บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1209: วิถีดาบนี้ คาที่มิอาจพัฒนา
ตอนที่ 1209: วิถีดาบนี้ คาที่มิอาจพัฒนา
………………..
ตอนที่ 1209: วิถีดาบนี้ คาที่มิอาจพัฒนา
เป็นอำนาจดาบที่น่ากลัวยิ่งนัก!!
ม่านตาของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบหดตัวกะทันหัน
หนังศีรษะของเขาชาวูบ
ดาบที่สามของเขานี้คือสุดยอดเคล็ดวิชาหมายล้มซูอี้โดยมิเปิดโอกาสให้ตอบโต้ใด ๆ
ทว่าเขาไม่คาดคิดเลยว่านับแต่เริ่มเผชิญหน้า ดาบที่สามนี้จะแหลกสลาย!
ยิ่งกว่านั้น อีกฝ่ายยังทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามได้ด้วย!
โดยไร้ความลังเล ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบคำรามลั่น แขนเสื้อโบกสะบัด สองมือประสานตรงหน้า
ตู้ม!
ภาวะดาบสีเลือดพุ่งสูงดุจภูผาศักดิ์สิทธิ์ขวางอยู่ตรงหน้าเขา
ช่วงบนจรดนภา ช่วงล่างแตะผืนพิภพ
ภาวะดาบควบแน่น สัญลักษณ์วิถีนับไม่ถ้วนผุดพรายเป็นกระแสหนาแน่นไร้จุดจบ
มองปราดแรก ภาพนี้ก็ให้ความรู้สึกราวภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณ ตระหง่านสูงใหญ่ทอดยาวนับพัน ๆ ลี้!
ยามนี้เองที่ปราณดาบของซูอี้กวาดมาถึง
ตู้ม!
ท้องนภาไหวสะท้าน
ภาวะดาบสีเลือดสูงดุจขุนเขาพลันสะบั้นเยี่ยงกระดาษเปื่อย แทบมิอาจต้านทานใด ๆ ได้
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบตะลึงอึ้ง
ไร้ช่วงให้ขบคิด กล่องดาบสีเลือดที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ส่งเสียงคำราม ถูกเขาเรียกใช้เป็นครั้งแรก
สองมือยกคว้ามันขึ้นกันไว้ตรงหน้าตน
ปราณดาบทะลวงเข้ามาฟาดใส่กล่องดาบสีเลือด
อากาศพังทลาย แดนดินร้าวระแหง
กระทั่งผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบและกล่องดาบสีเลือดตรงหน้าเขาก็กำลังถูกผลักอย่างแรง
ผืนดินใต้สองเท้ายุบเป็นทางอย่างน่าตกใจ
โลกหล้าถูกขุดเป็นแอ่งยาวตรง ศิลาป่นสลายเป็นผุยผง
ปราณดาบดุร้ายพลุ่งพล่านไร้ปิดกั้น ฟ้าดินปั่นป่วนราวกับใกล้มลาย
จนกระทั่งเมื่อฝุ่นควันจางหาย
ในสายตาของชายชุดดำและนกกระจอกวิญญาณ พวกเขาเห็นว่า…
ณ ตีนเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผล ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบใช้สองมือถือกล่องดาบสีเลือด เส้นผมยาวสีขาวสยายกระเซอะกระเซิง
สองมือชุ่มโลหิต หยาดหยดแดงชาดไหลลงตามพื้นผิวกล่องดาบ
ร่างผอมแห้งสั่นสะท้านเล็กน้อย ใบหน้าชราวัยเหี่ยวย่นซีดขาว อกกระเพื่อมขึ้นลงราวสูบลม
เข่าของเขาวางบนพื้น เลือดเนื้อกระจัดกระจาย พื้นดินแตกร้าวระแหง
นักดาบซึ่งแข็งแกร่งที่สุดรองจากท่านมหาเทพหงผู้นี้ ตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดรับหนึ่งดาบแล้วลงไปกองกับพื้น จนดูแทบมิได้เลย
นกกระจอกวิญญาณตะลึงอึ้ง
ผู้บัญชาการสักการะที่สาม… บาดเจ็บ!?
ก่อนหน้านี้ นกกระจอกวิญญาณมิกล้าชำเลืองมองด้วยคิดว่าดาบที่สามจะทำให้ซูอี้มิตายก็สาหัส
แต่ใครเล่าจะคิดว่าผลจะออกมาเป็นตรงกันข้าม
ด้วยศึกประดาบที่สามนี้ การโจมตีของผู้บัญชาการสักการะที่สามกลับไร้พลังราวทำจากกระดาษเปื่อย
ร่างของเขากระทั่งถูกหนึ่งดาบดีดกระเด็น คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำได้เพียงใช้กล่องดาบค้ำยันตนมิให้ร่วงลงกอง!
“นี่คือไม้ตายจริง ๆ ของเขาหรือ?”
ชายชุดดำตะลึงอึ้ง ดวงตายากอ่านออก
ก่อนหน้านี้เขายังคงกรุ่นโกรธ ด้วยนึกว่าซูอี้ไม่รู้คุณคน ทำให้การช่วยเหลือของเขาเป็นดั่งทำคุณบูชาโทษ
แต่ยามนี้ เขาพลันตระหนักว่าตนคิดผิด
ซูอี้ไม่ใช่มิรู้คุณคน แต่เขาสามารถต่อกรกับนกยูงเฒ่าได้จริง ๆ!
เหมือนเช่นศึกประชันดาบที่สามนี้ อำนาจของดาบซูอี้ทำให้แม้แต่เขาซึ่งเป็นผู้ชมยังสัมผัสถึงภัยคุกคามร้ายแรงได้!
เมื่อมองสภาพที่ดูไม่จืดของนกยูงเฒ่า ก็เดาได้เลยว่าดาบนี้ร้ายกาจเพียงใด!
“ข้า… แพ้หรือนี่…”
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกล่าวเสียงแหบ ราวกับไม่อาจยอมรับได้ในชั่วขณะนี้
น้ำเสียงของเขาเจือความอับอาย
ในฐานะนักดาบ ณ ขอบเขตไร้ขีดจำกัด การมาถูกนักดาบในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำทำให้บาดเจ็บ มิต้องสงสัยเลยว่าเป็นการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมาก
“เหมือนเช่นที่ข้าพูด ศึกนี้ไม่จำเป็นต้องหยุดที่สามดาบ ตัดสินแพ้ชนะเลยก็ย่อมได้”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา
หนึ่งมือถือดาบ หนึ่งมือไพล่หลัง หลังตรงไร้รอยขีดข่วน
ทว่าที่จริงแล้ว ในใจของเขายังมีความประหลาดใจอยู่บ้าง
ต้องทราบว่าดาบนี้ของเขาใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นซึ่งแปรเปลี่ยนจากเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน อัดเคล็ดเวิ้งลึกล้ำ ปราณดาบเก้าคุมขัง และพลังฝึกฝนเกือบครึ่งในร่างของเขารวมกัน
และจากการคาดเดาของเขา ก็สามารถทำให้ตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว
ทว่าผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบกลับหยุดมันลงได้!
อีกฝ่ายดูยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง แต่ก็เป็นแค่การบาดเจ็บที่กายเนื้อ ห่างไกลเกินกว่าความร้ายแรง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสำเร็จของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบ ณ ขอบเขตไร้ขีดจำกัดนั้นห่างไกลเกินธรรมดา
“ยังสู้อีกหรือ?”
นกกระจอกวิญญาณตะลึงอึ้ง
เปลือกตาของชายชุดดำกระตุก
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบเองก็ผงะนิ่ง
เขาเงียบไปชั่วขณะ สูดหายใจลึก ๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ตามกฎแล้ว เจ้าได้ผ่านด่านที่สี่นี้แล้ว มิต้องสู้กันอีกแล้ว”
น้ำเสียงของเขายังคงไร้อารมณ์ แต่มันจะอู้อี้เล็กน้อยก็ตาม
ชายชุดดำและนกกระจอกวิญญาณล้วนลอบถอนใจโล่งอก
แม้ว่านกยูงเฒ่าจะหัวรั้น บ้าและขี้ระแวงไปบ้าง แต่เขาจะไม่ผิดวาจา
“งั้นหากไม่สนใจเรื่องผ่านระดับ มิต้องสนใจกฎเกณฑ์ใด ๆ ว่ากันในฐานะนักดาบ เจ้าจะยังกล้าสู้หรือไม่?”
ดวงตาของซูอี้จ้องมองผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบจากไกล ๆ อย่างลึกล้ำ
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ไม่มีผู้ใดคาดถึงมัน
แววตาของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบเองก็แปรเปลี่ยนราวกับรับรู้ถึงความนัยที่ซูอี้ต้องการสื่อ
ครู่ต่อมา มุมปากเหี่ยวย่นของเขาก็กล่าวเย้ยตนเอง “ด้วยการฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัด มาจงใจหมายหัวคนหนุ่มในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำเช่นเจ้าก็นับว่าเสียศักดิ์ศรีน่าละอายแล้ว หากยังดึงดันสู้ต่อ ข้าจะเอาหน้าที่ไหนมาเรียกตนว่านักดาบกันเล่า?”
กล่าวจบ เขาก็ถอนใจยาว สีหน้าหมองหม่น กล่าวพึมพำ “บางที หัวใจดาบของข้าอาจจะเปื้อนมลมินมานานแล้วก็ได้…”
ชายชุดดำกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นกยูงเฒ่า ยังไม่สายหากจะห้ามม้าก่อนลงเหวนะ”
ซูอี้ยิ้มเยาะ “เสียหน้า? หัวใจดาบมีมลทิน? มิน่าเล่า ผ่านมาตั้งนาน ความสำเร็จวิชาดาบของเจ้าจึงยังหยุดอยู่ที่ขอบเขตไร้ขีดจำกัด มิอาจพัฒนาได้”
วาจานั้นมิได้แดกดัน แต่ผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบ ดวงตาทอประกายวาวโรจน์ เปี่ยมโทสะทั่วกาย “เจ้าบอกว่าวิถีดาบของข้า… คาที่มิอาจพัฒนา?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “ถูกต้อง และข้าก็ไม่สนใจจะชักดาบอีกแล้ว”
ตู้ม!
เสียงยังมิทันสร่าง เขาก็เก็บดาบวิถีไป หยิบไหสุรายกขึ้นดื่ม
ชายชุดดำและนกกระจอกวิญญาณล้วนตะลึงจังงัง
คนผู้นี้… ไยจึงบ้าได้เพียงนี้!?
ความสำเร็จวิถีดาบของนักดาบในขอบเขตไร้ขีดจำกัดจะถูกวิจารณ์อย่างเรียบเฉยได้เช่นนี้หรือ?
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบเองก็ผงะนิ่ง ใบหน้าชราวัยมืดหมอง
เขาใช้ชีวิตมานับปีนับไม่ถ้วน ทว่านี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบจักรพรรดิอันวางตัวเย่อหยิ่งเพียงนี้
“รับมิได้หรือ?”
ซูอี้แค่นเสียงหึ
เขาไม่คิดกล่าวอันใดอีก
ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบขุ่นเคืองใจมากขึ้นทุกขณะ ช่างแย่นัก เจ้าเด็กนี่จงใจประชดแดกดันเขาอยู่หรือ?
เขาเองก็รู้สึกว่าการกระทำของซูอี้เหมือนล้างแค้นแก่ปัญหายุ่งยากซึ่งนกยูงเฒ่านำมาก่อนหน้านี้เช่นกัน
จริงอยู่ที่ตามกฎ ซูอี้ได้ผ่านด่านที่สี่แล้ว แต่หากเขาทำนกยูงเฒ่าอารมณ์เสียสุดขีดขึ้นมา ท้ายที่สุดเขาก็อาจไม่ผ่านก็ได้
ทว่ายามนี้เอง เสียงลุ่มลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เจ้านกยูงน้อยนั่นรับมิได้ แต่ข้ารับได้!”
เมื่อได้ยินวาจานี้
ทุกคนก็ล้วนตกใจเงยหน้ามอง
และพบว่าบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผล แท่นศิลามรดกแท่นหนึ่งร้องคำรามลั่น และทันใดนั้นก็มีร่างทรงพลังร่างหนึ่งซึ่งโอบล้อมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ทะยานออกมา
เขาเป็นชายวัยกลางคนผู้มีเส้นผมดุจง้าว ร่างตระหง่านสูงใหญ่ ถือดาบคู่ให้ความรู้สึกคุกคาม ทว่าเขาเป็นเพียงเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น
“เจ้าภูมิวารีทมิฬ!”
ชายชุดดำและผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบล้วนตะลึงตกใจ
นี่คือตัวตนในตำนานยุคแรกเริ่มซึ่งครั้งหนึ่งเคยเขย่าสรวงเบิกวิถีสู่สวรรค์! เป็นตัวตนทรงพลังอันอยู่ในยุคสมัยเดียวกับท่านมหาเทพหง
กระทั่งชายชุดดำและผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบยังต้องนอบน้อมให้เกียรติ!
อันที่จริง แท่นศิลาทั้งสามสิบหกในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผลนี้ล้วนแล้วแต่เป็นมรดกจากตัวตนในตำนานแห่งยุคแรกดึกดำบรรพ์ทั้งสิ้น
เพียงแค่ว่า ชายชุดดำหาคาดไว้ไม่ว่าซูอี้ยังไม่ทันไปเลือกรับมรดกในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผล เจตจำนงของเจ้าภูมิวารีทมิฬจะชิงปรากฏขึ้นก่อน!
“สหายเต๋า ข้าอยากถ่ายทอดทุกสิ่งให้เจ้า ไม่ทราบว่าเจ้าจะเต็มใจรับไว้หรือไม่?”
เจ้าภูมิวารีทมิฬยืนบนอากาศ ประคองกำปั้นคำนับซูอี้ด้วยรอยยิ้ม
ภาพนี้ทำให้ชายชุดดำและผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบอ้าปากค้างอย่างมิตั้งตัว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้ไปกระตุ้นเจตจำนงที่เจ้าภูมิวารีทมิฬทิ้งไว้ ทำให้เขาชิงปรากฏตัวขึ้น หวังว่าผู้ขัดเกลาเช่นซูอี้จะรับมรดกมหาวิถีของเขาได้!
นี่น่าแปลกใจอย่างมิต้องสงสัย
หนึ่งตัวตนในตำนานเสนอจะมอบมรดกมหาวิถีของตนให้เขา …สิ่งนี้ไม่เคยมีมาก่อนแต่แรกเริ่มดึกดำบรรพ์!
ซูอี้เองก็ตะลึงอึ้ง แปลกใจเล็กน้อย
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูด เขาก็เห็นว่าบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ศุภผล แท่นศิลามรดกแท่นแล้วแท่นเล่าต่างส่งเสียงกู่คำราม ก่อนจะปรากฏร่างเจตจำนงร่างแล้วร่างเล่าขึ้น
มีทั้งชายหญิง ต่างคนต่างเจิดจรัสระยับแสง อำนาจเรืองล้นฟ้า มองปราดแรกก็ดูราวเทพเซียนไร้มลทิน!
พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนในตำนานยามแรกดึกดำบรรพ์!
เพียงแค่ว่า พวกเขาในยามนี้ล้วนแต่ดูร้อนรน ทันทีที่ปรากฏกาย พวกเขาก็เริ่มเถียงกันทันที
“เจ้าแก่วารีทมิฬ เจ้านี่ก็เสแสร้งเกินไป ก่อนที่เจ้าจะรีบร้อนเสนอถ่ายทอดมรดก ข้าบอกให้ว่ามรดกวิถีของเจ้าหาเหมาะสมกับนักดาบไม่ เจ้าตัดใจเสียเถอะ!”
ชายชราในชุดนักปราชญ์ขงจื่อผู้หนึ่งตำหนิ
“ข้าว่านะ หากสหายเต๋าผู้นี้รับสืบทอดมรดกของข้า วิถีดาบของเขาคงได้เลื่อนขอบเขตไปต่อแน่แท้”
ชายคนหนึ่งในชุดนักพรตเต๋าดูมีสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ถุ้ย! มรดกวิถีของเจ้าหรือจะแข็งแกร่งไปกว่าข้า?”
“โอ้โห ไยเรามิประชันกันให้รู้ดำรู้แดงเสียเลยเล่า?”
…เป็นภาพอลหม่าน ตัวตนในตำนานจากยุคก่อนแสนไกลทั้งหลายยามนี้ล้วนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเกินเข้าใจ
ภาพที่เกิดทำให้ชายชุดดำและผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบล้วนตะลึงนิ่งคาที่
คิดให้หัวแตก พวกเขาก็ไม่คาดว่าตัวตนในตำนานซึ่งเป็นที่นับถือของสรรพชีวิตนับล้าน สร้างตำนานมากมายมิอาจนับจะลืมสิ้นกิริยา แทบถกแขนเสื้อต่อสู้พัวพันเพียงเพราะต้องการให้ซูอี้เลือกรับสืบทอดมรดกของตน!
นี่มันบ้าชัด ๆ!
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมาหาซูอี้และเอ่ยแนะนำด้วยรอยยิ้มเมตตา หวังว่าซูอี้จะเลือกรับสืบทอดมรดกวิถีของพวกเขาเสียอีก
แล้วยังรับปากซูอี้ว่าจะไม่เหนี่ยวรั้งมิให้ซูอี้เลือกมรดกอื่นอีกด้วย
ภาพเช่นนี้ชวนให้เป็นบ้าเพียงไร!
จู่ ๆ เขาก็กลายมาเป็นภัตตาโอชะในสายตาเหล่าตัวตนในตำนาน การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้นกกระจอกวิญญาณตะลึง
ด่านที่สี่… เป็นเช่นนี้ก็ยังได้หรือ!?
ตัวตนในตำนานเหล่านั้นสติแตกไปหมดแล้วหรือไร?
หาไม่ พวกเขาต้องยอมรับซูอี้ขนาดไหน จึงถึงขั้นทิ้งหน้าตาตนมาทะเลาะแย่งกัน?
และยามนี้เองที่จู่ ๆ หัวใจของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบก็รู้สึกว่างโหวง จิตวิญญาณราวถูกโจมตีหนักหน่วง
และยังรู้ซึ้งถึงทรวงด้วยว่า… โลกนี้มันลำเอียง!