บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1202: แปรชีพ แสงพริบตา และต้องห้าม
ตอนที่ 1202: แปรชีพ แสงพริบตา และต้องห้าม
ด้านหน้าของภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญา
ซูอี้ยืนมองภูเขาลูกนี้อยู่ไกล ๆ
ตามที่นกกระจอกวิญญาณกล่าว กฎเกณฑ์มหาวิถีที่หลอมประทับอยู่บนป้ายวิถีคลุมเครือล้วนพัฒนามาจากต้นกำเนิดฟ้าดิน รวมถึงความลับหมื่นวิถีของภูมิดาราฟ้าดินในตอนแรกสุด
ภายในด่านพินิจปัญา ผู้รับการทดสอบที่มีผลคะแนนสามอันดับแรกจะได้รับรางวัลจากท่านมหาเทพเช่นเดียวกัน
ผลคะแนนสูงสุดในตอนนี้คือตอบคำถามในป้ายวิถีคลุมเครือทั้งสิ้นหนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบสามป้าย!
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครสามารถตอบวิสัชนาป้ายทั้งสามพันป้ายและขึ้นไปถึงยอดแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญาเลยสักคน
“ในสิบสองชั่วยาม อย่างน้อยก็ต้องตอบคำถามในป้ายวิถีคลุมเคลือเก้าสิบเก้าป้ายจึงจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ และด่านนี้เป็นด่านที่ทดสอบความเข้าใจหยั่งรู้…”
ระหว่างที่ครุ่นคิด ซูอี้ก็เดินมาถึงเชิงเขาแล้ว
ที่นี่มีหนทางขึ้นภูเขาอันเคี้ยวคด มุ่งตรงไปยังยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญา
สองด้านของทางขึ้นภูเขามีไอหมอกลอยอวล มีป้ายวิถีโบราณตั้งตระหง่านเป็นทางจนถึงยอดเขา
เมื่อซูอี้เดินไปบนทางขึ้นภูเขา เสียงระฆังก็ดังกังวานขึ้น
เริ่มจับเวลานับแต่ตอนนี้เป็นต้นไป!
ซูอี้เดินมาอยู่ตรงหน้าป้ายวิถีคลุมเครือป้ายที่หนึ่ง จิตรับรู้ปรากฏขึ้นเพื่อทำการสัมผัสรับรู้
ทันใด กฎเกณฑ์มหาวิถีอันลึกล้ำก็ปรากฏขึ้น
“มหาวิถีธาตุไฟที่โบราณที่สุด สามารถไล่ย้อนไปถึงการอุบัติของช่วงเวลาแรกเริ่ม แต่ไม่ต่างไปจากมหาวิถีธาตุไฟของใต้หล้าในตอนนี้มากนัก”
ซูอี้สัมผัสได้คร่าว ๆ ก็เก็บจิตรับรู้
ครืน!
ป้ายวิถีคลุมเครือแผ่นนี้ส่องแสง กลิ่นอายคลุมเครือก็พุ่งเข้าไปในร่างของซูอี้
ซูอี้สัมผัสคร่าว ๆ ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายคลุมเครือนี้มาจากแหล่งกำเนิดคลุมเครือของภูมิดาราฟ้าดิน ซึ่งก็คือปราณมารดาฟ้าดินนั่นเอง!
เช่นนี้ทำให้เขาเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง
“ก่อนจะมายังเขตต้องห้ามเซียนอับโชค ข้าได้หลอมสมบัติลับฟ้าดินไปมากมาย และก่อนหน้านี้ยังหลอมป้ายประกาศิตฟ้าดินไปเกือบสามสิบป้าย พลังการฝึกตนในตัวหลอมรวมเข้ากับพลังของปราณมารดาฟ้าดินไปแล้ว”
“เช่นนี้ เวลาที่ข้าหยั่งรู้ป้ายวิถีคลุมเครือเหล่านี้ ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็มาอยู่หน้าป้ายวิถีคลุมเครือแผ่นที่สองแล้ว จากนั้นเขาก็ทำการทดสอบเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง
ตามความคาดหมาย เขาสามารถตอบวิสัชนากฎเกณฑ์มหาวิถีบนป้ายวิถีแผ่นนี้โดยไม่เจออุปสรรคใด ๆ!
“เพียงแค่นี้… ก็ยังนำมาทดสอบความเข้าใจหยั่งรู้?”
ซูอี้อดลูบจมูกตัวเองไม่ได้
เดิมที เขาผ่านมาแล้วสามชาติ ตอนที่เป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เคยได้รับยกย่องจากคนใต้หล้าให้เป็นปรมาจารย์หมื่นวิถี
เมื่อตอนที่เป็นทัศนาจารย์ ได้ท่องเที่ยวไปในแต่ละภูมิของหมู่ดารา สยบกฎกำเนิดห้วงดาราอันแข็งแกร่งมามากมายนับไม่ถ้วน
ด้วยประสบการณ์เหล่านี้ เวลาที่หยั่งรู้ป้ายวิถีคลุมเครือ ย่อมทำให้เขามีความเพียบพร้อมที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถจะเทียบเคียงได้
และตอนนี้ ประกอบกับปราณมารดาฟ้าดินที่เขาหลอมในร่างกาย การทดสอบของภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญาแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความราบรื่น
ช่วงเวลาถัดมา…
ซูอี้เดินมือไพล่หลังขึ้นบันไดอย่างสบายราวกับนักท่องไพรผู้ท่องเที่ยวชมเขาชมพนา
กฎเกณฑ์มหาวิถีบนป้ายวิถีคลุมเครือทุกป้ายที่ซูอี้เดินผ่าน ล้วนได้รับการวิสัชนาทั้งสิ้น
เสียงดังกึกก้องจากป้ายวิถีคลุมเครือดังขึ้นตลอดเส้นทางด้วยเช่นกัน
เพียงแค่หนึ่งเค่อ
ซูอี้สามารถตอบวิสัชนาป้ายวิถีคลุมเครือเก้าสิบเก้าแผ่นอย่างสบาย!
ทว่าเขาไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ และยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
สำหรับเขาแล้ว ตลอดเส้นทางมีแต่ความราบรื่น
เมื่อใช้จิตสัมผัสกวาดมอง คำถามบนป้ายวิถีคลุมเครือถูกตอบวิสัชนาไปป้ายแล้วป้ายเล่าอย่างไร้อุปสรรคขัดขวาง
ระหว่างนี้ เขาสัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์มหาวิถีโบราณที่สูญสลายไปเนิ่นนาน มันสร้างความสนใจให้แก่เขาเป็นอย่างมาก
แต่ก็เพียงแค่สนใจเท่านั้น
เพราะจนถึงตอนนี้ ซูอี้ยังไม่พบกฎเกณฑ์มหาวิถีต้องห้าม
หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม
ซูอี้ก็มาถึงครึ่งค่อนเขาแล้ว ตอบวิสัชนาป้ายวิถีคลุมเครือไปแล้วหนึ่งพันเจ็ดร้อยข้อ
หลังจากผ่านไปห้าชั่วยาม
ซูอี้อยู่ห่างจากยอดเขาเพียงแค่หนึ่งร้อยป้ายมหาวิถีเท่านั้น
ฟิ้ว~!
ซูอี้พ่นลมออกมายาว ๆ จากนั้นนั่งลงกับพื้น หยิบกาสุราออกมาดื่ม
ไม่ใช่เพราะเจอความแยบยลที่มีความยากล้ำลึก แต่เป็นเพราะใช้พลังจิตวิญญาณเป็นเวลานาน ทำให้เขารู้สึกเพลีย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ซูอี้ออกเดินทางต่ออีกครั้ง
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็รู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่า กฎเกณฑ์มหาวิถีบนป้ายวิถีคลุมเครือเหล่านั้นเปลี่ยนไป มันแข็งแกร่งมาก จนสามารถจัดให้อยู่ในมาตรฐานระดับสุดยอดได้เลยทีเดียว!
มีกฎเกณฑ์มหาวิถีระดับสุดยอดที่สาบสูญไปนานมากแล้วอยู่ไม่น้อย!
และก็เป็นเวลานี้เช่นกัน ซูอี้ก้าวเดินช้าลง เริ่มตอบวิสัชนาอย่างจริงจัง
ฝึกตนทางมหาวิถี ถึงแม้จะกินไปเสียเยอะเพราะความโลภจนทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด
แต่ก็ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับ บางเรื่องอย่างลึกซึ้ง เช่นนี้จึงสามารถยกมาหนึ่งเรื่องรู้ไปถึงสามเรื่องได้
สำหรับซูอี้แล้ว กฎเกณฑ์มหาวิถีระดับสุดยอดที่สาบสูญไปนานแล้วเหล่านั้น เปรียบได้ดังคัมภีร์หายากที่ควานขึ้นมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน หลอมประทับความลึกลับเกินจะคาดเดา ทำให้เขาต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ได้รับคุณประโยชน์อย่างมหาศาล
บางครั้ง เขาได้รับแรงบันดาลใจ เข้าใจมหาวิถีได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“กฎเกณฑ์มหาวิถีที่สาบสูญไปแล้วเหล่านี้ล้วนมีความโบราณและเป็นดั้งเดิม มีความลี้ลับหยั่งยากซ่อนเร้น ไม่ว่ารู้กระจ่างในเรื่องใด บนหนทางวิถีล้วนได้รับประโยชน์อย่างเหลือคณา ทำให้ผู้ฝึกตนย่างสู่หนทางวิถีอันสูงสุด ทว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมากลับต้องจมปลักอยู่ในที่แห่งนี้…”
ซูอี้รู้สึกเสียดาย
กฎเกณฑ์มหาวิถีระดับสุดยอดที่หายสาบสูญไปแล้วเหล่านั้นล้วนมีความลึกลับอันยิ่งใหญ่ หากสามารถเข้าใจได้ คนเหล่านั้นก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่สามารถบรรลุวิถีอันยิ่งใหญ่ได้
กระทั่งการเปิดสำนักตั้งนิกายล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น!
แต่ใครกันจะคาดคิดว่า มหาวิถีระดับสุดยอดที่เก่าแก่อย่างที่สุดเหล่านี้ล้วนถูกเก็บไว้ในที่แห่งนี้?
ซูอี้ทำความเข้าใจไปพลาง เดินมุ่งหน้าไปพลาง
ในที่สุดเขาก็มาถึงยอดเขาโดยไม่รู้สึกตัว
ที่นี่มีป้ายวิถีคลุมเครือเหลือเพียงแค่สามป้ายเท่านั้น!
และในเวลานี้ สุดท้ายซูอี้ก็ปั้นหน้ายากออกมา
บนศิลาหินคลุมเครือทั้งสามแผ่นนี้ หลอมประทับด้วยกฎเกณฑ์มหาวิถีสามประเภทซึ่งมีความแข็งแกร่งอย่างที่สุด และไม่ด้อยไปกว่ากฎกำเนิดห้วงดาราอันแข็งแกร่งของห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอย่างวอนสวรรค์ วิเวกดารา แปรวิญญาณ และทวิภูมิ!
“ตามความคาดหมาย ตอนแรกสุด พื้นฐานของภูมิดาราฟ้าดินเหนือกว่าภูมิดาราอื่น ๆ มาก มิน่าเล่าจึงถูกมองว่าเป็นดินแดนต้นกำเนิดบรรพชนของหมื่นวิถีหมู่ดารา…”
ซูอี้รำพึง
ภูมิดาราฟ้าดินเคยโดนภัยพิบัติลึกลับทำลาย ทำให้กฎสวรรค์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
กล่าวได้อีกอย่างว่า ต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นที่เก็บรักษาอยู่ในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคจนถึงทุกวันนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หลักการเดียวกัน ป้ายวิถีคลุมเครือบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญา ถึงแม้จะมีถึงสามพันป้าย ก็ยังเป็นเพียงแค่ต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นส่วนหนึ่งของภูมิดาราฟ้าดินเท่านั้น
ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญาแห่งนี้ยังสามารถมีกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งซึ่งเทียบได้กับภูมิดาราอื่น ๆ ถึงสามป้ายเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
สามารถมองออกได้ว่า ภูมิดาราฟ้าดินในตอนแรกเริ่มสุดมีพื้นฐานที่แน่นหนาเพียงใด!
ซูอี้สลัดความคิดฟุ้งซ่านไป จากนั้นก็นั่งลงกับพื้น สงบใจ เริ่มหยั่งรู้ถึงกฎเกณฑ์มหาวิถีบนป้ายวิถีคลุมเครือทั้งสามป้าย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม
ศิลาหินทั้งสามป้ายทยอยเกิดเสียงดัง มีสะเก็ดแสงคลุมเครือสาดกระเซ็น พุ่งเข้าไปในร่างของซูอี้
และในเวลานี้เอง ซูอี้ลืมตาขึ้น
เขาเข้าใจถึงกฎเกณฑ์มหาวิถีทั้งสามที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากฎแห่งภูมิดาราอย่างเต็มที่แล้ว
ประกอบไปด้วยแปรชีพ แสงพริบตา และกักขัง!
แปรชีพ ฟ้าดินผสานสรรพสิ่งกำเนิด การเข้าใจในหลักนี้ก็เปรียบดังเข้าใจวิถีแห่งการเกิด ลมวสันต์แปรเป็นสายฝน สรรพสิ่งเจริญเติบโต
กฎเกณฑ์มหาวิถีอันสูงส่งเช่นนี้ มีคุณประโยชน์ในการรักษาและฝึกฝนขัดเกลาชีวิตอันประมาณค่าไม่ได้ มหาวิถีธาตุไม้มิอาจเทียบเทียมได้
กฎแสงพริบตา คือมหาวิถีสูงสุดที่เกี่ยวข้องกับความเร็ว
ใช้ในเวลาที่ต่อสู้ฆ่าฟัน รวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ เปรียบได้ดั่งสายฟ้าแหวกมิติอย่างแท้จริง สังหารศัตรูในช่วงเวลาแสงกะพริบ
กฎต้องห้ามมีความรุนแรงมาก มันสามารถกักขังการขับเคลื่อนของพลังวิญญาณฟ้าดิน และมีผลกระทบต่อพลังมิติโดยรอบของฟ้าดิน
หากเข้าใจในวิถีนี้ ก็สามารถทำให้ฟ้าดินกลายเป็นกรงขัง กักขังสรรพชีวิต ปิดผนึกหมื่นวิญญาณได้เพียงแค่จิตนึกคิด!
สิ่งหนึ่งที่ต้องเอ่ยถึงก็คือ แปรชีพ แสงพริบตา และต้องห้าม สามมหาวิถีใหญ่นี้ไม่ใช่เคล็ดวิชาหรือเคล็ดวิถีแต่อย่างใด
เวลาที่มีการต่อสู้ นอกเสียจากศัตรูจะครอบครองพลังกฎเกณฑ์มหาวิถีในระดับเดียวกัน มิเช่นนั้น ไม่มีทางจะต้านทานหรือทลายลงได้!
“กฎแสงพริบตานี้ไม่เลวเลย ใช้สังหารศัตรู รุนแรงรวดเร็วอย่างที่สุด เทียบได้กับความเร็วของแสงอย่างแท้จริง”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “กฎกักขังนี้สามารถใช้สยบและปิดล้อมศัตรูได้ ต่อให้ใช้เคล็ดวิชามิติ ก็อย่าคิดเลยว่าจะหนีพ้น”
“ส่วนกฎแปรชีพ… น่าจะเป็นกฎเกณฑ์มหาวิถีที่ช่างหลอมยาใฝ่ฝันปรารถนา มีสิ่งนี้สามารถหลอมโอสถทิพย์ที่ดีที่สุดออกมาได้”
“แต่ใช้ขัดเกลาตัวเองก็ไม่เลวเช่นกัน ทั้งยกระดับศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ส่งเสริมและเสริมสร้างร่างกายกับจิตวิญญาณได้ด้วย”
“แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการต่อสู้มากนัก…”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ทันใด บนยอดเขา สะเก็ดแสงได้รวมตัวกันเป็นศิลาหินโบราณ
บนศิลาหิน แสงสีทองผุดขึ้น เพียงชั่วครู่ก็ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่หนึ่ง
ศิลาพินิจปัญญา!
บนนั้นบันทึกผลคะแนนที่ผู้รับการทดสิบแต่ละคนเคยทำคะแนนเอาไว้เหมือนกับศิลาถามใจในด่านแรง
ซูอี้เดินไปข้างหน้าและวางชื่อของตัวเองในอันดับที่หนึ่ง
ถัดมา เมื่อศิลาพินิจปัญญาส่งเสียงดังกึกก้อง สะเก็ดแสงส่องสว่าง ยกกล่องโลหะใบหนึ่งออกมา
นี่คือรางวัลพิเศษของคนที่ได้อันดับหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
ซูอี้ขจัดผนึกบนกล่องโลหะอย่างช่ำชอง จากนั้นเปิดออกดู
เขาจึงเห็นเถาวัลย์สีเทายาวประมาณฉื่อกว่า ๆ วางอยู่ในนั้น
บนเถาวัลย์เต็มไปด้วยลวดลายมหาวิถีที่คดงอ อับแสง เป็นสีเทา ไม่โดดเด่นเลยสักนิด
นี่คืออะไร?
ซูอี้ตะลึง
และในขณะนี้เอง เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นี่เพิ่งแค่เก้าชั่วยามเท่านั้น เจ้าก็สามารถตอบวิสัชนาป้ายวิถีทั้งสามพันป้ายได้ ขึ้นสู่ยอดเขาสำเร็จแล้ว?”
นกกระจอกวิญญาณปีกสวยตัวนั้นบินแหวกอากาศมาหา กระพือปีกอยู่กลางอากาศพลางร้องตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกตกใจราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่
“เร็วมากเลยหรือ? แต่ข้าพยายามลดความเร็วลงแล้วนะ”
ซูอี้ตอบใจลอย สายตาจับจ้องดูเถาวัลย์สีเทาอยู่ตลอด
หนทางการขึ้นเขาในครั้งนี้ เขาไม่ได้เร่งความเร็วเลย เดินทางอย่างสบายคล้ายกับเดินเที่ยวเล่นในป่าในเขา
ไม่ได้คิดว่าจะต้องเดินเร็วเลยแม้แต่น้อย
แต่เขากลับไปถึงยอดเขาได้ภายในเก้าชั่วยาม ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับนกกระจอกวิญญาณตัวนั้นมาก อีกทั้งยังทำให้มันแสดงร่องรอยออกมาเอง!
“พยายามลดความเร็วลงแล้ว…”
นกกระจอกวิญญาณตาค้าง
ทันใด มันส่งเสียงร้องแว้ด ๆ ราวกับใกล้จะเสียสติ “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เจ้าเป็นผู้รับการทดสอบคนแรกที่ตอบวิสัชนาป้ายวิถีสามพันป้ายและไปถึงยอดเขาได้? ”
“ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้เวลาไปเพียงแค่เก้าชั่วยามเท่านั้น… สวรรค์! นี่ข้าได้เห็นความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยเช่นนั้นหรือ?!”
นกกระจอกวิญญาณตัวนี้ตื่นเต้นจนกระพือปีกไม่หยุดราวกับคนเสียสติ
ซูอี้หมดคำจะพูด ต้องเป็นถึงขนาดนี้เลยหรือ?