บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1203: วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้น
ตอนที่ 1203: วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้น
“เอาล่ะ เจ้าเป็นเพียงร่างที่แปลงจากกฎสวรรค์ ต่อให้แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้เหมือนจริงแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นได้แค่ของปลอม”
ซูอี้กล่าวดุ
นกกระจอกวิญญาณนิ่งตะลึง ใช้กรงเล็บชี้ไปที่ตัวเอง ก่อนกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่วิญญาณธาตุ แต่ก็มีปัญญาของวิญญาณธาตุ เจ้ากล่าวเช่นนี้ เท่ากับเป็นการลบหลู่ข้า!”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ มันก็เหลือบไปเห็นเถาวัลย์สีเทาภายในกล่องโลหะ ดวงตาของมันเบิกกว้าง และตัวก็สั่นงันงก ก่อนร้องอุทานเสียงประหลาดขึ้นมา “รากวิญญาณคู่ชีพของเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน!”
“ท่านมหาเทพ…. เก็บสมบัติล้ำค่าเพียงนี้ไว้ที่นี่ได้เช่นใดกัน นี่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นอันดับสามของภูมิฟ้าดินเลยทีเดียว!”
ซูอี้กระจ่างแจ้งขึ้นมา “ที่แท้ก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เอง”
แหล่งที่มาของภูมิดาราหนึ่งจะให้กำเนิดวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นที่มหัศจรรย์ขึ้น
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นเหล่านี้ต่างก็มีคุณประโยชน์ที่ล้ำเลิศไม่ธรรมดา
อีกทั้งยังมีจำนวนน้อยมาก
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นเหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ที่อุบัติขึ้นในแหล่งกำเนิดโลกมาก และมีความมหัศจรรย์มากกว่าด้วย
เช่นเดียวกับดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ที่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ชิ้นหนึ่งที่อุบัติขึ้นในแหล่งกำเนิดโลกของแผ่นดินมหาแดนดิน
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว มันไม่ได้ล้ำค่าเท่ากับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้น
เพราะว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นอุบัติขึ้นจากแหล่งกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราหนึ่ง!
ตามที่นกกระจอกวิญญาณกล่าวมา เถาวัลย์สีเทาที่มีความยาวเพียงแค่ฉื่อกว่า ๆ ชิ้นนี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นของแท้อย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งยังเป็นอันดับสามในภูมิดาราฟ้าดินยุคเริ่มแรกสุด!
“สมบัติชิ้นนี้มีประโยชน์อย่างไร?”
ในที่สุดนกกระจอกวิญญาณก็เริ่มสงบใจลงมาได้บ้างแล้ว ซูอี้จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“มันคือศาสตราวุธที่ร้ายกาจมากชิ้นหนึ่ง!”
นกกระจอกวิญญาณสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยสายตาที่เร่าร้อน “มันสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์สามชนิด คือ ดาบ ธนู และโล่”
“มันหลอมประทับด้วยกลิ่นอายฟ้าดินอันเข้มข้นอย่างที่สุด เวลาที่ใช้มันพิฆาตศัตรู สามารถบังคับใช้พลังของกฎสวรรค์ของภูมิดาราฟ้าดินได้อย่างสบาย!”
ได้ยินถึงตรงนี้ ซูอี้ถึงกับสะท้าน รู้แล้วว่าเถาวัลย์สีเทาที่ดูธรรมดามากชิ้นนี้เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่หาพบได้ยากมากโลกจริง ๆ!
อยู่ในหมู่ดาราก็ยังถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาพบได้ยาก
นกกระจอกวิญญาณกล่าวต่อ “นอกจากนี้ หากว่าสมบัติชิ้นนี้จะได้รับความเสียหาย มันสามารถซ่อมแซมตัวมันเองได้”
“และที่มหัศจรรย์เป็นพิเศษก็คือ มันเกิดจากรากวิญญาณคู่ชีพของพลังฟ้าดินนี้ ว่ากันว่าหากสามารถทำให้มันดูดซับพลังมากพอ วันข้างหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้น มีประโยชน์ที่มากขึ้น”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของนกกระจอกวิญญาณก็สับสนยิ่งนัก “เพื่อให้ได้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มา ท่านมหาเทพเคยสู้กับศัตรูผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งที่ภูมิดาราฟ้าดินเมื่อครั้งแรกเริ่มสุด สุดท้ายต้องสูญเสียอย่างหนักจึงได้สมบัติชิ้นนี้มา”
“นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท่านมหาเทพจึงมองสมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติชิ้นสำคัญที่สุด แต่ใครจะไปคาดคิดว่า หลังจากที่ได้สมบัติชิ้นนี้มาไม่นาน ภัยพิบัติลึกลับครั้งนั้นก็มาถึง…”
พูดจบ นกกระจอกวิญญาณก็ถอนหายใจยาว ทำท่าเสียดายและโศกเศร้ามาก
ซูอี้ระงับความอยากรู้ในใจไว้ไม่ได้อีก จากนั้นหยิบเถาวัลย์ชิ้นนั้นขึ้นมา
เขารู้สึกได้ถึงความหนักอันเย็นยะเยียบและละเมียดละไม
ชั่วขณะนี้ ซูอี้เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น คล้ายกับว่าเถาวัลย์นี้กลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเอง เลือดลมไหลเวียนคล่อง สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายราวกับแขนสั่งการมือ
ชิ้ง!
จิตของซูอี้ผันแปร ลวดลายวิถีธรรมชาติที่คดงออยู่บนเถาวัลย์ราวกับมีชีวิตขึ้นมาก กลิ่นอายคลุมเครือพลุ่งพล่าน กลายเป็นดาบวิถีในชั่วพริบตา
มันมีความยาวสามฉื่อสี่ชุ่น ทรงโบราณทั้งตัว ตัวดาบส่องประกายแสงสีเทาหม่น ๆ ออกมา ปลายดาบไม่ได้คมกริบมากมายนัก
ทว่าเมื่อดาบนี้ผุดออกมา กลิ่นอายคลุมเครืออันน่ากลัวก็แสดงตน มีความลี้ลับจนไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้
ซูอี้มองออกในทันใดว่า ด้วยระดับการฝึกตนของตัวเองในตอนนี้ คงไม่อาจควบคุมอานุภาพทั้งหมดในตัวดาบเล่มนี้ได้
ยิ่งกว่านั้น ราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงทั่วไปก็ใช้ดาบเล่มนี้ได้ตามใจปรารถนาได้ยากแล้ว!
ทว่าสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อานุภาพของดาบเล่มนี้ถูกเก็บซ่อนลงไปมาก ราวกับถูกผนึกพลังบางส่วน
เมื่อซูอี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของดาบเล่มนี้อีกครั้ง เขาพลันรู้สึกได้ว่าดาบเล่มนี้เป็นดาบที่สร้างขึ้นสำหรับตัวเองในตอนนี้!
“อานุภาพของสมบัติชิ้นนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมสอดคล้องกับระดับวิถีของผู้ฝึกตนเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้แสดงความตื่นเต้นออกมา
สมบัติชิ้นนี้หาพบได้ยากจริง ๆ
“หากว่าใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะที่สามมาเห็นเข้า จะต้องลงมือสังหารคนเพื่อแย่งสมบัติชิ้นนี้อย่างแน่นอน ในอดีตเขาเป็นถึงหนึ่งในผู้ฝึกดาบที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของท่านมหาเทพเลยเชียว”
นกกระจอกวิญญาณพึมพำ
ซูอี้ตะลึง “ผู้บวงสรวงที่สาม?”
นกกระจอกวิญญาณตอบรับอย่างกำกวม “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะท่านไหน ก็ไม่กล้าทำผิดกฎที่ท่านมหาเทพตั้งไว้ ในเมื่อเจ้าเป็นผู้รับการทดสอบที่บุกด่านที่สองจนถึงยอดเขาได้สำเร็จเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งยังได้รับรากวิญญาณคู่ชีพของเถาวัลน์นิมิตฟ้าดินเป็นรางวัล สมบัติชิ้นนี้… ก็ต้องตกเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง “เป็นเช่นนี้ได้ดีที่สุด”
จิตของเขาแปรเปลี่ยน ดาบวิถีในมือส่งเสียงชิ้ง ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นธนูยาวสีเทา ตัวธนูเต็มไปด้วยลวดลายลึกลับมหาวิถีที่บิดเบี้ยว
ธนูคันนี้ค่อนข้างราบเรียบ ทว่าเมื่อยกขึ้นมาถือกลับทำให้ซูอี้รู้สึกราวกับมีธนูศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ สามารถยิงเดือนยิงดาวยิงตะวันได้ตามต้องการ
จากนั้นจิตของเขาก็แปรเปลี่ยน ธนูคันนี้กลายร่างเป็นโล่หนักในทันใด มันมีความยาวถึงสี่ฉื่อ หน้าโล่มีลวดลายลึกลับกลมมนปรากฏ
ยังไม่จำเป็นต้องถือ โล่หนักชิ้นนี้ก็สามารถปรากฏรอบกายเพื่อทำการปกป้องได้ตามความต้องการของซูอี้
“ไม่เลวเลยจริง ๆ”
ซูอี้กล่าวชื่นชม
ต้องยอมรับเลยว่า แม้แต่ช่วงที่เป็นใหญ่ในมหาแดนดิน สมบัติเดียวในตัวเขาที่สามารถสยบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นเช่นนี้ได้มีแต่เพียงดาบเก้าคุมขังเท่านั้น
สมบัติชิ้นอื่นล้วนไม่อาจเทียบเคียงกับเถาวัลย์มารดาฟ้าดินนี้
จากประสบการณ์ของทัศนาจารย์ เถาวัลย์มารดาฟ้าดินนี้เป็นสมบัติแห่งโลกกว้างที่หาพบได้ยากมากเช่นกัน!
นกกระจอกวิญญาณกล่าว “เพียงแค่ไม่เลวที่ไหนกัน เขตดาราฟ้าดินในยุคแรกสุด สมบัติชิ้นนี้เป็นถึงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นที่อยู่ในอันดับสามเลยเชียว!”
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นสองอันดับแรกคืออะไร?”
ซูอี้อยากรู้ขึ้นมา
นกกระจอกวิญญาณตอบโดยไม่ต้องคิด “เจดีย์นภาลัยกับระฆังหมื่นพิบัติ แต่เสียดาย สมบัติสองชิ้นนี้อุบัติขึ้นได้ไม่นานก็หายไปจากภูมิดาราฟ้าดิน คงเหลือไว้เพียงคำเล่าลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านมหาเทพเคยใช้เวลาเสาะหาอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลอะไร”
“ตามข้อสันนิษฐานของท่านมหาเทพ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นสองชิ้นนั้นอาจจะสื่อถึงกันและออกจากเขตดาราฟ้าดินไปนานแล้ว”
ซูอี้กล่าวด้วยความเสียดาย “ช่างน่าเสียจริง ๆ”
นกกระจอกวิญญาณเบิกตาโต กล่าวไม่ไว้หน้า “จงรู้จักพอ ข้าขอพูดตามตรง ต่อให้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นสองชิ้นนี้ยังอยู่ เจ้าก็ไม่อาจได้ครอบครอง”
ซูอี้หัวเราะ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ
พอจิตของเขาแปรเปลี่ยน โล่หนาแผ่นนั้นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นเถาวัลย์มารดาฟ้าดินที่มีความยาวฉื่อกว่า ๆ อีกครั้ง
จากนั้นซูอี้เก็บสมบัติชิ้นนี้ไว้ในแขนเสื้อ
“ตอนนี้ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่าหลังจากที่ผ่านด่านที่สามไปได้ จะได้รางวัลพิเศษอันใด”
ซูอี้ลูบคางพลางกล่าว
ด่านที่หนึ่ง เขาได้รับผลเซียนท้อที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโอสถทิพย์แห่งโลกกว้าง
ด่านที่สอง เขาได้รับเถาวัลย์มารดาฟ้าดินอันลึกลับพิศวง
รางวัลในแต่ละด่านล้วนเกินกว่าที่ซูอี้คาดคิดไว้ จึงอยากจะรีบเข้าทดสอบในลำดับถัดมามากขึ้น
นกกระจอกวิญญาณกลับหัวเราะขึ้นมา “นับแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครผ่านด่านที่สามได้มาก่อน!”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถยืนอยู่บนยอดเขาพินิจปัญญาได้เหมือนกับข้าเช่นกัน”
นกกระจอกวิญญาณนิ่งตะลึง พูดไม่ออก
…
ออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์พินิจปัญญากลับมายังหนทางแห่งการทดสอบอีกครั้ง ซูอี้ถูกสะเก็ดแสงพยุงตัวไปปรากฏอยู่ในแถบหมู่ดาราอันยิ่งใหญ่ไพศาล
ลานวิถีขนาดใหญ่ที่กินอาณาบริเวณถึงร้อยจั้งปรากฏขึ้นในสถานที่แห่งนี้
ดวงดาวเจ็ดสิบสองด้วงปรากฏขึ้นในระยะไกล แต่งแต้มหมู่ดาราให้ส่องประกายระยิบระยับ
ทว่าดวงดาวเหล่านั้นล้วนอับแสง ส่องประกายสลัว ๆ
นี่คือด่านที่สาม แต้มดารา!
ทดสอบความสามารถในการควบคุมพลังมหาวิถีของผู้รับการทดสอบ
เวลาที่ทำการทดสอบ ผู้รับการทดสอบจะต้องควบคุมพลังมหาวิถีของตัวเอง แตะโดนดวงดาวที่ล่องลอยอยู่กลางหมู่ดารา
เมื่อดวงดาวถูกแตะโดนจะมีเพลิงเทวะส่องสว่าง
เปรียบดังจุดดวงดาวให้ส่องสว่าง
นี่ก็คือที่มาของชื่อด่าน
ตามที่นกกระจอกวิญญาณกล่าว ดวงดาวนับไม่ถ้วนเหล่านั้นล้วนเกิดจากจิตสู้รบของตัวตนในสมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อยุคแรกสุดของภูมิดาราฟ้าดิน
แตะโดนดวงดาวหนึ่งดวง เท่ากับกำลังแข่งขันกับจิตสำนึกต่อสู้ของตัวตนในตำนานสมัยดึกดำบรรพ์หนึ่งท่าน!
ถึงแม้ ดวงดาวเหล่านั้นจะเป็นเพียงแค่จิตสู้รบ และไม่ใช่ตัวตนในตำนานสมัยดึกดำบรรพ์ตัวจริง
แต่หากอาศัยพลังมหาวิถีไปแตะโดนดวงดาว ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมาก
ตามกฎ ผู้รับการทดสอบต้องจุดดวงดาวให้สว่างอย่างน้อยเก้าดวงจึงสามารถสอบผ่านด่านที่สามนี้ได้
อีกทั้งพวกเขายังมีเวลาให้อย่างเต็มที่ถึงสามเดือนเต็ม ๆ
แต่เสียดายตรงที่ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีตัวตนผู้ไร้เทียมทานมากมายต้องหยุดอยู่ที่นี่และพ่ายแพ้กลับมา!
เมื่อซูอี้ไปถึง เห็นว่าบนลานวิถีแห่งนั้นมีร่างคนผู้หนึ่ง
นั่นคือร่างของผู้ชายวัยกลางคนสวมชุดที่ทำจากผ้าแพรอย่างดี รัดผมด้วยเกล้าดอกบัวสีทอง กำลังบังคับควบคุมพลังมหาวิถี เพื่อโจมตีดาวดวงหนึ่งในหมู่ดารา
สีหน้าของเขาดูคร่ำเคร่ง เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยราบรื่นนัก
แต่ไม่ว่าเขาจะแสดงพลังมหาวิถีที่รุนแรงสักแค่ไหน ดาวดวงนั้นยังสามารถหลบการโจมตีทั้งหมดของเขาได้อย่างสบายราวกับยอดฝีมือไร้เทียมทาน
ซูอี้สังเกตเห็นว่ากลางเกล้ารัดผมทรงดอกบัวของผู้ชายคนนั้นหลอมประทับรูปสลักดวงดารา
เพียงแค่มองเขาก็นึกออกได้ในทันใดว่า คน ๆ นี้คงจะเป็นจ้าวตำหนักดาราแห่งลัทธิทางช้างเผือก ตาเฒ่าผู้อยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลาย!
ซูอี้รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
เพราะตามที่นกกระจอกวิญญาณบอกมา ผู้ทดสอบที่มาจากส่วนลึกหมู่ดาราสี่คนนั้น สองคนตกรอบไปก่อนจะผ่านด่านที่สอง
ส่วนอีกสองคนที่เหลือ ถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ด่านที่สาม
“อีกคนหนึ่งจะต้องตกรอบไปแล้วแน่นอน”
ซูอี้แอบคิด
เขาเพิ่งแยกทางกับนกกระจอกวิญญาณ หากว่ามีคนผ่านด่านที่สามไปได้ นกกระจอกน้อยจอมโวยวายตัวนี้จะต้องพูดถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“ใคร!”
ในทันใด ผู้ชายวัยกลางคนรู้สึกตัวหันกลับมา เขาเบนสายตาที่เป็นประกายคมกริบมายังซูอี้
“ข้าเพียงแค่ดูเฉย ๆ เจ้าทำธุระของเจ้าต่อเถอะ ข้าจะไม่รบกวนเจ้า”
ซูอี้หัวเราะ
เขาอยากจะดูความเปลี่ยนแปลงของดวงดาวเวลาที่ใช้พลังมหาวิถีตอบโต้
ทว่าผู้ชายวัยกลางคนนั้นไหนเลยจะยังมีสมาธิได้อีก?
เขาขมวดคิ้วขึ้น พินิจดูซูอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า จู่ ๆ ร้องอุทานขึ้นมาราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “เจ้าคือ… ทัศนาจารย์!?”
………………………………