บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1211: ตัวตนแห่งเจ้าของกระดูกมือ!
ตอนที่ 1211: ตัวตนแห่งเจ้าของกระดูกมือ!
“ที่แท้… ความแค้นตลอดมาของข้าเป็นเพียงการคิดไปเอง…”
ดวงตาของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบซึ่งถูกท่านมหาเทพหงเรียกว่าข่งเซิ่นดูเลื่อนลอย ใบหน้าชราวัยของเขาแปรเปลี่ยนไปมา
หัวใจของเขามีมารผจญ ทว่าท้ายที่สุดกลับว่างเปล่า!
การกระทบจิตใจนี้ร้ายแรงเกินไป ทำให้หัวใจวิถีของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบปั่นป่วนรุนแรง
“นกยูงเฒ่า! ตื่นสิ!”
ชายชุดดำตะโกนลั่น เสียงของเขาระเบิดอำนาจมหาวิถีสะท้านถึงหัวใจ
เขาเห็นได้ว่ากำลังจะเกิดปัญหาขึ้นกับผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบ!
ทว่าผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบทำหูทวนลม
“เรื่องนี้ เขาต้องก้าวผ่านมันด้วยตนเอง ผู้อื่นช่วยมิได้หรอก”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
ยามนี้ ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบพลันหันมามองซูอี้และกล่าวอย่างมึนงง “ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าวิถีดาบของข้าหยุดชะงักและไม่อาจพัฒนาได้ กระทั่งคร้านเกินจะประลองกับข้าอีก นี่หมายความเช่นไร?”
ชายชุดดำตะลึงอึ้ง เขาไม่คิดว่าจู่ ๆ นกยูงเฒ่าจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ซูอี้กล่าวอย่างราบเรียบ “ในฐานะนักดาบคนหนึ่ง เรามีวิถีดาบและยึดติดกับมัน หาใช่ความแค้นความขุ่นเคืองไม่ ตลอดมา เจ้ามีมารผจญใจก็เหมือนถูกขังในกรง มิอาจเดินหน้าหรือถอยหลังได้ ถูกจองจำทุกทิศทาง วิถีดาบเช่นนี้ย่อมมิอาจทนรับได้!”
“หากข้าเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัด คู่ต่อสู้เช่นเจ้าจะไร้คุณสมบัติให้ข้าต้องชักดาบ”
วาจาขวานผ่าซากพุ่งตรงประเด็น
ร่างของข่งเซิ่นสั่นเทาและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมาอีกครั้ง
“สหายเต๋า พูดให้มันดี ๆ หน่อยมิได้หรือ?”
ชายชุดดำร้อนใจ
ชายชุดดำผงะไป
ก่อนที่เขาจะทันมีปฏิกิริยา ผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบก็พึมพำด้วยสีหน้าซีดขาว “หลงทางออกนอกลู่ สุดท้ายก็เกิดเป็นมารผจญใจ ฮะ… ฮ่า ๆๆ…”
เขาเชิดหน้าขึ้นหัวเราะใส่ฟ้าดุจคนบ้า ขณะก้าวเท้าออกมาเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ
ใบหน้าของชายชุดดำเปลี่ยนสีไปโดยสมบูรณ์ เจ้านกยูงเฒ่านี่สติเสียไปแล้วหรือ?
“อย่าหยุดเขา”
ท่านมหาเทพหงว่า “เหมือนเช่นสหายเต๋าซูว่า เขาต้องผ่านด่านนี้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าสำเร็จหรือพินาศ แต่ต้องพินาศก่อนจึงสำเร็จ”
ซูอี้ว่า “เขาไม่ได้เสียนิสัยและบรรทัดฐานของนักดาบ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ และหากเขาผ่านจุดนี้ไปได้ เขาอาจพัฒนาวิถีดาบของเขาไปอีกขั้นก็เป็นได้”
ชายชุดดำฟังแล้วก็เงียบไป
หนึ่งจักรพรรดิในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำกล่าววิจารณ์สภาพจิตใจของหนึ่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด หากได้ยินจากที่ใด ชายชุดดำคงถือว่าเป็นเรื่องตลกแน่แท้
ทว่ายามนี้ เขาตระหนักแล้วว่านี่หาใช่เรื่องล้อเล่นไม่
จักรพรรดินามซูอี้ผู้นี้ ในด้านภูมิปัญญาและการมองเห็น กระทั่งราชันแห่งภูมิเช่นเขายังรู้สึกด้อยกว่า!
ไม่นานนัก ร่างของผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบก็หายไป
“เจตจำนงของข้าอยู่ได้ไม่นาน เจ้ามีสิ่งใดจะไถ่ถามหรือไม่?”
ดวงตาของท่านมหาเทพหงมองมาที่ซูอี้
ซูอี้กล่าว “ข้ามีความสงสัยอยู่ในใจจริง ๆ และหวังจะได้คำตอบจากสหายเต๋า”
ท่านมหาเทพหงพยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวยิ้ม ๆ “ข้ายินดีนัก”
ครึ่งเสี้ยวชั่วยามต่อมา
จากการพูดคุยกับท่านมหาเทพหง ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจเกี่ยวกับบางอย่าง
ประการแรก ชายชุดขาวซึ่งข้ามบนธารแห่งกาลเวลาก่อนหน้านั้นเรียกตนว่าฉินชงซู
คนผู้นี้ไม่ใช่คนของยุคสมัยดังกล่าว และสงสัยว่าจะข้ามมาจากมิติเวลาซึ่งเรียกขานว่า ‘ยุคมายา’
ประการที่สอง เจ้าของกระดูกมือนี้ก็คือ ‘ผู้อาวุโส’ ที่ท่านมหาเทพหงว่าจริง ๆ
ท่านมหาเทพหงเองก็หาได้ทราบที่มาของ ‘ผู้อาวุโส’ ผู้นี้ไม่
เขารู้เพียงว่าผู้อาวุโสเรียกตนเองว่า ‘ลั่วเหยา’ ซึ่งพิทักษ์วัฏสงสารแห่งภูมิมืดมิด และไม่มีผู้ใดรู้ว่าไยนางจึงอารักขาอยู่ที่นั่นอยู่
และเขาก็รู้จักลั่วเหยามานานกว่านั้นอีก
นับตั้งแต่ยามที่ท่านมหาเทพหงยังไม่บรรลุถึงขอบเขตราชันแห่งภูมิ เขาก็เคยถูกมหาเทพมืดมิดเชิญไปยังภูมิมืดมิดในฐานะแขก
และยามนั้นเองที่ท่านมหาเทพหงได้พบกับลั่วเหยา ซึ่งถูกมหาเทพมืดมิดยกย่องอย่างนอบน้อมเป็น ‘ผู้อาวุโส’
เวลาต่อมา ท่านมหาเทพหงก็ได้รับรู้ว่ากระทั่งมหาเทพมืดมิดก็หารู้ที่มาของผู้อาวุโสลั่วเหยาไม่!
จากนี้ก็คาดเดาความลึกลับของลั่วเหยาผู้นี้ได้
และเมื่อกล่าวถึงลั่วเหยา สีหน้าของท่านมหาเทพหงก็ไม่อาจซุกซ่อนความชื่นชมเคารพมิได้ ถือลั่วเหยาเป็น ‘ผู้ชี้นำวิถี’!
จนกระทั่งเมื่อหายนะลึกลับนั่นปรากฏ ลั่วเหยาก็เป็นผู้ลงมือในช่วงท้าย บดขยี้ ‘ฉิงชงซู’ ผู้ไม่ใช่คนของยุคสมัยนี้ลงในทันที!
และในศึกนี้ ลั่วเหยาก็สะบั้นมือของนางออกข้างหนึ่ง
จากวาจาของท่านมหาเทพหง ยามนั้น ลั่วเหยาได้รับผลกระทบจากธารแห่งกาลเวลา คาดว่าคงถูกหมายหัวโดยอำนาจต้องห้าม นางจึงต้องถอยหนีโดยเร็วหลังจากเอาชนะฉินชงซูลงได้
ก่อนจากไป นางทิ้งมือที่สะบั้นออกไว้ และบอกท่านมหาเทพหงว่านางจะกลับมารับมือข้างนี้คืนในอนาคต
มือซึ่งสะบั้นออกข้างนั้นก็คือโครงกระดูกมือขาวโพลนดุจหิมะซึ่งยามนี้ถูกผนึกไว้ในกล่องสำริดนั่นเอง
จวบจนยามนี้ ท่านมหาเทพหงก็ไม่อาจรู้ได้ว่าลั่วเหยาไปยังหนใด และจะกลับมาเมื่อใด
เมื่อรู้เรื่องราวโดยละเอียด ซูอี้ก็รู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าสตรีนามลั่วเหยาผู้นี้ลึกลับจริงแท้
ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งของนางยังเหนือจินตนาการ ฉีกท้องนภาเข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลาได้!
กระทั่งตัวตนร้ายกาจเยี่ยงฉินชงซูยังถูกนางเอาชนะอย่างดุดัน!
ประการที่สามคือมหาเทพมืดมิด แม้คราแรกเขาจะหลบหายนะไปและรักษาเคล็ดเวียนวัฏสงสารไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดตัวเขาก็ไม่อาจหลบพ้นหายนะ ร่างของเขาหายไป
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ และเลือกหวนกลับมาต่อกรหายนะกับท่านมหาเทพหงนั่นเอง
ท้ายที่สุด ทั้งท่านมหาเทพหงและมหาเทพมืดมิดล้วนตกตายด้วยหายนะ!
สัจธรรมนี้ ท่านมหาเทพหงมิได้บอกผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบข่งเซิ่น หาไม่ เกรงว่ามารหัวใจของข่งเซิ่นคงแผลงฤทธิ์จนตกตาย!
เพราะถึงอย่างไร มารในใจของข่งเซิ่นก็เกี่ยวข้องกับความแค้นต่อมหาเทพมืดมิดที่ไม่เข้าร่วมในการสู้กับหายนะ
หากได้รู้ถึงการตายอย่างมีเกียรติของมหาเทพมืดมิด คงเดาได้ว่าหัวใจของข่งเซิ่นจะถูกกระทบร้ายแรงเพียงไร
โชคร้ายว่ามีเวลาไม่มากนัก และหลังจากพูดคุยเรื่องเหล่านี้ เจตจำนงของท่านมหาเทพหงก็ไม่อาจคงอยู่ได้ต่อ มันใกล้พังสลายลงทุกที
ณ ช่วงสุดท้ายของเขา ท่านมหาเทพหงลังเล ก่อนจะถามซูอี้เรื่องหนึ่ง
“สหายเต๋า… เจ้าเวียนวัฏเกิดใหม่มาหรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“ว่าแล้วเชียว…”
ท่านมหาเทพหงโล่งใจ ก่อนจะบอกความลับบางอย่างกับซูอี้
แม้ว่ามหาเทพมืดมิดจะควบคุมวัฏสงสารนับแต่สมัยบรรพกาลอันไกลโพ้น แต่เขาก็ถูกจำกัด มิอาจเบิกเส้นทางเวียนวัฏได้เสียที!
ส่วนสาเหตุนั้นคงจะเกี่ยวข้องกับพันธสัญญาแห่งเทพ และยังสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสลั่วเหยาผู้ลึกลับนั้นด้วย
และนี่ก็เทียบเท่ากับการบอกซูอี้ว่านับแต่ยุคบรรพกาลจวบจนยามนี้ มีเพียงซูอี้ผู้เดียวที่เบิกวิถีเวียนวัฏกลับมาได้สำเร็จ!
“คาดการณ์ได้เลยว่าเมื่อถึงวันที่ผู้อาวุโสลั่วเหยากลับมา นางจะได้พบสหายเต๋าแน่นอน และจวบจนยามนั้น นางอาจคลี่คลายความสับสนในใจของสหายเต๋าก็เป็นได้”
ท่านมหาเทพหงกระซิบ
เขาหวังว่าซูอี้จะดูแลกระดูกมือนั้นให้ดีได้
ท้ายที่สุด เจตจำนงของท่านมหาเทพหงก็สลายหาย และยังทิ้งมรดกของเขาไว้ ขอให้ซูอี้นำมันออกไปเผยแพร่มิให้ขาดช่วงอีกด้วย
“ใต้เท้ามหาเทพ…”
ชายชุดดำแสดงสีหน้าโศกเศร้านิ่งกับที่
เขาตระหนักแล้วว่าด้วยการหายไปของเจตจำนงท่านมหาเทพหง เกรงว่าคงยากจะได้พานพบอีกในภายหน้า
นกกระจอกวิญญาณเองก็อาลัยอาวรณ์ถึงอีกฝ่ายเช่นกัน
ส่วนซูอี้ไม่มีอารมณ์มากนัก นอกจากความเสียดายในใจเล็กน้อย
เพราะในใจของเขายังมีความสับสนซึ่งยังมิได้คำตอบอยู่บ้าง
หากมีเวลามากพอ เขาอาจจะพูดคุยกับท่านมหาเทพหงเกี่ยวกับวิถีเหนือวิถีสู่สวรรค์ได้อีก
โชคร้ายที่เจตจำนงของท่านมหาเทพหงถูกกัดกร่อนจากกาลเวลาเนิ่นนานอย่างร้ายกาจ ยากจะประคองไว้ได้ยามตื่นขึ้นครานี้
ซูอี้เก็บมรดกพลังของท่านมหาเทพหงไป ก่อนจะถอนหายใจยาวและตัดสินใจไปฝึกฝนที่เขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้น
“ข้าจะพาสหายเต๋าไปที่นั่นเอง”
ชายชุดดำออกตัวเสนอช่วยเหลือและนำทางด้วยตนเองทันที
ก่อนลงมือกระทำการ ชายชุดดำก็เสนอให้นกกระจอกวิญญาณดูแลผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบข่งเซิ่น
…
สี่ด่านของบททดสอบคือโลกเร้นลับซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
และซูอี้ก็ได้รับผลประโยชน์มากมายจากเส้นทางแห่งบททดสอบ
ด่านแรก เขาได้รับ ‘ลูกท้อเซียน’ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นโอสถปาฏิหาริย์
ในด่านที่สอง เขาได้ทำความเข้าใจเคล็ดมหาวิถีสูงสุด แปรงชีพ แสงพริบตา และเร้นลับต้องห้าม รวมถึงได้รับเถาวัลย์มารดาฟ้าดินมา
ด่านที่สาม เขาได้รับกระดูกมือของสตรีลึกลับลั่วเหยา
ด่านที่สี่ เขาได้รับมรดกวิถีของกลุ่มตัวตนในตำนานรวมถึงท่านมหาเทพหง และได้รับรู้ความลับมากมายอันเกี่ยวเนื่องกับหายนะลึกลับ!
และยามนี้ ซูอี้ก็ตั้งใจฝึกฝนและท้าทายขอบเขตราชันแห่งภูมิโดยสมบูรณ์
…
ทั่วฟ้าดินครึ้มอืมครึม สรรพสิ่งเหนื่อยล้าสิ้นแรง
ลึกเข้าไปในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเต็มไปด้วยภาพสีเทาอันแร้นแค้นเสื่อมทรามทุกแห่งหน
ระหว่างทางไปยังเขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้น ซูอี้ก็ได้เรียนรู้ว่าชายชุดดำมีนามว่า ‘ลู่เหยียน’ หนึ่งในยอดฝีมือภายใต้ท่านมหาเทพหง
ทว่าเนื่องมาจากหายนะลึกลับเมื่อกาลก่อน จึงมีเพียงเขาและชายชราข่งเซิ่นเท่านั้นที่รอดชีวิต
นานมาแล้ว ทั้งสองยึดกฎเจตจำนงของท่านมหาเทพหงเป็นสำคัญและพิทักษ์ส่วนลึกของแดงหวงห้ามสิ้นเซียน ดำเนินตามกฎอย่างเคร่งครัดเสมอมา
ขณะสนทนา เสียงคำรามหนัก ๆ ของอสนีบาตพลันกึกก้องลั่นนภาสนั่นแดนดินจากไกล ๆ สะเทือนเคลื่อนถึงอากาศทั่วทิศ
เมื่อมองขึ้นไปก็พบมหาสมุทรอสนีบาตปรากฏขึ้นไกล ๆ
หมอกปราณฮุ่นตุ้นไหลเชี่ยวพลิ้ววน อสนีบาตคลั่งวูบไหว เป็นภาพน่าตื่นตกใจ
“สหายเต๋า นั่นคือสมุทรฮุ่นตุ้นซึ่งแปรเปลี่ยนจากพลังต้นกำเนิดของภูมิดาราฟ้าดิน”
ชายชุดดำลู่เหยียนดูมีสีหน้าซับซ้อน ถอนใจเบา ๆ “สมรภูมิหลักในการต่อกรกับหายนะนั่นคือที่นี่ และตัวตนในตำนานสนั่นโลกามากมายตายลงที่นี่เมื่อกาลก่อน…”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นจ้องมองอย่างตกตะลึง
เหนือสมุทรกว้างแห่งฮุ่นตุ้นมีปราณมารดาฟ้าดินยิ่งใหญ่หนาแน่นอยู่ทุกที่!
กฎเต๋าบรรพกาลนับไม่ถ้วนกระเพื่อมไหวเยี่ยงคลื่น อสนีบาตฟาดคำราม พายุโหมม้วน สารพัดนิมิตมหาวิถีอันเปี่ยมปราณถล่มโลกาผุดพราย ทำให้ทั่วบริเวณสมุทรบ้าคลั่งอันตราย
“ทว่าพวกมันล้วนแต่เป็นเรื่องกาลเก่าก่อน ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปฝึกฝนยังที่ปลอดภัย”
ด้วยการนำของลู่เหยียน ทั้งสองก็ก้าวลับหายไปในสมุทรฮุ่นตุ้นอย่างรวดเร็ว
………………………….