บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1205: แต้มดารา
ตอนที่ 1205: แต้มดารา
กฎแสงพริบตา เถาวัลย์มารดาฟ้าดิน และวิถีเต๋าในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์ของซูอี้นั้นสามารถสังหารราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายได้ในดาบเดียว!
ภาพอันชัดเจนนี้ทำให้นกกระจอกวิญญาณตะลึงค้าง
มันกล่าวว่า “ตลอดกาลผ่านมา ข้าเคยได้เห็นผู้เลิศล้ำสวรรค์ประทานมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นหนแรกที่ข้าได้พบคนเช่นเจ้าซึ่งสามารถสังหารราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้ขณะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีคนเช่นข้าในโลกหล้าอย่างไรเล่า และในภายหน้า… ข้าเกรงว่าก็คงไม่มีอีก”
นกกระจอกวิญญาณยิ้มเยาะ “จะบอกว่าไม่มีผู้ใดเคยเหมือน และจะไม่มีในภายหน้าอย่างนั้นล่ะสิ? จะโอ่ก็โอ่ไป! ข้าบอกเจ้าให้ก็ได้ว่านับแต่กำเนิดดึกดำบรรพ์นานมา ท่านมหาเทพหงก็ฆ่าราชันแห่งภูมิในขอบเขตจักรพรรดิได้เช่นกัน”
ซูอี้ถอนใจกล่าว “เขารับมือราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญได้หรือไม่?”
“นี่…”
นกกระจอกวิญญาณลังเล
ซูอี้ว่า “เจ้าน่าจะเห็นแล้วว่ายามข้าเข้ามาในแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ ข้าถูกเพชฌฆาตหกคนล้อมโจมตี เจ้าคิดว่าท่านมหาเทพหงจะทำได้เช่นข้ายามเขาอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิหรือไม่?”
นกกระจอกวิญญาณเงียบกริบมากขึ้นทุกที
ซูอี้พลันตัดสินได้คร่าว ๆ ว่ายามท่านมหาเทพหงผู้นี้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ เขาอาจจะสามารถข้ามขอบเขตไปสังหารราชันแห่งภูมิได้ แต่ความแข็งแกร่งในขอบเขตจักรพรรดิของอีกฝ่ายน่าจะยังเทียบเขาไม่ได้!
“ไปผ่านด่านเถอะ!”
นกกระจอกวิญญาณกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าล่ะอยากเห็นจริงว่า เจ้าจะผ่านด่านที่สามซึ่งไม่เคยมีใครผ่านได้มาก่อนหรือไม่!”
เขามองดวงดาราทั้งร้อยแปดบนจักรวาลพร่างดาวพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ดาวแต่ละดวงแปรเปลี่ยนจากจิตสู้รบของตัวตนในตำนานสมัยดึกดำบรรพ์ นี่หมายความหรือไม่ว่าภูมิดาราฟ้าดินยามแรกเริ่มมีตัวตนในตำนานหนึ่งร้อยแปดคน?”
“เปล่า หากพูดให้กระชับก็คือ มีตัวตนเพียงสามสิบหกคนเท่านั้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือในตำนาน”
นกกระจอกวิญญาณกล่าวต่อ “สิ่งใดคือตำนาน? อยู่เหนือหนึ่งบุคคลเรียกได้เป็นบรรพชน หากเหนือสรรพวิญญาณควรค่าแก่การยกย่อง พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ผู้สามารถนำกระแสแห่งกาลเวลาได้ และการฝึกฝนของพวกเขาแทบทั้งหมดในยามก่อนต่างอยู่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัด!”
นกกระจอกวิญญาณรำพึง “มันควรจะมี”
“นั่นหมายความเช่นไร?”
ซูอี้ถูกกระตุ้นความสงสัย
นกกระจอกวิญญาณกล่าวความลับอันน่าตกใจออกมาโดยไม่ปิดบัง “ท่านมหาเทพบรรลุวิถีอันเหนือล้ำยิ่งกว่าวิถีสู่สวรรค์แล้ว ซ้ำยังเตรียมตัวพร้อมไปพิสูจน์เต๋าด้วยหัวใจกล้าหาญมุ่งมั่น หายี่หระความเป็นความตายไม่”
“ข้ามิคาดเลยว่ายามท่านมหาเทพเตรียมตัวพิสูจน์วิถี หายนะปริศนานั่นจะมาพอดี…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของนกกระจอกวิญญาณก็ดูโศกเศร้า
ซูอี้ตะลึง “หรือว่า… หายนะลึกลับนั่นจะมาหาท่านมหาเทพหรือ?”
“ไม่มีทาง!”
นกกระจอกวิญญาณปฏิเสธอย่างเฉียบขาด “ข้าบอกได้เพียงว่า… มันเป็นเรื่องบังเอิญ”
“ทว่าข้ากลับไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ในฐานะทัศนาจารย์ เขาเคยสัญจรในจักรวาลพร่างดาวอยู่เนิ่นนานเพื่อค้นหาวิถีที่สูงกว่า
และเขาก็แตะเส้นแบ่งขอบเขตของมันแล้ว!
โชคร้ายที่เขาติดอยู่ในวิถีเดิม ท้ายที่สุดจึงไร้โอกาสก้าวสู่วิถีที่สูงกว่า
ยามนั้นมีเรื่องประหลาดผิดปกติเกิดขึ้นเต็มไปหมด และไม่ว่ายามใดที่เขาพยายามค้นหาวิถีอันสูงกว่า เขาก็จะพบเหตุพลิกผันเสมอมา เช่นหายนะ กลียุค ผลกรรมและความแค้นต่าง ๆ…
ยามนั้น ซูอี้สังเกตว่าเหมือนจะมีหัตถ์ใหญ่ของผู้ใดสักคนที่พยายามขวางเขาไม่ให้เข้าสู่วิถีที่สูงกว่า!
และเมื่อรับรู้สิ่งที่เกิดกับท่านมหาเทพหง ซูอี้จึงอดมิได้ที่จะรู้สึกสงสารผู้ร่วมชะตากรรม
จากนั้นนกกระจอกวิญญาณก็กล่าวขึ้นว่า “ทั้งหมดเป็นเรื่องเมื่อกาลก่อน สิ่งที่เจ้าต้องทำในยามนี้คือเลื่อนระดับเสีย อย่าหาว่าข้ามิเตือน ทว่านับแต่ที่เจ้าเข้ามาในลานวิถีนี้ บททดสอบก็เริ่มแล้ว”
ซูอี้เห็นได้ว่านกกระจอกวิญญาณไม่อยากพูดเกี่ยวกับท่านมหาเทพมากไปกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่เซ้าซี้ต่อ
เขามองไปยังดวงดาราทั้งร้อยแปดในจักรวาลพร่างดาว
“จำไว้ว่าเจ้าใช้ได้เพียงพลังมหาวิถีของตนเท่านั้น หากใช้วัตถุภายนอกอื่นใด เจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ทันที”
นกกระจอกวิญญาณกล่าวเตือน
ทว่าเสียงยังมิทันสร่าง ซูอี้ก็ลงมือแล้ว
ฉัวะ!
เขาสะบัดแขนเสื้อ ยกมือขึ้นฟันใส่จักรวาลพร่างดาว
ทันใดนั้น ดวงดาราทั้งร้อยแปดพลันแปรเปลี่ยน พวกมันแต่ละดวงเคลื่อนไหวรวดเร็วราวตื่นจากหลับใหลและมีสติของตน
จากนั้น พิรุณแสงเซียนก็โปรยปรายเหนือจักรวาลพร่างดาว อำนาจกฎเกณฑ์ที่เกิดเข้าใจโปรยปรายปกคลุมทั้งลานวิถี
หัวใจของซูอี้สั่นไหว แววตาพลันแปรเปลี่ยน
ดวงดาราทั้งร้อยแปดเปลี่ยนเป็นเงาร่างคนร้อยแปดคน บ้างพลิ้วไหวเยี่ยงเทพเซียน ถือดาบโบราณ อาภรณ์พลิ้วแผ่ว ท่วงท่ากิริยาสูงส่ง บ้างบงการวาตะอัสนี เหยียบย่างเหนือเวหา บ้าง…
ตัวตนเหล่านั้นล้วนดูเลือนราง ใบหน้าไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน ทว่าแต่ละคนล้วนให้บรรยากาศน่าสะพรึงกลัวมิต่างกัน ราวกับเป็นตัวตนสูงสุดแห่งโลกหล้านี้
ยามพวกเขายืนอยู่ในจักรวาลพร่างดาว เพียงพลังที่แผ่ซ่านจากร่างก็ปลุกจิตต่อสู้ของซูอี้ขึ้นได้
“เยี่ยม ในที่สุดระดับนี้ก็น่าสนใจขึ้นแล้ว!”
ดวงตาสีเข้มของซูอี้ทอประกาย
จากนั้นเขาก็ใช้เคล็ดพลังมหาวิถีทะยานสู่ชายชุดขาวถือดาบโบราณซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดโดยไม่ลังเล
ตู้ม!
ชายชุดขาวเหวี่ยงดาบของเขา เกิดเป็นวงแสงสายฟ้าเจิดจรัส
จิตสู้รบเช่นนี้แข็งแกร่งถึงขีดสุด เขาไม่มอบโอกาสให้ซูอี้เข้าไปใกล้ได้แม้แต่น้อย แรงกดดันจากกฎมหาวิถีในดาบนั้นถาโถมรุนแรง ปราณทำลายล้างยิ่งใหญ่อลังการ
มหาสงครามบังเกิด
เมื่อซูอี้ใช้เคล็ดพลังสุดวิถี แต่ละดาบที่เขาฟาดฟันล้วนปรากฏปราณดาบแดงสดฉวัดเฉวียน
เพียงไม่กี่พริบตา
เปรี้ยง!
ร่างของชายชุดขาวก็ถูกปราณดาบหนึ่งฟันเข้า
เขารำพึงออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “การควบคุมมหาวิถีของสหายเต๋าถึงขอบเขตที่ไม่อาจบรรยายได้ ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้เทียบได้”
เสียงยังไม่ทันสร่าง ร่างของเขาก็หายไป
“เป็นคู่มือที่ดี ทว่าน่าเสียดายที่เป็นเพียงจิตต่อสู้สายเล็ก ๆ หาใช่ตัวเป็น ๆ ไม่”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
เขามองปราดเดียวก็เห็นว่าชายชุดขาวคนนี้เป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดมาก่อนจะเสียชีวิต! และยังเป็นนักดาบที่ทรงพลังอีกด้วย
จิตต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แม้จะเป็นในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวก็ยังกล่าวได้ว่ามีระดับสูงสุด ในสำนักผู้ฝึกดาบบางแห่ง มันอาจถูกเรียกเป็นบรรพชนด้วยซ้ำไป!
แน่นอน ซูอี้ไม่กลัวจิตต่อสู้ในการควบคุมมหาวิถีหรอก
เพียงจิตต่อสู้ของทัศนาจารย์ก็ห่างไกลสูงล้ำกว่าชายชุดขาวผู้นั้นแล้ว
แล้วซูอี้ก็พุ่งเข้าหาคู่มือคนที่สองทันทีโดยไม่รอช้า
ณ ขอบลานวิถี
“ในชั่วเก้าดีดนิ้วก็เอาชนะจิตต่อสู้ของหนึ่งตัวตนในตำนานได้แล้วหรือ?”
นกกระจอกวิญญาณตกตะลึง
มันไม่อาจเห็นรายละเอียดยิบย่อยของศึกนี้ได้ แต่เห็นได้ชัดเจนว่าหนึ่งดวงดาราสีขาวในจักรวาลพร่างดาวถูกซูอี้จุดประกายขึ้น
“การมีอยู่ของเคล็ดเวียนวัฏสงสารเป็นสิ่งที่สามัญสำนึกมิอาจคะเนวัดได้จริงแท้”
นกกระจอกวิญญาณรำพึง
ทว่าไม่นาน มันก็ไม่อาจรักษาอารมณ์ไว้ได้ ดวงตาของมันค่อย ๆ เบิกกว้างขณะที่ร่างแข็งค้างกับที่
เพราะกาลต่อมา ดวงดาราทั้งหลายเหนือจักรวาลต่างทอแสงเจิดจ้าดวงแล้วดวงเล่า
แต่ละดวงทอแผดเผาเยี่ยงคบเพลิง เพียงครู่สั้น ๆ จำนวนดวงดาราทอแสงก็มีมากถึงเก้าดวง!
นี่เทียบได้กับการผ่านระดับสามเรียบร้อยแล้ว
ทว่าหาใช่จุดจบไม่
เมื่อเวลาผ่านไป ดวงดาราก็ถูกจุดประกายมากขึ้นทุกขณะ เส้นทางบททดสอบทั้งเส้นถูกพร่างพรมด้วยพิรุณแสงเซียน
นกกระจอกวิญญาณตัวสั่น
มันรู้ว่านี่คือสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!
เรื่องนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งที่ยิ่งน่าเหลือเชื่อก็คือ ซูอี้ผู้ถูกทดสอบดูจะรับมือทุกอย่างอย่างง่ายดาย อย่างน้อยที่สุด ในชั่วเจ็ดดีดนิ้ว เขาก็เอาชนะศัตรูได้หนึ่งคน
แม้แต่ช่วงที่นานที่สุดก็ยังสั้นเสียกว่าครึ่งเสี้ยวชั่วยาม!
ต้องทราบว่าเป็นเพราะด่านที่สามนี้แสนยากเย็น ดังนั้นยามท่านมหาเทพบัญญัติกฎเกณฑ์ เขาจึงให้เวลาผู้ขัดเกลาถึงสามเดือน
ทว่า ใครเล่าจะคิดว่าทั้งหมดนี้ช่างไร้ค่าสิ้นดีสำหรับซูอี้ เพราะเขาไม่ต้องการการต่อเวลาเลย!
ไม่รู้ว่านานเพียงใด
จู่ ๆ หนึ่งเสียงก็รำพันขึ้นเบา ๆ “นี่จบแล้วหรือ?”
นกกระจอกวิญญาณพลันตื่นจากภวังค์ มันเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว
และมันก็พบว่าบนจักรวาลพร่างดาว ร้อยแปดดาราแผดเผาเยี่ยงคบเพลิง แสงสว่างถักทอสาดส่องทั่วจักรวาลพร่างดาว!
“นี่… ผ่านไปนานเท่าไรกัน?”
นกกระจอกวิญญาณรู้สึกว่าร่างของตัวเองชาดิก ดวงตานิ่งค้าง
“น่าจะไม่ถึงสองชั่วยามกระมัง”
ซูอี้ลังเลขณะกล่าว “น่าเสียดายที่มีคู่ต่อสู้น้อยไปหน่อย”
นกกระจอกวิญญาณ “…”
ชั่วขณะนั้น มันไร้วาจาจะกล่าว
นับแต่บรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ทุกคนที่เข้ามาท้าทายล้วนติดค้างที่ระดับสามนี้ จนต้องหวนกลับโดยไร้ข้อยกเว้น
ทว่ายามนี้ หนึ่งจักรพรรดิในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำกลับสามารถแต่งแต้มดาราทั้งร้อยแปดได้ในไม่ถึงสองชั่วยาม!
นี่ไม่ต่างอันใดกับปาฏิหาริย์!
นกกระจอกวิญญาณสงสัยว่าหากท่านมหาเทพยังอยู่ เกรงว่าคงตะลึงกับเรื่องเช่นนี้ไม่ต่างกัน!
“ยามนี้ข้าเชื่อวาจาของเสวี่ยฉางจิ้งเมื่อครู่แล้ว ทั้งหมดนี่… มิต่างจากโกงกันจริง ๆ…”
นกกระจอกวิญญาณพึมพำ
ซูอี้ “…”
เขาดีดนิ้วใส่กะโหลกของนกกระจอกวิญญาณพลางกล่าวว่า “ขาดประสบการณ์ไงเจ้าน่ะ”
นกกระจอกวิญญาณกล่าวอย่างหงุดหงิด “ข้าเคยประจักษ์แก่ความเป็นไปมาตั้งนาน รับผู้ขัดเกลามานับมิถ้วน จะขาดประสบการณ์ได้เช่นไร? หากจะโทษใคร… ก็เจ้านั่นแหละที่ไม่ต่างจากการโกงกันจริง ๆ!”
ยามนี้เอง หนึ่งแท่นศิลาก็ปรากฏขึ้น
มันคือศิลาแต้มดารา ทว่าตัวศิลานั้นว่างเปล่า ไร้นามใดแม้เพียงชื่อ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นดั่งวาจาของนกกระจอกวิญญาณ ผู้ที่เข้ารับบททดสอบตลอดมาถูกกำจัดเสียที่นี่ ดังนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดทิ้งนามไว้บนศิลาแต้มดารานี้ได้
ซูอี้ก้าวเข้ามาและทิ้งนามไว้อย่างเรียบเฉย
จากนั้น พิรุณแสงสายหนึ่งก็พรั่งพรูออกมา มันถือกล่องโลหะกล่องหนึ่งมามอบให้ตรงหน้าซูอี้
นกกระจอกวิญญาณก้าวเข้ามากล่าวอย่างใคร่รู้ “ดูสิว่ารางวัลคือสิ่งใด”
ซูอี้ว่า “เจ้าเองก็ไม่รู้หรือ?”
นกกระจอกวิญญาณพึมพำ “ไร้สาระ ไม่ว่าจะเป็นด่านถามใจ ด่านพินิจปัญญาหรือด่านแต้มดารานี้ รางวัลเพิ่มเติมเหล่านั้นล้วนถูกทิ้งไว้โดยท่านมหาเทพ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย มันก็กล่าวว่า “โดยเฉพาะด่านแต้มดารานี้ มิมีผู้ใดผ่านมันได้มาก่อน ข้าจึงมิรู้ด้วยซ้ำว่ามีรางวัลเพิ่มเติมในด่านนี้ด้วย”
ซูอี้พยักหน้าและโบกมืออย่างเรียบเฉย ก่อนที่ผนึกบนกล่องโลหะจะถูกปลดออกทันที และยามที่เขาเปิดฝากล่องออก เห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นเอง
นกกระจอกวิญญาณดูตะลึง
ซูอี้เองก็ผงะไป
ละอองแสงสีขาวเย็นเยียบแผ่ออกมาจากกล่องโลหะ และท่ามกลางประกายแสง พวกเขาก็ได้พบว่าในกล่องโลหะมีกระดูกมือข้างหนึ่ง!
กระดูกมือนั้นขาวโพลนใสกระจ่าง ข้อนิ้วทั้งห้าดุจหิมะขาว
หมอกแสงสีขาวดุจภาพฝันแผ่ออกมาจากกระดูกมือชิ้นนั้น แสงเซียนศักดิ์สิทธิ์แต่งแต้ม แสดงให้เห็นถึงความลึกลับ
………………..