั้งยังสามารถยืนยันได้ถึงหนึ่งก้านธูป มีไม่ถึงหนึ่งในร้อย
และคนที่สามารถมีชื่อติดสามอันดับแรกได้ ล้วนต้องพึ่งพาความเพียรพยายามอย่างที่สุด เฝ้ารักษาจิตวิถี จึงสามารถทนผ่านมาได้
แต่ตอนนี้ คนหนุ่มขอบเขตมหาจักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เฝ้ารักษาจิตวิถี แต่กลับแสดงท่าทีดูแคลนด่านถามใจออกมา ทั้งยังแยกใจไปรักษาอาการบาดเจ็บอีก…
เช่นนี้จะอหังการเกินไปเสียแล้ว!
นกกระจอกวิญญาณอยากจะเห็นคนหนุ่มคนนี้หกล้มหัวคะมำเสียเหลือเกิน
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปทีละน้อย
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปแล้ว
นกกระจอกตกตะลึง
ซูอี้รักษาบาดแผลอยู่ตลอดด้วยท่าทีสงบเงียบ หยิบโอสถออกมากินบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนเวลาที่เหลือก็จะนั่งนิ่ง ๆ วางตัวสบาย ราวกับกำลังปิดตนอยู่ในตำหนักถ้ำของตัวเอง เช่นนั้นจึงจะเรียกว่าสงบเยือกเย็น
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่มีท่าทีว่าได้รับผลกระทบอันใดแม้แต่น้อย!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
เห็นได้ชัดว่านกกระจอกวิญญาณทนรับไม่ได้อีกแล้ว รู้สึกตื่นตะลึงและสงสัยขึ้นมา
หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไป
บาดแผลบนตัวของซูอี้หายดีแล้วกว่าครึ่ง ระดับฝึกตนก็ใกล้จะฟื้นฟูถึงช่วงสูงสุด
ทำนองวิถีที่คล้ายกับเสียงลั่นกลองดังขึ้นติดต่อกัน สั่นสะเทือนจนถึงหมู่ดารา หนทางแห่งการทดสอบสั่นคลอน
สามารถรู้ได้เลยว่าพลังโจมตีที่มีต่อจิตวิถีเช่นนั้นมันร้ายแรงและน่ากลัวเพียงใด
ทว่าซูอี้กลับเบิกตากว้างมองอยู่นิ่ง ๆ ราวกับไม่รู้สึกอะไรสักอย่าง “ข้ามีอยู่เรื่องหนึ่ง อยากจะขอคำชี้แนะจากเจ้า”
นกกระจอกเขม่นตามอง พลางกระทืบเท้า “เจ้า…เจ้ายังพูดได้อีกหรือ? ไม่รู้สึก… กระทบกระเทือนอันใดเลยหรือ?”
สวรรค์โปรด!
นี่มันเวลาใดกันแล้ว หนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ เลยนะ!
ทว่าผู้ชายคนนี้กลับไม่มีวี่แววว่าจะได้รับความกระทบกระเทือนแต่อย่างใด? จิตวิถีของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงใดกัน จึงสามารถอยู่อย่างสงบได้เช่นนี้?
ซูอี้มองออกว่านกกระจอกวิญญาณตัวนี้กำลังตะลึง เขาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวถ่อมตนขึ้นมา “ไม่ได้ร้ายกาจมากมายอะไรนักหรอก”
“แบบนี้ยังเรียกว่าไม่ร้ายกาจอีกหรือ!?”
นกกระจอกใช้ปีกข้างหนึ่งกุมหน้าผาก ทำท่าหมดคำจะพูด
ยืนหยัดได้หนึ่งชั่วยาม มีชื่อติดสิบอันดับแรกบนแผ่นศิลาถามใจได้อย่างสบาย!
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้รับการทดสอบที่มีคุณสมบัติเข้าสู่ด่านนี้ไม่ถึงหนึ่งในพัน!
ทว่าตอนนี้ คนหนุ่มคนนี้กลับบอกว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย…
ซูอี้อดเลิกคิ้วไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่นกกระจอกวิญญาณตัวนี้แปลงร่างมาจากกฎสวรรค์ ทว่าท่าทีที่แสดงกลับคล้ายสิ่งมีชีวิต ความรับรู้เต็มเปี่ยม
ทว่ากลับไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ กระโตกกระตาก ไม่ไหวเอาเสียเลย
ทันใด ซูอี้ก็เข้าใจขึ้นมา นกกระจอกวิญญาณตัวนี้คงจะเลียนแบบอารมณ์ความรู้สึกของสรรพสัตว์ ไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง
เพราะอย่างไรเสียก็ดี กฎสวรรค์ไม่อาจมีชีวิตขึ้นมาได้
…
ขณะที่ครุ่นคิด เขาก็หยิบกาสุราออกมาดื่ม
“เจ้า… เจ้ายังดื่มสุราได้อีกเรอะ!?”
นกกระจอกวิญญาณร้องอุทานด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้ง
ทำเอาซูอี้หัวเราะขึ้นมา ไม่อยากจะพูดถ่อมตนอีก ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อให้ท่านมหาเทพอยู่ตรงนี้ ก็อย่าคิดว่าจะกระทบกระเทือนสภาพจิตใจของข้าได้”