บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1204: คนแซ่ซูทุจริต!
ตอนที่ 1204: คนแซ่ซูทุจริต!
ผู้ชายวัยกลางคนมีนามว่าเสวี่ยฉางจิ้ง
เหมือนดังที่ซูอี้สันนิษฐาน เขามาจากลัทธิทางช้างเผือก รับหน้าที่เป็นจ้าวตำหนักดารา
สาเหตุที่เพียงแค่มองแวบเดียวเขาก็สามารถคาดเดาฐานะของซูอี้ออก เป็นเพราะระดับการฝึกตนกับอายุของซูอี้
ซูอี้อายุยังน้อยมาก แค่ยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น
และระดับการฝึกตนของเขาก็อยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ!
จักรพรรดิหนุ่มเช่นนี้ หากอยู่ในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว ถือเป็นคนเก่งไร้เทียมทานที่หาพบได้ยากในรอบหมื่นปี สร้างความสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
และตอนที่เสวี่ยฉางจิ้งมาสู่มหาแดนดิน เคยได้ยินเรื่องของทัศนาจารย์กลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งตอนนี้เขามีอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ อายุยังน้อยมาก
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ เสวี่ยฉางจิ้งจึงคาดเดาเช่นนี้
“คนที่มีชีวิตมานาน สายตาแตกต่างจากคนอื่น ๆ”
ซูอี้รำพึง
สายตาของเสวี่ยฉางจิ้งส่องประกาย กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มกระด้าง “ถ้าเช่นนั้นข้าควรจะเรียกเจ้าว่าทัศนาจารย์ หรือว่าซูเสวียนจวิน?”
“ไม่มีความแตกต่าง”
ซูอี้ยืนเอามือไพล่หลัง มองดูดวงดาวหนึ่งร้อยแปดดวงที่อยู่ในหมู่ดาราอันห่างไกล “เจ้าสามารถทำการทดสอบต่อไปได้ ข้ารับรองว่าจะไม่รบกวนเจ้า”
เสวี่ยฉางจิ้งเชื่อคำกล่าวนี้ เพราะทัศนาจารย์ยึดมั่นในสัจจะมาโดยตลอด
แม้กระทั่งคู่ต่อสู้ของเขาก็ยังไม่รู้สึกสงสัย
ทว่าเสวี่ยฉางจิ้งกลับไม่คิดจะทดสอบ และกล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋ามาสู่หนทางลึกลับดั้งเดิมนี้ เคยเจอกับอุปสรรคอันใดหรือไม่?”
สหายเต๋าซู!
คำเรียกเช่นนี้ ช่างน่าสนใจ
เสวี่ยฉางจิ้งพยักหน้าน้อย ๆ “ได้โปรดชี้แนะ”
ซูอี้กล่าว “ส่วนใหญ่ตายหมดแล้ว”
เสวี่ยฉางจิ้งหรี่ตามอง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวขึ้นราวกับไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า… เป็นคนฆ่า?”
“ไม่ผิด”
ซูอี้ตอบตามตรง
ความขุ่นเคืองผุดขึ้นบนสายตาของเสวี่ยฉางจิ้ง เขาจับจ้องไปยังซูอี้สักครู่ ทันใดนั้นก็ทอดถอนใจราวกับเสียดาย “เสียดายนัก ที่นี่เป็นหนทางแห่งการทดสอบ ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ ห้ามไม่ให้ผู้รับการทดสอบต่อสู้กันเอง มิเช่นนั้น ข้าอยากจะประลองกับสหายเต๋าเสียจริง ๆ”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา ก่อนกล่าว “อยากจะฆ่าข้า เพื่อแก้แค้นแทนผู้ร่วมเดินทางเหล่านั้นน่ะหรือ?”
“ไม่ผิด” เสวี่ยฉางจิ้งพยักหน้าตอบรับโดยไม่ได้ปิดบัง
ซูอี้ก็กล่าวพลางถอนใจยาวเช่นกัน “บังเอิญนัก ตอนที่ข้ามาดินแดนลึกลับดั้งเดิม เคยคิดเช่นกันว่าจะสังหารเจ้ากับผู้รับการทดสอบคนอื่นอีกสามคน แต่ไม่คิดเลยว่า ผู้รับการทดสอบอีกสามคนที่เดินทางพร้อมกับเจ้าจะตกรอบไปเสียแล้ว”
ทันใด ซูอี้ก็หัวเราะขึ้นมา “แต่สังหารเจ้าก่อนก็พอแล้ว”
เสวี่ยฉางจิ้ง “…”
เขาพลันรู้สึกอยากจะกระทำการบุ่มบ่ามขึ้นมาอย่างแรง โดยฆ่าทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่คนนี้ให้จบเรื่องไปเสียตอนนี้เลย!
เขาลอบสูดหายใจระงับความปรารถนาอันแรงกล้าในใจ ก่อนกล่าวประชด “ด้วยสายตาของเจ้า คงมองออกได้ไม่ยากว่าใครก็ตามที่ลงมือห้ำหั่นบนหนทางแห่งการทดสอบนี้ คนผู้นั้นจะต้องโดนพลังกฎเกณฑ์ของสถานที่แห่งนี้ลงโทษ แต่กลับยังกล่าวเช่นนี้ออกมาอีก หากว่านี่เป็นสันดานของทัศนาจารย์ผู้กลับชาติมาเกิดใหม่ คงจะรู้สึกผิดหวังน่าดู”
ซูอี้กล่าวเหมือนกับใช้ความคิด “เจ้าต้องการจะยั่วให้ข้าลงมือเช่นนั้นหรือ?”
เสวี่ยฉางจิ้งกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ายืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน เจ้ากล้าลงมือหรือไม่?”
สวบ!
เถาวัลย์สีเทาโผล่ออกมาจากแขนเสื้อของซูอี้ จากนั้นมันก็ฟาดไปที่หน้าของเสวี่ยฉางจิ้ง
เสวี่ยฉางจิ้งไม่ขยับเขยื้อน ในสายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ไม่ผิดไปจากความคาดหมายของเขา ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือ พลังกฎเกณฑ์ก็โหมซัดไปที่ซูอี้อย่างแรง
ปัง!!
เถาวัลย์สีเทาระเบิดลวดลายมหาวิถีลึกลับ กลิ่นอายคลุมเครือครุกรุ่น
พลังกฎเกณฑ์เหล่านั้นถูกทลายไปในทันใด!
“ฮะ?”
เสวี่ยฉางจิ้งหรี่ตา
เพียะ!!
เถาวัลย์ฟาดหน้าของเสวี่ยฉางจิ้งอย่างแรง จนเลือดไหลซิบเป็นทาง กระดูกโหนกแก้มถูกฟาดจนบุ๋มลงไป เขาถึงกับตัวเซจนเกือบกระเด็นออกไป
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
เสวี่ยฉางจิ้งตื่นตระหนกจนหน้าเปลี่ยนสี ราวกับไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
ตอนที่เข้าสู่หนทางแห่งการทดสอบใหม่ ๆ เขาเคยสัมผัสอย่างจริงจังมาแล้ว พอจะลงมือ เป็นต้องเจอพลังกฎเกณฑ์ลงโทษทุกครั้งไป
อีกทั้ง ทูตนกกระจอกวิญญาณตัวนั้นก็เคยเตือนไว้เช่นกันว่าห้ามผู้รับการทดสอบฆ่าฟันกันเอง
แต่ตอนนี้ ซูอี้ลงมือแล้ว และได้รับการลงโทษจากพลังกฎเกณฑ์แล้วจริง ๆ แต่เขากลับต้านทานพลังการลงโทษเช่นนั้นได้!
ไม่น่าเชื่อเลย!
“มา ยืนดี ๆ อย่าขยับ”
ซูอี้ถือเถาวัลย์ทำท่าราวกับอาจารย์ที่กำลังจะทำโทษศิษย์ผู้กระทำความผิด
เสวี่ยฉางจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าหมองคล้ำลง “สมบัติล้ำค่าในมือเจ้า…”
ทว่าซูอี้กลับง้างมือใช้เถาวัลย์ฟาดโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ
เสวี่ยฉางจิ้งไหนเลยจะยังยืนนิ่ง ๆ เหมือนเมื่อตอนแรกอีก จากนั้นเขาก็รีบถอยหนีไปไกล ๆ
แต่ซูอี้กลับไล่ฟาดเขาติด ๆ กันหลายที
ครืน!
พลังกฎเกณฑ์พลุ่งพล่านเต็มลานวิถี โหมซัดใส่ซูอี้อย่างแรง
ทว่าพวกมันล้วนถูกเถาวัลย์มารดาฟ้าดินสลายไปจนสิ้น
เสวี่ยฉางจิ้งที่หนีไม่ทันก็โดนฟาดอีกครั้ง
ปัง!!
เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นจนเห็นแผ่นที่ถูกฟาดจนเหวอะหวะ เสวี่ยฉางจิ้งเจ็บจนต้องกัดฟันแน่น ขณะสูดลมเข้าปากดังซี้ด ๆ
“ซูเสวียนจวิน! เจ้าบังอาจทำผิดกฎ! ไม่กลัวจะโดนลงโทษเช่นนั้นหรือ?”
เสวี่ยฉางจิ้งแผดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่กลัว”
ซูอี้ตอบแบบไม่ต้องคิดมาก
เสวี่ยฉางจิ้ง “…”
ไม่รอให้เขาพูด ซูอี้ก็ถือเถาวัลย์บุกเข้ามาหาอีกครั้ง
เสวี่ยฉางจิ้งตกใจอย่างแรง เหตุใดพลังกฎเกณฑ์บนหนทางแห่งการทดสอบถึงได้ไร้ประสิทธิภาพถึงเพียงนี้?
แม้กระทั่งจักรพรรดิขอบเขตสานพันธะลึกล้ำก็ยังทำอะไรไม่ได้?
หรือว่ากฎเกณฑ์ในที่แห่งนี้มีไว้เพื่อเป็นสิ่งประดับเท่านั้น?
เสวี่ยฉางจิ้งกัดฟันกรอดขณะกำลังครุ่นคิด สายตาของเขาเย็นยะเยียบ ความดุดันพุ่งปะทุจากภายใน เขาตัดสินใจเข้าสู้โดยไม่หลบหลีกอีกต่อไป
ด้วยระดับการฝึกตนขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลาย เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่สามารถจัดการกับคนหนุ่มขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้!!
ครืน!
เสียงวิถีในตัวเสวี่ยฉางจิ้งส่งเสียงดังกึกก้อง ประกายแสงส่องสว่าง อานุภาพอันน่ากลัวอย่างไร้ขอบเขตของมันปะทุขึ้นมา
เขาขับเคลื่อนระดับการฝึกตนในตัวจนถึงขั้นสูงสุด
“โฉบ!”
เสวี่ยฉางจิ้งระเบิดเสียง ขณะประสานฝ่ามือ แสงดาราอันสุกสว่างรวมตัว จากนั้นจึงถูกซัดออกไปกลางอากาศ ครอบไปที่ตัวของซูอี้
ทว่ามันยังไม่ทันซัดไปโดนตัวซูอี้…
ครืน!
เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้น
ร่างของเสวี่ยฉางจิ้งกระเด็นออกไป
พลังกฎเกณฑ์อันรุนแรงสั่นสะเทือนจนเลือดกระอักออกจากปากและจมูก ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นออกไปไกลหลายสิบจั้ง จนสภาพของเขาดูร่อแร่
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!?”
เสวี่ยฉางจิ้งโมโหจนร้องด่าออกมา “กฎเกณฑ์ยังมีความน่าเชื่อถืออีกหรือ? ยอมให้ซูเสวียนจวินแหกกฎได้คนเดียว ทว่ากลับไม่ยอมให้ข้าได้ลงมือ?!!!”
เขาโกรธจนทนไม่ไหวอีกแล้ว ความเคียดแค้นคับอกจนอยากจะระเบิด
เสวี่ยฉางจิ้งไหนเลยจะยอมโดนฟาดอีก เมื่อเขาก้าวขาได้ก็รีบเผ่นหนีเอาตัวรอด
ทว่าลานวิถีแห่งนี้กินอาณาบริเวณเพียงแค่ร้อยจั้งเท่านั้น หากเอาแต่หลบไม่ยอมสู้ อย่างไรเสียก็ต้องเสียเปรียบอยู่ดี
เสวี่ยฉางจิ้งก็ถูกฟาดก้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วในเวลาถัดมา เขาเจ็บจนส่งเสียงร้องโอดครวญ สองมือกุมก้น กระโดดแด่ว ๆ ขึ้นมา
เขาพยายามจะพุ่งขึ้นสู่หมู่ดารา
ทว่าดวงดาวหนึ่งร้อยแปดดวงที่ปรากฏบนหมู่ดารา มีพลังกฎเกณฑ์คลุมครอบ
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ พลังกฎเกณฑ์ก็จะฟาดใส่จนเขากระแทกกับพื้น ดาวสีทองขึ้นระยิบระยับเต็มตา
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ซูอี้ก็ถือเถาวัลย์เข้ามาฟาดอีก
ปัง!!
เขาถูกเหวี่ยงออกไปเหมือนกับลูกข่าง
เนื้อตัวมีแต่บาดแผลเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี ผมเผ้ารุงรัง หน้าปูดตาบวม น่าสมเพชยิ่งนัก
ไม่มีความน่ายำเกรงของตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิเหมือนเมื่อตอนแรกอีก
หากให้ใครในลัทธิทางช้างเผือกมาเห็นเข้า คงจะคาดไม่ถึงว่า จ้าวตำหนักดาราของพวกเขาจะถูกทำร้ายจนอยู่ในสภาพร่อแร่เช่นนี้
และในขณะนี้เอง เมื่อสะเก็ดแสงสว่างวาบขึ้นมา นกกระจอกวิญญาณก็ปรากฏตัว
มันมองดูซูอี้ด้วยสายตาเย็นชา ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผู้รับการทดสอบ เจ้ากระทำผิดกฎของหนทางแห่งการทดสอบแล้ว!”
เสวี่ยฉางจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันใด พลางโบกมือส่ายแขน ตะโกนเสียงดัง “ใต้เท้าทูต คนแซ่ซูทุจริต ไร้ยางอาย จะต้องลงโทษสถานหนัก!!”
ทุจริต?
นกกระจอกวิญญาณนิ่งไปชั่วครู่ มองดูตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิท่านนี้ว่าถูกทรมานจนอยู่ในสภาพเช่นใด กระทั่งคำว่าทุจริตก็ยังพูดออกมาได้
ซูอี้พลอยหัวเราะตามไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยฉางจิ้งโกรธจนหน้ามืดตามัวไปแล้ว จึงได้เอ่ยคำพูดไร้เดียงสาเช่นนี้ออกมาได้
“เขาไม่ได้ทุจริต”
นกกระจอกวิญญาณอธิบายอย่างใจเย็น “อย่างไรเสีย พลังกฎเกณฑ์ก็เคยลงโทษเขา ไม่ให้เขาทำร้ายเจ้า แต่… ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลอันใด…”
“ไม่นับ”
นกกระจอกวิญญาณตอบจริงจัง “ทำผิดกฎกับทุจริตไม่เหมือนกัน”
เสวี่ยฉางจิ้ง “?”
เขาโกรธจนตัวสั่นงันงก ก่อนจะแผดเสียงออกมา “ยังมีความยุติธรรมกันอีกหรือไม่? ยังมีกฎเกณฑ์กันอีกหรือไม่? คนซื่อตรงทำตามกฎระเบียบอย่างพวกเราสมควรโดนกลั่นแกล้งเช่นนั้นหรือ?!”
ซูอี้กับนกกระจอกวิญญาณมองหน้ากันแล้วหัวเราะ นี่เป็นคำพูดของคนที่อยู่ในขอบเขตราชันแห่งภูมิพูดเช่นนั้นหรือ?
นกกระจอกวิญญาณนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าก็สามารถทำผิดกฎได้เช่นกัน”
เสวี่ยฉางจิ้งหน้ากระตุก
เขานิ่งเงียบไป
นานมากกว่าเขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองดูนกกระจอกวิญญาณกล่าวช้า ๆ ทีละคำ “หากว่าข้าตายไปตรงนี้ นั่นก็แสดงว่ากฎเกณฑ์ของหนทางแห่งการทดสอบแห่งนี้… ไม่ยุติธรรม!”
เสวี่ยฉางจิ้งโมโหจนอยากจะกระโดดบีบคอนกนกกระจอกวิญญาณตัวนี้ให้ตาย
ซูอี้กล่าว “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าถอนพลังกฎเกณฑ์ในที่แห่งนี้ ข้าจะให้โอกาสประลองยุทธ์อย่างยุติธรรมแก่เขา”
เสวี่ยฉางจิ้งตะลึงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้นเขาจึงเบนสายตามองไปที่นกกระจอกวิญญาณ
นกกระจอกวิญญาณนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ก็ดีเช่นกัน”
มันกระพือปีก ทันใด พลังกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมทั่วลานวิถีแห่งนี้ก็มลายหายไปสิ้น
เสวี่ยฉางจิ้งตื่นตัวขึ้นมาในทันใด
ระดับวิถีในตัวเขาระเบิดเสียง ความโกรธและความเคียดแค้นที่สุมอกกลายเป็นความอำมหิตอย่างเต็มรูปแบบ
สายตาเย็นเยียบของเขาประดุจคมมีด ขณะชี้ไปที่ซูอี้ “คนแซ่ซู อาศัยที่เจ้ากล้าประลองยุทธ์กับข้าอย่างยุติธรรม ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ตายอย่างรวดเร็ว!”
เสียงยังคงดังกึกก้อง จากนั้นดาบบินสีน้ำเงินเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมา ปะทะห้ำหั่นอย่างเต็มกำลัง
“ประหาร!”
ดาบบินสีน้ำเงินบางราวกับปีกจักจั่น แสงดาวส่องประกายทั่วท้องฟ้า การบุกโจมตีครั้งนี้สูบฉีดด้วยระดับวิถีตลอดทั้งชีวิตของเสวี่ยฉางจิ้ง ด้วยเหตุนี้มันจึงมีอานุภาพน่ากลัวอย่างไร้ขอบเขต
‘คู่ต่อสู้เช่นนี้ ไม่ค่อยเท่าไรเลย’
ซูอี้แอบคิดในใจ
สวบ!
เงาสีดำปรากฏขึ้นราวกับแสงแวบผ่าน
เพล้ง!
ดาบบินสีน้ำเงินยังคงอยู่กลางอากาศ ก่อนจะหักพร้อมกับเสียง
จากนั้นประกายดาวเต็มท้องฟ้าพลันหายไป
เสวี่ยฉางจิ้งที่อยู่ห่างออกไปเบิกตากว้าง ริมฝีปากกระตุก กล่าวเสียงขาด ๆ หาย ๆ “เร็ว… เร็วมาก… ดาบเดียว…”
เสียงยังคงดังก้อง ทันใดเกิดรอยปริแยกขึ้นกลางหน้าผาก
โลหิตร้อนพลันสาดกระเซ็นออกมา จากนั้นเขาก็ล้มลง
เมื่อร่างลงไปกองกับพื้น จึงเกิดเสียงดังสนั่นและกลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนและหายลับไปในทันใด
ราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงแห่งตำหนักดาราจากลัทธิทางช้างเผือกผู้นี้ก็จบชีวิตลงในสภาพเช่นนี้
ซูอี้ที่อยู่ไม่ไกลนักก้มมองเถาวัลย์สีเทาในมือ แล้วก็อดกล่าวชื่นชมขึ้นมาไม่ได้ “ของดีเสียจริง”