บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1212: เก็บตัว
………………..
ตอนที่ 1212: เก็บตัว
อสนีบาตฟาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง กระหวัดเกี่ยวคดเคี้ยว
พลังที่มาแห่งมหาวิถีบ้าคลั่งคำราม สั่นสะท้านทั่วท้องนภาระริกไหวรุนแรง
บนสมุทรฮุ่นตุ้น ลู่เหยียนเรียกใช้หนังสัตว์ล้ำค่าผืนหนึ่ง มันขยายขนาดขึ้นจนมีระยะสิบจั้ง ปกคลุมทั้งตัวเขาและซูอี้ไว้เบื้องใต้
อสนีพายุและคลื่นมหาวิถีจะพุ่งเข้าใส่นาน ๆ ครั้ง แต่แล้วพวกมันก็ล้วนถูกหนังสัตว์ผืนนั้นสลายไป
“พลังต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นที่นี่แต่เดิมถูกกระทบโดยหายนะนั่น ทำให้อำนาจกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของมันเสียหายหนักหนา”
“หาไม่ ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดมาที่นี่ มาสิบก็ตายเก้า”
ระหว่างทาง ลู่เหยียนแนะนำบางปรากฏการณ์ในสมุทรฮุ่นตุ้นนี้กับซูอี้
ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็มาถึงเกาะร้างแห่งหนึ่ง
เกาะร้างแห่งนี้มีอาณาเขตเพียงสิบจั้ง ไร้หย่อมหญ้าชีวิตใด ๆ ไม่ต่างอันใดกับหินโสโครก
“ที่นี่ค่อนข้างปลอดภัย แม้ว่านาน ๆ ทีจะมีอำนาจกฎเกณฑ์บ้าคลั่งขึ้นมาบ้าง แต่ก็มิถึงชีวิตแล้วล่ะ
“ในสมุทรฮุ่นตุ้นมีพื้นที่ปลอดภัยเช่นนี้อยู่อีกมากมาย”
ลู่เหยียนอธิบาย “ในกาลก่อน ตัวตนซึ่งได้เป็นผู้รักษาวิถีจะฝึกฝนในพื้นที่ปลอดภัยเหล่านี้ และเมื่อบรรลุสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ พวกเขาก็จะถูกส่งลงไปสู่ก้นสมุทรฮุ่นตุ้นเพื่อพิทักษ์เขตหวงห้าม”
ในอดีต ผู้ที่พ่ายแพ้ในเส้นทางบททดสอบจะเป็นผู้รักษาวิถีได้จากการถูกผู้บัญชาการสักการะยอมรับเท่านั้น
ซูอี้เคยได้ยินนกกระจอกวิญญาณกล่าวไว้ว่านานมาแล้ว มียอดฝีมือนับร้อยที่ได้กลายเป็นผู้รักษาวิถี
ในหมู่คนหลายร้อยนั้น พวกเขาส่วนใหญ่เดิมทีเป็นจักรพรรดิ แต่หลังได้เป็นผู้รักษาวิถี เมื่อฝึกฝนทุกวันคืนในสมุทรฮุ่นตุ้น พวกเขาส่วนใหญ่ก็ได้บรรลุขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
ทว่าทุกวันนี้ มีผู้รักษาวิถีที่รอดชีวิตอยู่เพียงไม่เท่าไหร่
ส่วนผู้รักษาวิถีคนอื่นได้ตกตายไปตามกาลเวลา เนื่องจากปราณของหายนะลึกลับนั่น
“เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับเขตหวงห้ามนั่นได้หรือไม่?”
ซูอี้ถาม
“ที่แห่งนั้นยังคงมีร่องรอยหายนะดึกดำบรรพ์อยู่ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ในเขตหวงห้ามนั่นมีอาวุธสังหารอันมิใช่ของยุคสมัยนี้ และยังคงส่งผลทำลายพลังต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นอยู่”
สีหน้าของลู่เหยียนแข็งทื่อ “เหตุผลส่วนใหญ่ที่เราทั้งหลายติดอยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะเราต้องข่มระงับพลังของอาวุธสังหารนั่นตลอดเวลา”
“อาวุธสังหารนั่นคือหอกศึกใช่หรือไม่?”
ซูอี้พลันถามขึ้น
ลู่เหยียนชะงักไป แล้วจึงพยักหน้า “ถูกต้อง หอกศึกนั้นถูกทิ้งไว้โดยตัวตนร้ายกาจชื่อฉินชงซูผู้นั้น”
ฉินชงซูข้ามผ่านธารแห่งกาลเวลา เรียกหายนะซึ่งส่งผลกระทบทั่วภูมิดาราฟ้าดิน
และซูอี้ก็ได้เห็นหนึ่งนิมิตผ่านกระดูกมือที่ลั่วเหยาทิ้งไว้ ได้พบว่าตรงหน้าร่างของฉินชงซูมีหอกศึกเล่มหนึ่งลอยอยู่!
“จนป่านนี้ พลังของหอกศึกนั่นยังมิเสื่อมลงอีกหรือ?”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้
ลู่เหยียนส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “กาลก่อน ท่านมหาเทพหงคาดการณ์ไว้ว่าที่มาของหอกศึกนี้เหนือล้ำเกินจินตนาการ และเหตุที่ฉินชงซูสามารถเรียกใช้หายนะนี้ได้ เดิมทีก็เกี่ยวพันกับหอกศึกนี้!”
“กาลก่อน เราเองก็เคยพยายามปราบหอกศึกและสืบหาความลับของอาวุธสังหารชิ้นนี้ ทว่าตลอดมาก็หาสำเร็จไม่”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของลู่เหยียนก็ดูซับซ้อน กล่าวเสียงต่ำ “ในทางกลับกัน ในการสะกดหอกศึกนี้ ตลอดมามีผู้รักษาวิถีมากมายที่ต้องตกตาย…”
ซูอี้กล่าว “ที่นี่ห่างจากเขตหวงห้ามสมุทรฮุ่นตุ้นนั้นเพียงไร?”
ความใคร่รู้ของเขาถูกกระตุ้น อยากเห็นที่มาของหอกศึกอันเปี่ยมประกายแสงเซียน และอยากรู้ว่าจะสามารถหยั่งทราบปริศนาใด ๆ จากมันได้หรือไม่
“ห่างกันแปดพันลี้ และระหว่างทางก็มีอันตรายมากมาย เป็นไปได้ว่าร่างและกระดูกของเจ้าจะแหลกลาญได้ทุกขณะ”
ลู่เหยียนกล่าว “ในอดีต นกยูงเฒ่ารับหน้าที่พาตัวผู้รักษาวิถีไปยังเขตหวงห้าม แต่ยามนี้เขา…”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็อดถอนใจมิได้
ซูอี้พยักหน้ารับน้อย ๆ “เข้าใจแล้ว”
หลังจากพูดคุยไปสักครู่ ซูอี้ก็กล่าวอย่างเพิ่งจำได้ “ข้ามีสหายสองคนที่มีคุณสมบัติก้าวเท้าสู่เส้นทางการฝึกฝน หวังว่าสหายเต๋าจะรับพวกเขาไป”
ลู่เหยียนตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้แล้ว เรื่องของทั้งสองเล็กน้อย ให้ข้าจัดการเถอะ แต่บอกไว้ก่อนนะว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นไปตามกฎเท่านั้น”
ซูอี้พยักหน้า
เขานำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงออกมาทันที จากนั้นก็เชิญจักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในออกมา และบอกพวกเขาทั้งสองเรื่องนี้
ทั้งคู่ต่างตอบรับด้วยความยินดีและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ซูอี้ชี้แนะ “หากพวกเจ้าไม่อาจผ่านด่านได้ อย่าได้เลือกตัวเลือกใด รอให้ข้าไปหาที่โลกเร้นลับนั่นนะ”
เขาไม่อยากให้พวกจักรพรรดิมารสวรรค์กลายเป็นผู้รักษาวิถี
ลู่เหยียนกล่าวยืนยันพร้อมกับยิ้ม “สหายเต๋าอย่าห่วงไป ข้าจะคุ้มครองสหายเต๋าทั้งสองคนไม่ให้พบกับอันตรายเอง”
ไม่นานนัก ลู่เหยียนก็ไปจากสมุทรฮุ่นตุ้นพร้อมกับจักรพรรดิมารสวรรค์และเมิ่งฉางอวิ๋น
จนเหลือเพียงซูอี้อยู่บนเกาะร้างนี้เพียงลำพัง
คลื่นกฎเกณฑ์มหาวิถีทั่วสารทิศปั่นป่วนกระฉอกคลั่ง หมอกปราณฮุ่นตุ้นเคลื่อนคล้อยหมุนวนทั่วฟ้าดิน ยิ่งใหญ่มหาศาล
ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมา ทอดร่างนอนเอกเขนกอย่างสบายใจ
ก่อนหน้านี้ เขาได้ต่อสู้กับผู้เฒ่าสวมชุดผ้ากระสอบข่งเซิ่น แม้จะเป็นการประมือเพียงสามดาบ แต่ก็สิ้นเปลืองพลังมหาวิถีของเขาไปอย่างมหาศาล
ยามนี้ ทันทีที่เขาผ่อนคลายลง ความรู้สึกอ่อนแรงก็พลุ่งพล่านทั่วกายอย่างช่วยมิได้
“ยามนี้ข้าคงใช้เคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำเผชิญหน้าราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญได้ แต่… การจะฆ่าคงมิง่าย”
“ทว่า ด้วยเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน การฆ่าเพชฌฆาตเยี่ยงจินชื่อก็ยังเป็นไปได้”
“หากเป็นการรับมือตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นข่งเซิ่น การใช้เคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำ เถาวัลย์มารดาฟ้าดินและปราณดาบเก้าคุมขัง รวมถึงทุ่มพลังเข้าสู้ อย่างมากก็ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้เท่านั้น…”
“เว้นแต่จะโจมตีทุ่มสุดตัวอย่างสิ้นหวัง โอกาสชนะก็ไร้แวว”
ซูอี้ประมวลศึกคราก่อนในใจและยืนยันความแข็งแกร่งของตน
การข้ามขอบเขตฆ่าศัตรูนั้นพูดง่าย ทว่าการกระทำจริงยากเยี่ยงปีนขึ้นสวรรค์
ด้วยความสำเร็จและพลังมหาวิถีของซูอี้ในปัจจุบัน การสามารถสังหารราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้ก็น่าตกใจพอแล้ว และยังถือได้ว่าเป็นเรื่องหายากแม้จะเป็นในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวก็ตามที!
ส่วนการเผชิญหน้าราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญและไร้ขีดจำกัดด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในปัจจุบันนั้น เห็นได้ชัดว่ายังทำมิได้ ความห่างชั้นยังมหาศาลเกินไป
เขาต้องใช้เคล็ดวิชาร้ายกาจเช่นเคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นอย่างเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน และอาวุธสังหารเยี่ยงดาบเก้าคุมขังเข้าประชันอยู่
ซูอี้นำไหสุราขึ้นมาจิบไหหนึ่ง
ร่างที่ปรากฏขึ้นบนแม่น้ำสายยาวแห่งโชคชะตาเคยกล่าวว่า เคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำนั้นมิได้ทรงพลังนัก
ทว่าซูอี้ในยามนี้ไม่อาจเข้าใจได้ เคล็ดมหาวิถีเช่นนี้ หากมองให้ทั่วจักรดาราตงเสวียน เกรงว่าคงหาวิชาใดมาเปรียบมากนักมิได้!
เคล็ดเวียนวัฏสงสารเองก็ห่างไกลความธรรมดาเกินเทียบได้เฉกเช่นกัน
แต่ในแง่ปริศนาก็มิได้แย่ไปกว่าเคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำ!
“ท้ายที่สุดแล้ว ความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับวัฏสงสารก็เป็นเพียงแรกแง้มประตู มิเคยได้ควบคุมเคล็ดมหาวิถีเหล่านี้อย่างจริงจังได้มาก่อน”
“เคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำก็เช่นกัน”
“สุดยอดมหาวิถีทั้งสองชนิดนี้ ตัวข้าในอดีตชาติมิได้ครอบครอง แต่ยิ่งเป็นเช่นนั้น ยิ่งกระจ่างแจ้งว่าวิถีดาบที่ข้าขวนขวายหาในชาตินี้จะต้องแตกต่างจากอดีตชาติทั้งสองชาติของข้าอย่างสิ้นเชิงแน่นอน”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นกระดกดื่มสุราในไห จากนั้นจึงลุกขึ้นเริ่มลงมือ
ตู้ม!
เมื่อเขาโบกแขนเสื้อ วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์หลายสิบชิ้นก็ทะยานออกมา
จากนั้น หลังใช้เวลาร่วมครึ่งวัน ซูอี้ก็วางค่ายกลบนเกาะร้างแห่งนี้สำเร็จ
ค่ายกลนี้มีพลังอัศจรรย์สามประการ คือรวบรวมวิญญาณ ครอบคลุมและคุ้มกัน
เมื่อใช้ค่ายกลนี้ ซูอี้และเกาะร้างใต้เท้าของเขาก็ดูจะหายวับไปในอากาศธาตุโดยไร้ร่องรอย
และหมอกปราณฮุ่นตุ้นทั่วฟ้าดินก็ราวกับถูกลากจากทั่วสารทิศ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นวังวนเคลื่อนลงมาพร้อมเสียงดังลั่น
ส่วนซูอี้ก็กำลังนั่งลงขัดสมาธิในค่ายกลนี้ ร่างสูงของเขาร้อนผ่าวราวเตาระอุ กลืนกินปราณฮุ่นตุ้นไม่จบสิ้น
นั่นคือปราณมารดาฟ้าดินอันเก่าแก่บริสุทธิ์เหนือใดเทียบ!
สำหรับซูอี้ในยามนี้ เขาสามารถเข้าถึงขอบเขตราชันแห่งภูมิได้ทุกเมื่อ
ทว่าสุดท้าย เขาก็ยั้งตนไว้และตัดสินใจทำสมาธิในสมุทรฮุ่นตุ้นนี้ เรียบเรียงกรรมวิถีสามชั่วอายุขัย หลอมรวมวิถีและเตรียมสภาพจิตใจของเขา
นับแต่กลับชาติมาเกิด แม้ว่าวิถีของเขาจะมั่นคงหนักแน่น ก้าวทีละก้าว
แต่นับจากบุรุษธรรมดาจนมาถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิทุกวันนี้ กินเวลาเพียงสามปีกว่าเท่านั้น
แม้ว่าวิถีนี้จะพานพบกับอุปสรรคอันตรายนานัปการ แต่ก็ไม่ได้พบกับบททดสอบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากนัก
ทุกอย่างนั้นเป็นเพราะเขามีประสบการณ์ในอดีตชาติและดาบเก้าคุมขัง
ซูอี้รู้ดีมากว่าหากต้องการก้าวข้ามอดีตชาติ หลอมสร้างวิถีอันสูงกว่า เขาก็จะยึดติดกับประสบการณ์ในอดีตชาติไปตลอดไม่ได้
และพึ่งพาดาบเก้าคุมขังมากนักมิได้!
นี่ยังเป็นเหตุที่ทำให้เขานับแต่ฟื้นความทรงจำสู่โลกหล้าจึงเคี่ยวเข็ญตนให้ฝึกฝนอย่างสุดขั้ว
ฟ้าดินประสานส่งเสริม ยอดคนมิอยู่ว่าง
ท้ายที่สุด อำนาจภายนอกก็เป็นเพียงของนอกกาย
มีเพียงสิ่งที่มีจริง ๆ เท่านั้นที่พึ่งพาได้!
นี่ไม่ใช่การปฏิเสธและต่อต้านพลังจากภายนอก แต่เพื่อมองเห็นพลังภายนอกที่ตนใช้ และใช้มันเพื่อตนเอง แทนที่จะทำให้ตนเองพึ่งพาอำนาจภายนอกนั่น!
เหมือนเช่นวิถีแห่งผู้ปกครอง ตัวเขาคือรัชทายาท ในขณะที่อำนาจภายนอกคือข้าราชบริพาร
ในฐานะราชา จะปล่อยให้ข้าราชบริพารล้ำเส้นได้หรือ?
นับแต่วันนี้ไป ซูอี้ก็เริ่มเก็บตัวฝึกฝนบนเกาะร้างแห่งนี้
ไร้ชีวิตใด ๆ บนเกาะ เหน็บหนาวไร้วันคืน
ครึ่งปีรีบร้อนผันผ่าน
แดนลี้ลับดึกดำบรรพ์
ตรงหน้าหนึ่งวิหารอันลอยเหนือเมฆสายฟ้าสีม่วง
“ต้องรบกวนสหายเต๋าช่วยพิทักษ์ข้าแล้ว”
จักรพรรดิมารสวรรค์คำนับลู่เหยียน
นางผ่านเส้นทางบททดสอบแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงระดับที่สาม
แม้จะไม่ได้ผ่านด่านต่อ แต่ก็ยังได้ผลประโยชน์มหาศาลและได้รับทั้งโอกาสและสิ่งของมาบ้าง
ไม่นานนี้ นางฝึกฝนอยู่ตรงหน้าวิหารของลู่เหยียน และยามนี้นางก็คว้าโอกาสเลื่อนขอบเขตหนึ่งได้
แต่เดิม นางตั้งใจรอซูอี้กลับมาเพื่อให้เขาพิทักษ์ให้นาง
ทว่าผ่านไปครึ่งปี แต่ซูอี้ก็ยังไร้ข่าวคราว และการฝึกฝนของนางก็ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป นางจึงต้องเลื่อนขอบเขตโดยเร็วที่สุด
“ได้”
ลู่เหยียนตอบรับอย่างยินดี “อันที่จริง ข้าสังหรณ์ในใจแล้วว่าด้วยภูมิหลังและพลังมหาวิถีของเจ้า โอกาสสำเร็จก็ปาไปเก้าส่วนแล้ว”
“ในความคิดของตาเฒ่าผู้น้อยนี้ รากฐานขอบเขตสานพันธะลึกล้ำของสหายเต๋ามารสวรรค์ก็เพียงพอเขย่าทั่วทุกยุคสมัยได้แล้ว ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว หมื่นคนจะหาได้สักหนึ่งยังไม่ได้ และเมื่อยามมหาวิถีเลื่อนขอบเขตย่อมแข็งแกร่งก้าวกระโดดแน่แท้”
เมิ่งฉางอวิ๋นเองก็รีบกล่าวขึ้นพลางยิ้ม
จักรพรรดิมารสวรรค์พยักหน้าน้อย ๆ
นางไม่ได้กล่าวอันใดอีก ทว่าดวงตาคู่งามนั้นกลับเบนมองไกลออกไปบนท้องนภา
หมู่เมฆเคลื่อนคลั่ง สรรพสิ่งสงัดเงียบ
หลังจากรอคอยมานาน ระหกระเหินยากเข็ญ ในที่สุด มหาหายนะอสงไขยแท้เที่ยง… ก็มาถึง!
วันนั้น
จักรพรรดิมารสวรรค์ก้าวข้ามวิถี เดินทางสู่วิถีสู่สวรรค์ ถึงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงในคราเดียว!
อำนาจมรดกและความสามารถเลิศล้ำยังทำให้ลู่เหยียน ยอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดซึ่งรอดมาแต่บรรพกาลยังตกตะลึง